คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 24 ศิษย์อาจารย์
ตอนพิเศษ 24 ศิษย์อาจารย์
………………..
ข้ามีนามว่าฉีหมิงอวิ่นเดิมทีข้าเกิดมาเป็นผู้สูงศักดิ์ สืบสายเลือดแห่งราชวงศ์ ทว่าฐานะอันสูงส่งนี้ ข้ากลับดำรงอยู่เพียงห้าปี ก่อนที่ทุกสิ่งจะดับสูญไปในพริบตา
ตั้งแต่วันที่นักพรตเต๋าผู้ซึ่งรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกับคำเล่าลือของเซียนที่มีอิทธิฤทธิ์สูงส่งผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ข้าก็ได้กลายเป็นเพียงเด็กน้อยในอารามเต๋า ผู้มีฉายานามว่าฉังตู้ ซึ่งมีความหมายว่า ช่วยเหลือมนุษย์ ช่วยเหลือวิญญาณ และช่วยเหลือตนเอง
เมื่ออาจารย์ของข้า ผู้มีนามเต๋าว่าเสวียนอี ปรากฏตัวขึ้น ข้ารู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก ในใจนั้นร้อนรนคล้ายจะถูกทอดทิ้ง และไม่ผิดคาด เขามาเพื่อนำข้าไป และรับข้าเป็นศิษย์
ข้าไม่เข้าใจ เขามองข้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ เหตุใดจึงต้องฝืนใจรับข้าเป็นศิษย์ด้วย ชัดเจนว่าเขาเห็นข้าเป็นตัวปัญหา
อย่าถามว่าข้ารู้ได้อย่างไร เพราะข้าคือเชื้อพระวงศ์ โดยกำเนิดก็มีความสามารถในการดูท่าทีและอ่านใจผู้อื่นได้ แม้คนอื่นมองว่าข้าโง่เง่าทึ่มทื่อ แต่ในใจข้ากลับแจ่มชัดดุจกระจกใส
ข้าไม่ปรารถนาจะไป แต่เมื่ออาจารย์กล่าวว่า หากข้าไม่ไป จะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสิบปี ข้าตกใจจนตัวสั่น ใช้นิ้วอวบอ้วนสั้นๆ ที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อคำนวณดูอย่างถี่ถ้วนว่าระยะเวลาจนถึงสิบปีนั้นเหลือเพียงใด
ไม่คำนวณไม่รู้ พอคำนวณแล้วกลับตกใจยิ่งนัก
ข้าฉีหมิงอวิ่นเหลือเวลาในโลกนี้อีกเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
ใจข้าเย็นวูบ รู้สึกสิ้นหวังจนต้องหันไปมองเสด็จปู่ที่นอนบนแท่นบรรทม พระวรกายซูบผอมจนแทบจะดูไม่ได้ ในใจเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่า หากข้าตายตอนอายุสิบปี อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนทุกข์จนผอมแห้งเหมือนเสด็จปู่ใช่หรือไม่
ดูเหมือน คนอ้วนอยู่บ้างก็ดีเช่นนี้เอง
ข้าหยิกไขมันนุ่มๆ บนร่างกายตนเอง พลางถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
ชีวิตอยู่ได้ ใครเล่าปรารถนาความตาย
ข้าส่งสายตาเว้าวอนต่อเสด็จปู่เพื่อขอคำแนะนำว่าควรทำเช่นไร เสด็จปู่กลับบอกให้ข้าไป และบอกข้าเป็นผู้มีบุญวาสนาล้ำลึก ถึงได้พบอาจารย์เช่นนี้ ข้างุนงงอยู่บ้าง
หากข้ามีบุญวาสนา เหตุใดจึงกลายเป็นเด็กอ้วนเตี้ยที่วิ่งยังไม่ไหว ต้องแบกหม้อยาไปมา มารดาสิ้นไป บิดาก็ไม่ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะเสด็จปู่โปรดปราน ข้าเกรงว่าคงไม่รอดชีวิตมาได้
หากเสด็จปู่บอกให้ไป ข้าก็ต้องไป เพราะในราชวงศ์นี้ เสด็จปู่คือผู้ใหญ่ที่สุด และเป็นบุคคลที่ข้าเชื่อถือที่สุด
ดังนั้น ข้าจึงคุกเข่าคารวะและกราบอาจารย์เป็นศิษย์ต่อหน้าเสด็จปู่ ตั้งแต่นั้น ชื่อฉีหมิงอวิ่นก็มลายหายไป มีเพียงนักพรตเต๋าฉังตู้ ศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงรุ่นที่หกแห่งอารามชิงผิง
เสด็จปู่ตรัสว่า เมื่อข้าเข้าสู่ลัทธิเต๋าแล้ว ข้าก็ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อีกต่อไป สำหรับราชวงศ์ ข้าต้องถือเสมือนว่าไม่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ฟัง ไม่มอง และไม่สนใจใดๆ
ดังนั้น หลังเสด็จปู่สวรรคต ข้าก็ ‘ตาย’ ตามไปเช่นกัน ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ คือนักพรตเต๋าฉังตู้
ข้าร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าหีบพระศพของเสด็จปู่ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ไม่มีผู้ใดมองเห็นข้า หรือแม้กระทั่งมองเห็นอาจารย์ของข้า
นี่คือวิชาบังตา อาจารย์ของข้ากล่าวว่า หากข้าเรียนรู้วิชาทั้งห้าของลัทธิเต๋าได้ดี วิชาเล็กๆ เช่นนี้ ข้าก็สามารถใช้ได้ทุกเมื่อ
แต่สิ่งที่ข้าคิดคือ หากข้าใช้วิชานี้ หมายความว่า หากข้าเปลือยกาย จะไม่มีผู้ใดมองเห็นข้าอย่างนั้นหรือ
ภาพนั้นดูช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
ข้าจึงเอ่ยคำออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด ใบหน้าของอาจารย์ข้าดูดำคล้ำยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก เขายิ่งแสดงท่าทีรังเกียจข้าชัดเจนขึ้นอีก
หลังจากที่เสด็จปู่เสด็จสวรรคต ข้าก็ ‘สิ้น’ ตามไปด้วย ติดตามอาจารย์ของข้าก้าวออกจากเมืองหลวง เส้นทางอันเป็นที่กำเนิดและหล่อเลี้ยงชีวิตของข้า เพียงก้าวผ่านประตูเมือง ข้าก็ล้มลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
ข้าดูทุลักทุเลอย่างถึงที่สุด แม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืนก็หาไม่ สายตาพร่ามัว จนภาพเบื้องหน้าดับมืดลง ข้าเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย เห็นอาจารย์ยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงหน้า เงาร่างของเขาบดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเหนือศีรษะข้า
ความรังเกียจที่เขามีต่อข้าไม่ปิดบังเลยสักนิด
ข้ารู้สึกหมดสิ้นหนทางอย่างแท้จริง
“ยังจะลุกไหวหรือไม่”
ข้าไม่เอ่ยวาจา ตัดสินใจนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นแสร้งทำเป็นตาย เพราะรู้สึกได้ว่าบนฝ่าเท้าน้อยๆ ของข้าเต็มไปด้วยแผลพุพอง ยามนี้แม้แต่ก้าวเพียงครึ่งก็ไม่อาจไหว
ข้าได้ยินเสียงถอนหายใจหนึ่งครั้ง พร้อมกับเสียงพึมพำเบาๆ ซึ่งข้ากลับได้ยินชัดเจน
“อาจารย์ของข้าไม่เคยสอนวิธีเลี้ยงศิษย์ให้ข้าเลย ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก”
คนวัยสามสิบกว่าแล้ว เลี้ยงเด็กยังไม่เป็นอีกหรือ
ต่อมา ข้าถึงได้เข้าใจ เขาเลี้ยงข้าแบบตามบุญตามกรรมอย่างแท้จริง อาจารย์บอกว่าตัวเขาเองก็เติบโตขึ้นมาเช่นนี้
แท้จริงแล้ว นี่คือการสืบทอดกันมา มีอาจารย์เช่นใดก็ย่อมมีศิษย์เช่นนั้น เช่นนั้นตัวข้าในภายภาคหน้าจะกลายเป็นเหมือนเขาด้วยหรือไม่
รู้ไปเสียทุกสิ่ง แต่สิ่งเดียวที่ทำไม่เป็นคือการเลี้ยงเด็กอย่างนั้นหรือ
อาจารย์แบกข้าขึ้นหลัง พาข้าเดินทางออกจากเมืองหลวง ดำเนินไปตามวิถีแห่งเต๋า เส้นทางนั้นก็คือ เต๋าอันยิ่งใหญ่
ข้าติดตามอาจารย์ เดินเท้าจากแดนเหนือจรดใต้ ทนหิวทนหนาวอยู่ใต้ฟ้าคืนหมอก วัดแผ่นดินด้วยสองเท้า มองดูโลกหล้าด้วยสองตา ชมทั้งภาพผู้คนในสังคมและเหล่าภูตผีในดินแดนวิญญาณ
อาจารย์เคยกล่าวว่า ดวงชะตาวันเกิดของข้าแปลกประหลาดยิ่งนัก มักดึงดูดสิ่งอัปมงคลให้จ้องเล่นงาน หากในวังหลวงยังมีพลังมังกรคุ้มครอง เมื่อออกจากเมืองหลวงแล้ว ข้าย่อมหมดสิ้นซึ่งการคุ้มครอง กล่าวได้ว่า ตลอดเส้นทางนี้ จำนวนภูตผีที่ข้าพบนั้นมากกว่าผู้คนเสียอีก
ครั้งแรกที่ข้าเห็นผี มันคือผีตายอดตายอยากตัวหนึ่ง ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มันจ้องข้าผู้เต็มไปด้วยไขมันด้วยสายตาเหมือนอยากฉีกเนื้อข้าออกกลืนกิน ท่าทางของมันช่างน่าสยดสยอง ข้าจำได้ไม่รู้ลืมจนวันตาย
ขณะมันพุ่งมาหาข้า แสงสีทองจากตัวข้าสาดประกายฟาดใส่มัน ตามด้วยเสียงกรีดร้องสุดท้ายก่อนจะมลายสิ้นเป็นผุยผง
ข้ามองภาพนั้นตาค้างด้วยความตะลึงงัน
อาจารย์ของข้าผู้กำลังนั่งสมาธิ เปิดตาขึ้นมองไปยังที่ที่ผีตายอดตายอยากหายไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ศิษย์ของข้า มีข้าคุ้มครองอยู่ ผู้ใดแตะต้อง ผู้นั้นตาย”
คำกล่าวนั้น เหมือนเขากล่าวกับผีตายอดตายอยากตัวนั้น หรือบางทีอาจกล่าวให้เหล่าผีวิญญาณพเนจรรอบข้างฟังด้วย ทันใดนั้น ข้ารู้สึกถึงอากาศรอบตัว ความเย็นเยียบจากพลังอัปมงคลทั้งปวงเลือนหายไป
หัวใจของข้าสะท้านอย่างแรง เปี่ยมด้วยความยินดีปรีดา ซาบซึ้งจับใจ แต่ก็มีความขมขื่นปะปน
เกรงว่าแม้แต่เสด็จปู่ ก็ยังไม่เคยกล่าวอย่างองอาจว่า ข้าคือผู้ที่เขาปกป้อง
ทว่าอาจารย์ผู้นี้ เขากลับเอ่ยเช่นนั้น
ในยามนั้นสายลมเย็นโชยพัดมา กลิ่นประหลาดยากจะบรรยายลอยเข้าจมูก ข้ารู้สึกเย็นวูบใต้หว่างขา
อาจารย์แค่นเสียงหึหนึ่งครั้ง จ้องมองข้าด้วยสายตาคมกริบ “เสื้อผ้า เจ้าไปซักเอง”
ข้าชะงักไปครู่หนึ่ง พลันก้มตามสายตาของเขา ใบหน้าข้าก็ร้อนผ่าวดังตับหมูสุก
ข้าตกใจถึงกับปัสสาวะรดตนเอง
ข้าอับอายเสียจนอยากมุดดินหนีให้พ้นจากโลกนี้
อาจารย์ยังเอ่ยต่อ “อาจารย์สามารถปกป้องเจ้าได้เพียงชั่วคราว แต่ไม่อาจปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิต อาจารย์เองก็ไม่อาจติดตามเจ้าไปทุกที่ พึ่งพาผู้อื่นย่อมไม่เท่าพึ่งพาตนเอง เจ้าจำต้องเรียนรู้วิชาทางเต๋าให้ดี เพื่อให้มีพลังปกป้องตัวเอง มิฉะนั้น ด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้ ถูกผีปีศาจรุมฉีกกิน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
ข้าฟังแล้วเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
อาจารย์จึงเอ่ยเสริม “หากไม่ตั้งใจเรียน ก็ต้องถูกข้าลงโทษ”
ข้าลอบมองหมัดที่เขากำไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว เกรงว่าเขาจะต่อยข้าจริงๆ จึงรีบพยักหน้าเออออตามคำ
นี่คือโลกที่ข้าจะต้องเผชิญในวันหน้า มีทั้งผู้คน ทั้งวิญญาณ ทั้งอสุรกาย แรกเริ่มข้าหวาดกลัวผีจนไม่อาจหลับตาลง กลัวพวกมันเข้าสิง กลืนกินจิตวิญญาณของข้า แต่พอนานไป ข้าก็เริ่มชินชา แล้วจึงตระหนักได้ว่า บางครั้งมนุษย์ยังน่ากลัวกว่าผีเสียอีก
หลายครั้งวิญญาณไม่เคยทำร้ายข้าแม้แต่น้อย แต่ผู้คนกลับทำร้ายข้าจนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เช่นคราวหนึ่งที่ข้าทำหน้าที่พยากรณ์และรักษาโรค เพียงเพราะกล่าวคำสัตย์จริงไป พวกเขาก็ลงมือทำร้ายข้า หวังหลีกเลี่ยงค่ารักษาและค่าพยากรณ์
ตระหนี่ถี่เหนียวนัก กระทั่งเงินค่าพยากรณ์เพียงน้อยนิดยังไม่อยากจ่าย ข้าจึงจำต้องทำการลิขิตเปลี่ยนชะตาเสียใหม่ พยากรณ์ให้พวกเขาพบแต่ความยากจนในบัดดล
โลกมนุษย์ เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ข้า เป็นดั่งปลาได้น้ำ