คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 27 ทุกคนคือสหายเก่า
ตอนพิเศษ 27 ทุกคนคือสหายเก่า
………………..
แผ่นดินหยวน เริ่มต้น
ราชวงศ์ใหม่สถาปนาขึ้น ต้าเฟิงกลายเป็นอดีต ถูกแทนที่ด้วยราชวงศ์ใหม่ที่มีพระนามว่า ‘ซี’ ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนรัชศกเป็น ‘ติ้งหยวน’ และได้รับการขนานนามว่า ฮ่องเต้ติ้งหยวน
ฮ่องเต้ติ้งหยวนไม่เพียงแต่ทรงเปลี่ยนแปลงราชวงศ์และสร้างชาติขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว พระองค์ยังปกครองแผ่นดินด้วยความเคร่งครัด วางรากฐานความสงบมั่นคง ตัดสินใจเฉียบขาดและชาญฉลาด หลังจากขึ้นครองราชย์เพียงปีเดียว ได้นำกองทัพออกศึกด้วยพระองค์เอง ขยายดินแดนปราบปรามชนเผ่าต่างๆ จนต้องก้มกราบยอมรับเป็นแคว้นบรรณาการ น้อมส่งเครื่องราชบรรณาการทุกปี
จากความเสื่อมโทรมและล่มสลายของต้าเฟิง สู่การสร้างความสงบร่มเย็นในยุคปัจจุบัน ฮ่องเต้ติ้งหยวนสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ที่โลกยกย่อง ทรงได้รับการสรรเสริญในฐานะฮ่องเต้ที่มีคุณูปการต่อแผ่นดินและมวลชน
ยามนี้โลกมนุษย์สงบสุข แม้ยังไม่ถึงกับปลอดโจร แต่ราษฎรล้วนอยู่เย็นเป็นสุข ใช้ชีวิตด้วยความหวัง เพียงมองจากรอยยิ้มของผู้คนก็เห็นได้ชัด
แต่ในยุคปัจจุบัน ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รับรู้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป นั่นก็คือ พลังปราณฟื้นคืน นำพาให้ผู้คนจำนวนมากเริ่มต้นเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้กระจายข่าวออกไปก่อนว่าที่สุดขอบโลกมีประตูสวรรค์ หากประตูสวรรค์เปิด เหล่าเซียนจากแดนวิญญาณจะลงมายังโลกมนุษย์เพื่อรับศิษย์ หากได้เข้าสู่แดนวิญญาณฝึกฝน ก็จะสามารถเป็นอมตะได้
ข่าวลือนี้ทำให้โลกมนุษย์ นอกเหนือจากลัทธิพุทธและลัทธิเต๋า ยังปรากฏสำนักต่างๆ ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อตระเตรียมสู่เส้นทางแห่งเซียน
ในบรรดาสำนักเต๋าทั่วหล้า สำนักที่มีศิษย์มากที่สุดคืออารามชิงผิง โดยเฉพาะเมื่อปู้ฉิวเซียนจวิน ผู้เข้าร่วมศึกปราบเทพ กลับคืนมา ชื่อเสียงของอารามชิงผิงจึงพุ่งสูงถึงจุดสูงสุด ด้วยเหตุนี้ เมื่อปู้ฉิวเซียนจวินแสดงธรรมเพียงครั้งเดียวก็มีผู้คนหลั่งไหลมาจนแน่นขนัด ทั้งยังมีเหล่าวิญญาณที่ซ่อนเร้นตัวในความมืดมิดแอบเข้ามา เพียงเพื่อชมโฉมเซียนจวินหรือบรรลุสัจธรรมจากคำสอน
ในการแสดงธรรมครั้งนั้น นอกเหนือจากเซียนจวิน ยังมีปราชญ์ผู้บรรลุธรรมที่ยากจะพบเจอในยามปกติหลายท่านผลัดกันขึ้นแสดงธรรม ผู้คนจึงบันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้ในรูปแบบภาพเขียนและอักษร เพื่อถ่ายทอดและอำนวยประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง
ด้วยเหตุนี้ อารามชิงผิงในยุคปัจจุบันจึงนับเป็นอารามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน มีควันธูปหอมหนาที่สุด หลังคาทองเปล่งประกายที่สุด และมีเต๋าจวินผู้ทรงพลังที่สุด
ทว่าหลังจากการแสดงธรรมครั้งนั้น ผู้คนก็ยากจะพบเจอปู้ฉิวเซียนจวินได้อีก ราวกับการกลับมาของนางเป็นเพียงดอกไม้ไฟที่พริบพรายชั่วครู่ ผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดเท่านั้นที่รู้ว่านางเพียงวางมือจากโลก และนางกลับมา เพียงปรากฏตัวเพื่อไม่ให้ผู้รอคอยนางต้องผิดหวังเท่านั้น
ฉินหลิวซีส่งคนคุ้นเคยทีละคนจากไปจนหมดแล้ว ตอนนี้นางยืนอยู่ข้างเตียงของฉีหวง หญิงชราผู้กลายเป็นยายเฒ่าผมหงอกมานาน พร้อมลูกหลานมากมายรายล้อม นอนหลับใหลอยู่บนเตียง ลมหายใจเฮือกใหญ่ยังคงค้างอยู่ที่อก ไม่ยอมสิ้นสุดลง
นางรอคอยคุณหนูของนาง เด็กสาวผู้ดึงพวกนางพี่น้องออกจากขุมนรกเมื่อปีนั้น
ยามนี้รอคอยจนได้พบกันอีกครั้งแล้ว
ฉีหวงยิ้มทั้งน้ำตา ยื่นมือผอมแห้งดุจกระดูกติดหนังออกมา ใช้กำลังทั้งหมดจับมือฉินหลิวซีไว้แน่น ดั่งเช่นเมื่อครั้งอดีต
ท่านกลับมาแล้ว ไม่ได้ผิดคำ ดีเหลือเกิน
ส่งฉีหวงจากไป ฉินหลิวซีคงสีหน้าเรียบเฉย เฟิงซิวเหลือบมองนางเป็นระยะ ก่อนเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน “เจ้ากลับมาครั้งนี้เพื่อเก็บวิญญาณโดยเฉพาะหรือ คนต่อไปจะเป็นใครเล่า คงไม่ใช่จิ้งจอกเช่นข้ากระมัง”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าจากไปนานเกินไป คนที่ยังรอข้าอยู่ ข้าจะส่งพวกเขาไปให้หมด ส่วนเจ้า คนอย่างเจ้าคงอยู่ยาวนานไปอีกพันปี เข้าใจหรือไม่”
เฟิงซิวทำเสียงเย้ยหยัน “ถ้าหากเป็นข้าจริงๆ ก็ดีเหมือนกัน ข้าตายก่อนท่าน ท่านก็จะได้ทนทุกข์กับความโดดเดี่ยวอันน่าเบื่อหน่าย ฮ่า… โอ๊ย มือท่านตีที่ใด”
ฉินหลิวซีดึงมือกลับจากก้นของเขา คิดในใจว่ามันแน่นเด้งทีเดียว แสร้งชูคอแข็ง เอ่ย “พวกเราคุ้นเคยกันเพียงนี้แล้ว ข้าตบเจ้านิดหน่อยจะเป็นไรไป”
เฟิงซิวกลอกตา เอ่ยถาม “ถ้าส่งคนหมดแล้วเล่า”
“นั่นแน่นอนว่าย่อมไปยังที่ที่ข้าควรไป”
เฟิงซิวใจสะท้าน ถามต่อด้วยน้ำเสียงหนัก “ที่ใดกัน”
ดังนั้น ที่นางกลับมา เป็นเพียงภาพลวงตาหรือ
ตอนนี้เขาใช้ชีวิตอยู่ในภาพลวงตาหรือ
“แดนเซียน การฟื้นคืนของพลังวิญญาณไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คนเช่นพวกเรา คงสัมผัสถึงประตูแห่งการลอยสู่สวรรค์ได้แล้ว”
ฉินหลิวซีชูมือ ดึงพลังวิญญาณจากอากาศมาปั่นเป็นเส้นไหมบางละเอียดในมือ เห็นเด็กหญิงตัวน้อยรวบผมสองข้างประดับดอกไม้มุ่งตรงเข้ามาหานาง นางชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเผลอปล่อยเส้นไหมแห่งวิญญาณนั้นพันรอบข้อมือเล็กๆ ของเด็กหญิงโดยไม่รู้ตัว
เด็กหญิงกอดขานาง ดวงตากลมโตใสซื่อบริสุทธิ์ จ้ดวงตาคู่คมไร้เดียงสากระพริบตาปริบๆ คล้ายคนคุ้นเคยในอดีต
เด็กหญิงตอบอย่างร่าเริง “ที่บ้านเรียกข้าว่าเสี่ยวหยวนเป่า แต่ชื่อจริงของข้าคือเถียนหว่านช่วน เถียนที่แปลว่าทุ่งนา หว่านที่แปลว่าอ่อนโยน ช่วนที่แปลว่าเครื่องประดับข้อมือ ความหมายคือข้าเป็นดังสมบัติล้ำค่า เซียนหญิง ท่านหอมเหลือเกิน ข้าจะตามท่านไป”
ฉินหลิวซียิ้ม แตะใบหน้าเด็กหญิง เอ่ย “เจ้าจะตามข้าไป แล้วคนในครอบครัวเจ้าจะทำอย่างไร ปู่ของเจ้า คงต้องปวดใจแน่”
มีคนไล่ตามมาด้านหลัง เป็นสาวใช้กับชายชราที่เต็มไปด้วยราศีน่าเกรงขาม
“บรรพบุรุษน้อย ท่านวิ่งเร็วเกินไปแล้ว” สาวใช้รีบวิ่งเข้ามา หวังจะอุ้มเด็กหญิง
เสี่ยวหยวนเป่าหลบไปซุกอกฉินหลิวซีอย่างคล่องแคล่ว เอ่ยด้วยเสียงออดอ้อน “ข้าเจออาจารย์ของข้าแล้ว ข้าจะไปเรียนวิชาเต๋า”
“เหลวไหล เอาแต่เอ่ยเรื่องเรียนวิชาเต๋า เจ้าไม่ต้องการปู่แล้วหรือ” ชายชราเดินเข้ามา ตั้งใจทำสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะหันไปทางฉินหลิวซี เอ่ย “เด็กเล็กไม่รู้ความ รบกวนแม่นางแล้ว”
ฉินหลิวซียืนขึ้น ยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร เด็กคนนี้น่ารักยิ่ง ผู้อาวุโสมีวาสนาแท้”
นางก้มหน้าลง มองเสี่ยวหยวนเป่า เอ่ย “เรียนเต๋า เรียนที่ใดก็ได้ วิถีแห่งโลกมนุษย์ ก็คือวิถีแห่งเต๋า ขอเพียงเจ้าบรรลุ นั่นก็คือวิถีของเจ้า ต้องเป็นเด็กดีนะ”
นางลูบศีรษะเสี่ยวหยวนเป่า เอ่ยเสียงแผ่วเบา “เทียนจุนประทานพร”
จากนั้น กระแสพลังแห่งคำอธิษฐานสายหนึ่งไหลลงสู่จุดวิญญาณของนาง
จากนั้น นางจึงเรียกเฟิงซิวให้ออกเดินไปด้วยกัน
ไม่ว่าชาติภพใด แต่ละคนล้วนมีวิถีแห่งตน นางเชื่อว่าอีกฝ่ายจะบรรลุหนทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตนได้
เสี่ยวหยวนเป่าเม้มปากแน่น มองดูฉินหลิวซีที่จากไปด้วยความอาลัย นางอยากจะวิ่งตามไปตามสัญชาตญาณ แต่กลับมีมือหนึ่งคว้าแขนนางไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้น มองตามมือไป มองเห็นใบหน้าเปี่ยมเมตตา ชายชราผู้มีสีหน้าตำหนิ ยกมือจิ้มหน้าผากนางเบาๆ “ถึงเวลาที่เราต้องกลับบ้านแล้ว”
หัวใจน้อยๆ ของเด็กหญิงอ่อนลง นางตอบรับด้วยเสียงอู้อี้
ชายชราและเด็กหญิงตัวน้อยจูงมือกัน เดินหันหลังให้ทิศทางที่ฉินหลิวซีเดินจากไป เพียงแต่ทั้งสองต่างก็หันกลับไปมองทางเดิมอยู่หลายครั้ง
เด็กหญิงมองดูร่างที่เดินจากไปไกลเรื่อยๆ รู้สึกวูบโหวงอยู่ในใจ แต่ไม่นานก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง นางชอบพี่สาวเซียนคนนั้น เหมือนว่านางเคยพบพี่สาวผู้นั้นในชาติก่อน
ชายชราเองก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน หญิงสาวเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกยากจะบรรยาย คล้ายรู้สึกขอบคุณ หรืออาจจะเป็นความซาบซึ้งใจ
ช่างประหลาดนัก
“ท่านตงหลิน” มีคนเข้ามาคารวะ ชายชรารับคำด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
เขาคือเถียนตงหลิน บิดามารดาบอกแล้ว ผู้สูงส่งเรียกเขาว่าเกิดมาเพื่อนำพาความชุ่มเย็นแก่ผู้คน
“ไปเถอะ เรากลับบ้านกัน” ตงหลินจูงหลานสาวของตน เดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม
เฟิงซิวหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เอ่ยถาม “เป็นนางหรือไม่”
ฉินหลิวซีไม่เหลียวหลัง ตอบเบาๆ “คงจะใช่”
เฟิงซิวเอ่ย “ข้านึกว่าท่านจะรับศิษย์”
“ข้ากลายเป็นอาจารย์ปู่อยู่สูงรับความเคารพจากคนมากมายแล้ว จะรับศิษย์ไปทำไมกัน” ฉินหลิวซีตวัดตาใส่เขาด้วยความไม่สบอารมณ์ “นางมีวิถีของนาง”
เฟิงซิวหัวเราะร่วน “ไม่รับศิษย์ก็ดี รับไปมีแต่จะเหนื่อย เจอศิษย์ทรยศอีกยิ่งปวดหัว มาเล่นกับข้าดีกว่า”
“ไปเถิด” ฉินหลิวซีก้าวเดินต่อ หันกลับไปมองแวบหนึ่ง หางตาของนางกวาดมองไปทางสองปู่หลาน มุมปากยกยิ้ม
เช่นนี้ก็ดีแล้ว