คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 26 ห้าสิบปีนั้น
………………..
ห้าสิบปีแห่งการเสวยสุขหรือ
ฉินหลิวซีก้มหน้าลิ้มรสสุราสีอำพันจิบหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาความหมาย เอ่ย “พวกเจ้าคงไม่คิดว่าเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณที่ฝากไว้ จะเป็นทั้งหมดใช่หรือไม่”
คิ้วของเฟิงซิวกระตุกเล็กน้อย
“นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวแห่งจิตวิญญาณ เป็นเพียงอารมณ์นึกคิดแห่งวิญญาณ ไม่อาจเรียกได้ว่าเศษวิญญาณด้วยซ้ำ การจะหล่อหลอมให้มันกลายเป็นวิญญาณสมบูรณ์ พลังแห่งบุญกุศลและพลังศรัทธาที่ต้องใช้ ย่อมไม่ต่างจากการบ่มเพาะเศษวิญญาณ” ฉินหลิวซีทอดถอนใจเอ่ยต่อ “เศษเสี้ยวแห่งจิตวิญญาณของข้าเพียงแค่เกาะอยู่ในศูนย์กลางจิตวิญญาณของหยวนอิง ไม่อาจเป็นดวงจิตคู่ร่วมร่างได้ด้วยซ้ำ”
ไม่เพียงแต่เฟิงซิว แม้แต่อวี้ฉังคงซึ่งเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อหลายปีมานี้เริ่มศึกษาทางเต๋า ก็เข้าใจความหมายในสิ่งที่นางเอ่ย
เศษจิตของนางในศูนย์กลางจิตวิญญาณของหยวนอิง นับเป็นภัยอันยิ่งใหญ่ หากหยวนอิงเป็นคนชั่วร้ายก็สามารถกลืนกินเศษจิตนั้นจนสูญสิ้น ได้สิ้นสลายไปอย่างแท้จริง เช่นนั้นคงไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ
ฉินหลิวซีเอง แม้อยู่ในศูนย์กลางจิตวิญญาณของหยวนอิง ก็อาศัยความแข็งแกร่งของหยวนอิงและพลังศรัทธาบุญกุศลเป็นอาหาร หล่อเลี้ยงเศษจิตของตนจนค่อยๆ ฟื้นกลับเป็นดวงวิญญาณ
ทว่าการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณจากเสี้ยวความคิดนี้ไม่ใช่การรวมเศษวิญญาณที่กระจัดกระจาย ความยากลำบากย่อมสูงกว่าหลายเท่า ต้องอาศัยบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน จึงจะสามารถหล่อหลอมวิญญาณขึ้นมาใหม่ และค่อยๆ แยกจากศูนย์กลางจิตวิญญาณของหยวนอิง กลับคืนสู่โลกมนุษย์ทีละก้าว
ห้าสิบปี ช่างนับเป็นเวลาที่รวดเร็วเหลือเกิน เพราะนอกจากจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากหยวนอิง อีกด้านหนึ่งก็ยังมีพลังศรัทธาคอยเกื้อหนุนอยู่ นางจึงสามารถหล่อหลอมวิญญาณและจุดไฟแห่งชีวิตใหม่ขึ้นมา
เมื่อไฟแห่งชีวิตนั้นคือนาง ไฟวิญญาณย่อมสว่างเจิดจ้า นางจึงปรากฏตัวในโลกนี้อีกครั้ง
แต่หากฉินหลิวซีเป็นคนชั่วร้าย นางก็สามารถหวังในจิตวิญญาณของหยวนอิงและร่างเนื้อที่นางอาศัยอยู่ เพียงแค่ค่อยๆ หลอกล่อและกัดกินไปทีละน้อยก็ได้แล้ว
ทว่านางไม่ได้ทำ
หยวนอิงเองก็ไม่
นางร่วมมือกับหยวนอิงอยู่เช่นนั้น นางยืมศูนย์กลางจิตวิญญาณของหยวนอิงเพื่อหล่อหลอมวิญญาณ และยืมจิตวิญญาณของหยวนอิงเพื่อทำความดี สร้างบุญกุศลร่วมกัน
เมื่อฉินหลิวซีกลับคืนมา หยวนอิงก็สามารถบรรลุเป็นเซียนผี ผู้มีฐานะเป็นเทพ
ดังนั้นจะเอ่ยว่าเวลาห้าสิบปีนั้นเป็นความเสวยสุข หรือจะเอ่ยว่านางกำลังฝ่าฟันเคราะห์กรรมในโลกมนุษย์ก็ไม่ผิด
ช่างยากลำบากเหลือเกิน
“โลกนั้นเป็นเช่นไรหรือ” เฟิงซิวนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยถาม
เขาไม่อยากถามนัก เพราะพอคาดเดาได้แล้วบางส่วน การใช้บุญกุศลเป็นพลังหล่อเลี้ยง หล่อหลอมวิญญาณจากความคิด ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดาย นางถึงกับต้องประหยัดพลังวิญญาณไว้ให้มั่นคง เพื่อรอเวลาหล่อหลอมดวงวิญญาณ นอกจากนั้นหากหยวนอิงโลภแม้เพียงเล็กน้อย นางย่อมไม่มีทางได้กลับมา
นี่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่
เป็นดั่งการใช้ร่างกายตนเองเป็นศูนย์กลางค่ายอาคม อนาคตที่ไม่อาจคาดเดา ชนะกลับมาพร้อมรอยยิ้ม หากแพ้ก็คงไม่มีวันนี้ให้เอ่ยถึงอีกต่อไป
แต่ชัยชนะก็คือชัยชนะ ทว่าหนทางนั้นเต็มไปด้วยขวากหนามแหลมคม และนางก็ทุ่มเทสุดกำลัง เพื่อปีนป่ายกลับคืนมา เช่นเดียวกับที่นางเคยทุ่มทุกสิ่งเพื่อกำจัดซื่อหลัวให้สิ้นซาก
ชั่วขณะนั้น เฟิงซิวและอวี้ฉังคงต่างรู้สึกอึดอัดในใจ
การกลับมาของนางย่อมเป็นเหตุให้ยินดี ทว่าพอครุ่นคิดถึงความทุกข์ยากที่นางต้องเผชิญ ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะจนอยากท้าทายฟ้าดิน ถามว่าทำไมต้องทำถึงเพียงนี้
ทว่านี่ไม่ใช่หนทางแห่งการบำเพ็ญหรือ
ไม่มีหนทางแห่งการบำเพ็ญใดที่จะราบรื่นดั่งล่องเรือในทะเลสงบ ทุกสิ่งที่พบพานและใคร่ครวญล้วนหลอมรวมเป็นวิถีของตน
ฉินหลิวซียิ้มบาง “อย่าได้ทำสีหน้าเช่นนั้น ข้าไม่ใช่กลับมาแล้วหรือ แม้จะช้า แต่ก็ยังมา ควรดื่มฉลองสิ”
นางรินเหล้าเติมให้ทั้งสองจนเต็มจอก จากนั้นจึงยกดื่มก่อนเป็นคนแรก จากนั้นสาดเหล้าขึ้นฟ้า ดีดพลังออกไป เอ่ย “นั่นเป็นโลกอย่างไร พวกเจ้าดู…”
ทั้งสองมองตามไปพร้อมกัน คาถาสำแดง เหล้าราวกับกลายเป็นกระจกน้ำสะท้อนให้เห็นความทรงจำของนาง
นั่นคือโลกหลังยุคก่อตั้งประเทศที่ไม่อนุญาตให้สัตว์กลายเป็นปีศาจ เทคโนโลยีก้าวไกล ตึกสูงเสียดฟ้าผุดขึ้นจากพื้นดิน อาวุธล้ำสมัย เครื่องแต่งกายประหลาด ผู้คนไปมาสะดวก ราวกับต่างโลกโดยสิ้นเชิง อีกทั้งพลังปราณในที่แห่งนั้นยังเบาบางยิ่งนัก การบำเพ็ญเป็นสิ่งยากแสนยาก
สำคัญที่สุดคือ ในโลกนั้น นรกภูมิกลับล่มสลาย ไร้ซึ่งระบบที่สมบูรณ์ มีเพียงความพินาศอันเลวร้าย เป็นเหตุให้ผู้ตายจากไม่อาจเวียนว่ายตายเกิดได้ ดวงวิญญาณไร้ที่ไป ได้แต่วนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์
ส่วนหยวนอิงซึ่งเป็นบุตรีของผู้ดูแลศาลเทพเจ้าประจำเมือง จำต้องรับภารกิจสำคัญในยามคับขัน กลายเป็นเทพเจ้าประจำเมืองที่ยังมีลมหายใจในโลกนั้น สร้างนรกภูมิขึ้นใหม่และส่งดวงวิญญาณเข้าสู่วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด
ในเวลากลางวัน นางคือบุตรีผู้ดูแลศาลเทพเจ้า เพื่อศาลเทพเจ้าประจำเมืองที่แทบไร้ผู้กราบไหว้ นางใช้สิ่งที่เรียกว่าถ่ายทอดสด ทำนายดวงและหลอกลวงผู้คนเพื่อหาทางอยู่รอด
แต่เมื่อถึงยามค่ำคืน นางคือเทพเจ้าประจำเมือง ผู้ส่งดวงวิญญาณและนำพาผีร้ายวุ่นวายให้สยบอยู่ใต้มือ งานล้นมือนับไม่ถ้วน
ด้วยเหตุนี้เอง ศาลเทพเจ้าประจำเมืองจึงเริ่มมีผู้กราบไหว้คึกคักขึ้นมา เมื่อมีการบูชาก็มีแรงศรัทธา หยวนอิงได้รับแรงศรัทธานั้นหล่อเลี้ยง และจิตวิญญาณที่อยู่ในตัวนางซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฉินหลิวซีก็พลันได้รับการฟื้นฟู สามารถสื่อสารกับหยวนอิงได้ตามปกติ แต่นั่นใช้เวลาถึงสามปีเต็ม
ในตอนเริ่มต้น จิตวิญญาณของฉินหลิวซียังไม่ฟื้นคืนสมบูรณ์ นางในต้าเฟิงได้พลีจิตวิญญาณทั้งหมด ย่อมอยู่ในสภาพเลือนรางเป็นธรรมดา
การนำวิญญาณและส่งผีให้เวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่ยากนัก เพราะหยวนอิงเดิมทีเป็นผีเก่าแก่นับพันปี เพียงบังเอิญพานพบจนต้องมายังโลกนี้ นึกไม่ถึงว่ายังมีวาสนาได้เป็นเทพเจ้าประจำเมืองหญิง หากเป็นวิญญาณเชื่อฟังย่อมจัดการได้ง่าย แต่หากไม่เชื่อฟังก็อย่าได้โทษว่านางรังแกผี คาถาครั้งแรกย่อมต้องจัดหนัก
ความยากอยู่ที่การสร้างนรกภูมิขึ้นใหม่ให้สามารถใช้งานได้เช่นเดิม นี่เป็นเรื่องยากเย็นไม่แพ้การกำจัดซื่อหลัวเลย เพราะต้องค้นหาสาเหตุที่ทำให้นรกภูมิในโลกนั้นพังทลายลง ไม่ใช่เพียงคำว่า ‘สร้างชาติห้ามสัตว์เป็นปีศาจ’ แม้แต่นรกก็พังพินาศไปด้วยอย่างนั้นหรือ
เฟิงซิวและอวี้ฉังคงเฝ้าเห็นถึงการดิ้นรนของหยวนอิงในฐานะเทพเจ้าประจำเมือง ผู้บำเพ็ญเพียรไปพร้อมกับสร้างนรกใหม่ แม้จะเห็นหยวนอิงเป็นผู้ลงมือ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในวิถีของนาง
นั่นคือจิตวิญญาณของฉินหลิวซีที่ฟื้นขึ้น หยวนอิงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่านั่นคือรูปแบบของนาง
เวลากว่าห้าสิบปี พวกนางต้องต่อสู้เพื่ออุปสรรคทั้งหลาย ฝ่าฟันกับผู้คน ฟาดฟันกับสวรรค์ จนทุกอย่างคลี่คลาย ฉินหลิวซีจึงนำวิญญาณของตนเข้าสู่นรกโลกันต์ที่สร้างขึ้นใหม่ จิตแห่งไฟกลับคืนสู่จุดกำเนิด ส่องสว่างขึ้นทีละนิด พุ่งทะลุสามพันแดนนรก กลับคือสู่แดนนรกแห่งนี้
ฝ่าฟันอุปสรรคโหดร้าย เดินหน้าไปด้วยความแข็งแกร่ง ในที่สุดสิ่งที่สร้างขึ้นคือ ไฟนรกที่เผาผลาญบาปทั้งปวงให้สูญสิ้นที่ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
เฟิงซิวมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “ดูท่านน่าเวทนาเช่นนี้ ให้อภัยท่านแล้ว”
ฉินหลิวซีหัวเราะ
พลันได้เสียงเสียงไก่ขัน
ฉินหลิวซีชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาเบนไปยังเก้าอี้เอนที่ชายชราผู้สง่างามนอนนิ่งอยู่ ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มขณะหลับตาลงสนิท ข้างเก้าอี้นั้นคือผู้หนึ่งในอาภรณ์งดงาม ไม่สิ เป็นวิญญาณต่างหาก
นั่นคืออวี้ฉังคงในวัยหนุ่ม นั่นคือรูปลักษณ์เมื่อครั้งนางเจอเขาครั้งแรก แต่เพียงเทียบกับความเย็นชาในตอนนั้น เขาในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สง่างามนุ่มนวล หล่อเหลาไม่ธรรมดา
คนบนโลกเป็นดั่งหยก คุณชายนี้ไร้สองในใต้หล้า
ฉังคงสกุลอวี้ ไม่แปรเปลี่ยนจากคราแรกพบ
ฉินหลิวซียิ้ม โบกมือเปิดประตูผี เอ่ย “ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิด”
“ได้”