คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 28 คารวะแด่ปวงชน
ตอนพิเศษ 28 คารวะแด่ปวงชน
………………..
ในขุนเขาไร้ซึ่งการนับเดือนปี วันเวลาผ่านไปดั่งสายลมพัดพา
ฉินหลิวซีลืมตาขึ้นจากการปิดด่านบำเพ็ญ เพ่งพลังอันพลุ่งพล่านในกายให้สงบนิ่ง ไม่ไกลจากนางนัก เฟิงซิวกระโดดพรวดขึ้นมา เพียงก้าวเดียวก็มาหยุดตรงหน้า ดวงตาคู่นั้นจับจ้องนางแน่นิ่ง แววตาซับซ้อนปนเปไปด้วยความลนลาน
หลายสิบปีก่อน นางเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อถึงวันนั้น นางจะไปยังสถานที่ที่นางควรไป
แดนสวรรค์
ยามนี้ วันนั้นมาถึงแล้วหรือ
เฟิงซิวคิดเช่นนี้ ถูกพลังแข็งแกร่งของฉินหลิวซีกดเอาไว้ แต่พลังวิญญาณที่ยังคงเอ่อล้นนั้นกลับกระตุ้นจนหัวใจบีบรัดแน่น
และตัวเขาเอง ดูเหมือนจะยังคว้าเอาประตูนั้นมาไม่ได้
จิตใจของเฟิงซิวตกอยู่ในความหม่นหมอง
ฉินหลิวซีเอื้อมมือออกไป คว้าเขาขึ้นจากพื้นแล้วกอดไว้แนบอก ถีบเท้าหนึ่งครั้ง เพียงไม่กี่อึดใจ ก็ออกจากที่ตั้งเดิมของสำนักชิงผิง
“ไปกันเถอะ เราไปร่ำลากันสักหน่อย”
ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าแม่มดขาว เหล่าแม่มดทั้งหลายจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้สวมอาภรณ์พิธีอันศักดิ์สิทธิ์ นางนั่งอยู่บนแท่นบูชา รอบกายเปล่งแสงเรืองรองด้วยพลังวิญญาณเข้มข้น เห็นแสงสีขาวบริสุทธิ์แวบผ่านให้เห็น
นี่คือผู้นำของตระกูล ทั้งยังเป็นผู้นำสูงสุดของชนเผ่าแม่มดขาว ซือเหลิ่งเย่ว์
ยามนี้นางกำลังผ่านด่านเคราะห์ เตรียมก้าวไปอีกขั้น เพื่อหลอมรวมจินตาน
ซือเหลิ่งเย่ว์สำเร็จรากฐานปราณตั้งแต่สิบปีก่อนหลังจากที่ฉินหลิวซีกลับมา ยามนี้ใกล้ผ่านไปห้าสิบปีแล้ว นางจะก้าวไปอีกขั้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพลังวิญญาณที่สมบูรณ์ขึ้น
ฉินหลิวซีมาได้ทันเวลา ซือเหลิ่งเย่ว์สัมผัสได้ เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองผ่านกลุ่มเมฆที่ปกคลุมอยู่เบื้องบน เผยรอยยิ้มกว้างอย่างวางใจ
นางมาแล้ว นางก็วางใจแล้ว
การมาถึงของฉินหลิวซี ทำให้ซือโหมวเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าแม่มดขาวดีใจ หันไปคารวะให้นางด้วยความนอบน้อม ทั้งคล้องแขนนางอย่างสนิทสนม ดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร่
นางและมารดาเป็นเพื่อนแท้ รู้จักกันมาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ทั้งสองจะล่วงผ่านร้อยปี และไม่ได้เจอหน้ากันมากมาย แต่ไม่เคยลืมเลือนกันและกัน
ฉินหลิวซีลูบศีรษะซือโหมว เอ่ย “รอมารดาเจ้าบรรลุจินตาน เจ้าก็ควรวางรากฐานปราณแล้ว จากนั้นมุ่งมั่นบำเพ็ญ หากไม่มีอะไร อนาคตในดินแดนแห่งจิตวิญญาณ จะต้องมีพื้นที่สำหรับพวกเจ้า”
ซือโหมวชะงัก รู้สึกได้ถึงบางสิ่ง กระบอกตาแดงขึ้นมา
ท่านน้าซีซีมาบอกลา นางจะลอยขึ้นสู่สวรรค์แล้ว
“เจ้าค่ะ ข้าจะทำตามที่ท่านกล่าวอย่างแน่นอน”
เมฆฟาดสะท้านเลื่อนลั่น ไม่นานก็ฟาดลงมา
ซือเหลิ่งเย่ว์ตั้งแต่คำสาปเลือดแห่งตระกูลซือถูกถอน ผสานเปิดเส้นพลังทั่วร่างราวกับบรรลุสู่หนทางใหม่ นางได้รับการสืบทอดวิชาอันล้ำลึกจากบรรพชน ใช้ชีวิตในฐานะผู้สืบทอดด้วยความมุ่งมั่น ฝึกฝนบำเพ็ญวิชาแม่มด เรียกได้ว่าราวกับปลาได้น้ำ
ร้อยปีมานี้ นางไม่เคยย่อหย่อนในการบำเพ็ญ เรื่องในเผ่ามอบหน้าที่ให้เป็นของคนในเผ่าคอยจัดการ ตัวนางตั้งใจมุ่งมั่นฝึกวิชา และไม่ยอมให้แซ่ซือต้องตกต่ำ ยกระดับอาคมชนเผ่าแม่มดให้เจิดจรัสอีกครั้ง ยามนี้ลูกศิษย์ในสำนักแม่มดขาวเองก็มีไม่น้อย
มีสายเลือดอีกทั้งความบากบั่น บวกกับพรสวรรค์ แม้การบรรลุจินตานจะเป็นดั่งก้าวสู่ความตาย แต่ซือเหลิ่งเย่ว์ก็ผ่านมันมาได้
ฝนวิญญาณโปรยปราย นำมาซึ่งความยินดีล้นเหลือของชนเผ่า ตระกูลแม่มดของพวกเขาก็มีเจินจวินแห่งจินตานแล้วเช่นกัน
ซือเหลิ่งเย่ว์เองก็ยินดี แต่เมื่อมองเห็นฉินหลิวซี หัวใจพลันสั่นไหว ยามนี้ตบะของนางสูงขึ้น มองทะลุเห็นพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยมในตัวสหาย เห็นอาภรณ์แห่งจิตวิญญาณอันสูงส่ง เสมือนปีกพร้อมบินขึ้นสู่แดนสวรรค์
โชคชะตาของสหายมาถึงแล้ว
ซือเหลิ่งเย่ว์ก้าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ คว้าไหล่ของฉินหลิวซีเอาไว้ เอ่ย “ข้ายังตามเจ้าไม่ทันอยู่ดี”
ฉินหลิวซีลูบหลังนางเบาๆ ยิ้มเอ่ย “วันนี้ไม่เหมือนวันวาน ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปมากแล้ว แม้เจ้าจะบรรลุจินตานแล้วยังคงต้องฝึกฝนต่อไป จงคว้าโอกาสรอเวลาที่ประตูสวรรค์จะเปิด”
“ประตูสวรรค์จะเปิดจริงหรือ” ซือเหลิ่งเย่ว์ใจเต้น
ฉินหลิวซีกะพริบตา เอ่ย “ข้าได้สัมผัสขอบของประตูสวรรค์แล้ว หากมันไม่เปิดให้ข้า ข้าก็จะถีบมันเปิด ให้ข้าเข้าไป”
ประตูสวรรค์ “?”
ซือเหลิ่งเย่ว์หัวเราะออกมา ต้องเป็นเจ้าสินะ สมกับที่เป็นเจ้า
นางหัวเราะจนน้ำตาไหล ใช้แรงกอดบ่าฉินหลิวซีแน่น เอ่ย “ข้าต้องไปส่งเจ้าก่อนไปแน่นอน”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนอยู่แล้ว รอข้าถีบประตูเปิดแล้ว ฝนแห่งพลังวิญญาณที่โปรยปรายลงมาจะเป็นพรอันดีงามที่สุด ไม่ให้ผู้ใดเข้ามารับพรได้” ฉินหลิวซีเอ่ย
ซือเหลิ่งเย่ว์มองไปยังจิ้งจอกด้านข้าง เอ่ย “มันเล่า”
เฟิงซิวพ่นลมหายใจออกมา ไม่มองมาทางนี้ แต่หูตั้งขึ้น ความสนใจพุ่งมาทางนี้ทั้งหมด
เฉินหลิวซีมองไปยังสุนัขจิ้งจอกที่แกล้งทำเหมือนไม่สนใจ เอ่ย “ก็ต้องดูโชคชะตาของมันแล้ว”
เฟิงซิวหม่นหมองลง
เอ่ยออกมาก็เท่ากับไม่เอ่ย คำตอบแทบจะไร้ความหมาย
เฮ้อ
หลังออกจากเผ่าของตระกูลซือแล้ว ฉินหลิวซีพาเฟิงซิวเดินทางจากชิงโจวไปยังไปยังอวี๋หัง
ข้างทะเลสาบลวี่หูมีศาลเจ้าขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ภายในศาลเจ้ามีรูปเคารพเทพเจ้าทำจากดินเหนียว แม้จะเป็นแค่รูปดินเหนียว แต่ไม่ว่ากาลเวลาผันเปลี่ยนไป รูปเคารพนี้ก็ยังคงไร้ซึ่งร่องรอยการถูกกัดกร่อนจากกาลเวลา แม้เคยตกลงไปบนพื้น มันก็ไม่เคยแตกหักแม้แต่น้อย กลับกัน เพราะมีผู้บูชาคอยเซ่นไหว้บูชา เทพเจ้าในรูปเคารพยิ่งดูศักดิ์สิทธิ์และยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก
ศาลเจ้านี้ เป็นศาลเจ้าของเทพเจ้าน้ำ
และเทพเจ้าน้ำนี้ ไม่ใช่เทพที่เคยเป็นอสูรชั่วร้ายเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เป็นเทพที่มีชื่อที่ปรากฏบนแผ่นศิลามีอักษรสลักเอาไว้สี่คำว่า เทพเจ้าน้ำเฟิงปั๋ว
เช่นเดียวกับรูปเคารพดินเหนียว แม้เวลาจะผันผ่านไป แต่เทพองค์นี้ก็ไม่เคยมีร่องรอยชำรุดเสียหาย เมื่อแสงแดดสาดส่องเข้ามาในศาลเจ้า แสงตกลงบนแผ่นศิลาที่สลักอักษรคำนี้ ทองคำจากแสงสะท้อนออกมาจากคำเหล่านั้น สะท้อนลงบนรูปเคารพดินเหนียว ราวกับเทพเจ้าปรากฏตัวขึ้น
หลังสงครามปราบเทพ ศาลเจ้าเทพเจ้าน้ำก็ถูกทำลาย แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์เป็นราชวงศ์ซี ทะเลสาบลวี่หูฝั่งนี้ก็ได้มีการสร้างศาลเจ้าเทพน้ำใหม่ขึ้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับรูปเคารพและแผ่นศิลาศักดิ์สิทธิ์ มีผู้บูชา เทพเจ้าในศาลเจ้านั้นจึงได้รับการบูชาอีกครั้ง
เมื่อผู้คนเริ่มสังเกตถึงความศักดิ์สิทธิ์ของรูปเคารพดินเหนียวและแผ่นศิลานั้น จำนวนผู้บูชาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ผ่านไปหลายสิบปี ไฟศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าเทพเจ้าน้ำก็รุ่งเรืองยิ่งขึ้น มีผู้เห็นเทพเจ้าน้ำจากทะเลสาบลวี่หูปรากฏตัวขึ้น ร่างเหมือนกับรูปเคารพที่สลักไว้
เทพเจ้า มีผู้บูชา ย่อมมีตัวตนอยู่จริง
เทพเจ้าน้ำเฟิงปั๋วก็ได้รับการบูชาอย่างนี้
เขา ได้รับการเซ่นไหว้บูชาจากผู้ศรัทธา แต่เขาก็ยังคงรอคอยคนผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้บูชาคนแรก ผู้ที่เป็นผู้ปั้นรูปเคารพเทพเจ้า ทำแผ่นศิลาศักดิ์สิทธิ์ และบูชาเทพเจ้า
คือผู้ใดกัน
เฟิงปั๋วนั่งอยู่ริมทะเลสาบลวี่หูอย่างเกียจคร้าน มองดูแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดแสงทองลงบนผืนน้ำ มีผู้หนึ่งเดินมาในยามแสงสุดท้าย ถือธูปศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ
เขาลุกขึ้นยืน
เป็นนาง ผู้ศรัทธาคนแรกของเขา
ธูปที่นางถือไม่เหมือนธูปทั่วไป ราวกับทำด้วยมืออย่างพิถีพิถัน
“ข้ามาสักการะเจ้า อีกทั้ง เพื่อบอกลาเจ้า” ฉินหลิวซียิ้มให้เขาแล้วโค้งคำนับจากระยะไกล เอ่ย “เฟิงปั๋ว ครั้งนี้ เจ้าต้องกลายเป็นเทพเจ้าอย่างแท้จริง บรรลุจิตวิญญาณแห่งเทพ และได้ตำแหน่งแห่งเทพเจ้า”
เฟิงปั๋วรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ริมฝีปากกลับเอื้อนเอ่ยออกไปโดยไม่ทันคิด “ได้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
ฉินหลิวซีปักธูปลงในกระถางธูป เมื่อแสงสุดท้ายของวันลับตา นางก็หายไปจากสายตาของเฟิงปั๋ว
“ครั้งนี้ จะเป็นการลาจริงๆ แล้วกระมัง” เขาพึมพำเบาๆ
แต่ไม่นานนักเขาก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เหตุใดเขาจึงพูดคำว่า ‘ครั้งนี้’ นางเป็นเพียงผู้ศรัทธาของเขา ไม่ใช่หรือ
ไยจึงรู้สึกราวกับเป็นคนคุ้นเคยกันเล่า
เฟิงปั๋วครุ่นคิดเท่าใดก็ไม่อาจเข้าใจ ก่อนจะดึงเด็กน้อยที่พลัดตกน้ำขึ้นมาวางไว้ริมตลิ่งอย่างเงียบๆ แล้วกลับคืนสู่รูปเคารพดินเหนียว สูดกลิ่นธูปศักดิ์สิทธิ์ พร้อมปล่อยความคิดล่องลอยไป
…
ศาลเทพเจ้าประจำเมืองอำเภอหนาน
เทพเจ้าประจำเมืองหนาน แม้ได้เป็นถึงเทพเจ้าประจำแคว้น แต่ศาลของเขา ร้อยปีมาแล้ว ยังคงตั้งอยู่ที่นี่ ตรงนี้ กลายเป็นแหล่งประวัติศาสตร์อันเลื่องชื่อ มีคนมากมายมาเยี่ยมชม สักการะบูชา กราบไหว้เทพเจ้าประจำเมืองเพื่อขอพรให้ชีวิตราบรื่น
ฉินหลิวซีถือไหสุราและไก่ย่างตัวหนึ่งเดินเข้ามาในศาล เทพเจ้าประจำเมืองหนานยินดียิ่งนัก แต่ในความยินดีนั้น แฝงไว้ด้วยความอาวรณ์ที่แทบไม่อาจสังเกตเห็น
เหล้าเต็ม ไก่หมด[1]
อาจารย์และศิษย์นั่งเงียบ ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยคำใด
บนหลังคา เฟิงซิวนั่งยองๆ มองดูสองคนที่นั่งเรียงกัน พลางจ้องจันทร์ดวงกลมบนฟากฟ้า ในใจอยากจะเห่าหอนสักคำ เพื่อทำลายบรรยากาศแห่งความอาลัยอาวรณ์เบาบางนี้ แต่ก็เกรงว่าหากหอนขึ้นมา จะถูกผู้คนคิดว่าเป็นหมาป่า
ทว่าในที่สุด ความอึดอัดในใจของเขาก็พลันคลี่คลาย
เทพเจ้าประจำเมืองหนานเป็นผู้ทำลายความเงียบก่อน เอ่ย “เขียวเหนือครามย่อมเหนือกว่าคราม สำหรับอาจารย์แล้ว ไม่มีสิ่งใดให้สอนเจ้าอีก ในโลกมนุษย์นี้ เจ้าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว เจ้าควรจากไป ไปยังดินแดนที่กว้างใหญ่กว่าเดิม”
โลกมนุษย์ ต่อให้พลังวิญญาณสมบูรณ์เพียงใด ต่อให้มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเพียงใด มันก็ยังคงเป็นโลกมนุษย์ หากการบำเพ็ญเพียรบรรลุถึงจุดสมบูรณ์สูงสุด แตะต้องประตูแห่งการโบยบินขึ้นสู่สวรรค์ หากดื้อดึงอยู่ต่อไป สวรรค์ย่อมกดดัน
สวรรค์ย่อมมีหลักการของตนเอง ไม่อาจปล่อยให้ผู้บำเพ็ญที่เกินขอบเขตของโลกมนุษย์ดำรงอยู่ได้ เพื่อรักษาสมดุล จะต้องส่งคนไปยังดินแดนอื่น หรือไม่ก็กดดัน
กดดันนานเข้า ก็ย่อมกลายเป็นบาดแผล
ดังนั้น ฉินหลิวซีจึงไม่อาจอยู่ต่อได้
นี่เป็นผลของการเปลี่ยนผ่านแห่งยุคสมัย หากไม่มีการฟื้นคืนพลังวิญญาณหลังศึกสังหารเทพ สิ่งนี้ย่อมไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อพลังวิญญาณฟื้นคืน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม
โลกมนุษย์ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ แต่ก็มีตระกูลใหญ่หลายแห่งที่ส่งเสริมผู้บำเพ็ญขึ้นมาเพื่อปกป้องตระกูลของตน แม้แต่ราชวงศ์ก็ไม่เว้น ผู้ใดมีรากวิญญาณ ย่อมถูกส่งไปบำเพ็ญเพื่อรอคอยโอกาส
ลองถามดูเถิด ร้อยปีก่อน หรือแม้แต่สิบปีก่อน ใครจะคาดคิดว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนเป็นเช่นนี้
แต่ในความเป็นจริง มันกำลังเปลี่ยนแปลง
พลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ขึ้น ผู้คนเปลี่ยนไป ทรัพยากรก็เปลี่ยนตาม ราชวงศ์และตระกูลใหญ่ยังคงแย่งชิงกันอยู่ แต่สิ่งที่แย่งชิงคือทรัพยากรสำหรับการบำเพ็ญ
บัดนี้ฉินหลิวซีกลายเป็นบุคคลแรกที่ใกล้จะโบยบินขึ้นสู่สวรรค์
เมื่อทางนี้เปิดออก ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หวนคืนสู่ยุคแห่งการบำเพ็ญเซียน
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉินหลิวซีอีกแล้ว นางจะบินขึ้นไปยังโลกที่ต่างออกไป อย่าว่าแต่ยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์เลย แม้แต่การกลับมาก็ยังยากจะกล่าว
ฉินหลิวซีใช้สองมือยันพื้น มองดูจันทร์ดวงกลม เอ่ย “ข้านึกว่าท่านจะรั้งข้าไว้ ท่านช่างใจแข็งสมกับเป็นผู้เฒ่า ทุกปีที่ข้าถวายสุราไก่ย่างให้ท่านช่างเสียเปล่า”
เสียงเคาะศีรษะดังเปาะ
ฉินหลิวซีร้องโอ๊ยพลางถลึงตาใส่เขา “ไยลงไม้ลงมืออีกเล่า”
“ไม่มีมารยาท ข้ายังเป็นเทพเจ้าอยู่นะ” เทพเจ้าประจำเมืองหนานถลึงตากลับ เอ่ย “นิสัยเจ้าเป็นอย่างนี้ ข้าจะรั้งเจ้าไว้ทำไม ให้ข้าหัวเสียหรืออย่างไร”
“เอาเถิด ข้าจะไปแล้ว ท่านไม่รั้งข้าใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน ทำท่าจะจากไป เอ่ยอย่างจงใจยั่วโมโห “ไม่รั้งข้าไว้ ข้าก็จะไปจริงๆ แล้ว”
“ไปเถิด รีบไปเร็วๆ” เทพเจ้าประจำเมืองหนานหันหลังให้นาง เอ่ย “ก่อนจากไป อาจารย์ขอพูดกับเจ้าไว้หนึ่งประโยค ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เจ้าต้องยึดมั่นในทางแห่งความถูกต้อง ผู้แข็งแกร่งอย่ากระทำชั่ว ผู้อ่อนแออย่าได้ท้อแท้ ต้องรักษาหัวใจแห่งเต๋าไว้ให้มั่น เต๋าอันยิ่งใหญ่ต้องมาก่อนเสมอ”
“ศิษย์อกตัญญู ขอรับคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ไว้ด้วยใจ” ฉินหลิวซีคุกเข่า โขกศีรษะเก้าครั้ง
เทพเจ้าประจำเมืองหนานรู้สึกแน่นในอก แต่กลับไม่หันหลังไป เอ่ย “เจ้าไปเถิด”
เบื้องหลังไร้เสียงใดๆ เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงร่ำไห้แผ่วเบา พึมพำ “เจ้าเด็กโง่ ใครกันที่ใจแข็งนัก ฮือ ฮือ”
ทันใดนั้นร่างเขาก็แข็งทื่อ อับอายเสียแล้ว ครั้งนี้เสียหน้ามาก
มีคนโอบรอบเอวเขาไว้จากด้านหลัง แก้มแนบกับแผ่นหลังของเขา เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่เขาแบกเด็กคนนั้นออกจากเมืองหลวง
ร้อยปีแล้ว
วาสนาระหว่างอาจารย์กับศิษย์ มีมากว่าร้อยปี เพียงพอแล้ว
เทพเจ้าประจำเมืองหนานลูบมือนาง ไม่เอ่ยวาจาใดๆ แม้เพียงประโยคเดียว
“อาจารย์ ข้าจะรอท่านที่แดนเซียน” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ได้”
ผ่านไปชั่วครู่ ร่างที่เคยแนบชิดก็หายไป ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เหลือเพียงเสียงลมโศกสะท้าน
เทพเจ้าประจำเมืองหนานเงยหน้ามองจันทร์ดวงกลม คืนนี้แสงจันทร์ช่างสว่างยิ่งนัก สว่างจนแสบตาให้ต้องคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแล้ว
ขณะเดียวกัน เฟิงซิวเองก็รู้สึกเศร้าใจไม่แพ้กัน
เขามองดูฉินหลิวซีกล่าวลาผู้คนทีละคน ตอนนี้มาถึงอารามชิงผิง แต่นางกลับไม่ได้เรียกผู้ใด เพียงแอบเข้าไปในวิหารหลักเงียบๆ เพื่อจุดธูปคารวะท่านปรมาจารย์
ยามนี้อารามชิงผิงที่นางคุ้นเคย เหลือเพียงเถิงเจาศิษย์ของนาง ฉังตู้ศิษย์หลาน และซานหยวน ส่วนชิงหย่วนมิอาจสร้างรากฐานได้ เสียชีวิตไปในวัยร้อยปีแล้ว
ส่วนภูตวิญญาณก็มีเพียงโสมน้อยกับหนูทองคำ พวกมันล้วนเป็นภูตวิญญาณ อยู่ในอารามบำเพ็ญเพียรอยู่ตลอด โชคดีนัก
ฉินหลิวซีไม่ได้เรียกพวกเขา เพราะคิดว่าเมื่อถึงเวลาโบยบินขึ้นสู่สวรรค์ ย่อมต้องเรียกพวกเขามาดูดซับพลังเอาไว้ เมื่อถึงตอนนั้น ค่อยกล่าวลายังไม่สาย
แต่เมื่อนางจุดธูปเสร็จ กลับเห็นสายตาของเหล่าผู้คน โสมและหนูกำลังจับจ้องนาง
ฉินหลิวซีที่ถูกจับได้ถึงกับรู้สึกผิดอยู่บ้าง กระแอมไอเบาๆ “ยังไม่ถึงเวลาสวดมนต์ตอนเช้าเสียหน่อย”
เถิงเจาก้าวเข้ามาเป็นคนแรก คุกเข่าลงตรงหน้านาง เอ่ยเรียกอาจารย์เสียงดัง
ฉินหลิวซีถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
นางลูบศีรษะของเถิงเจา เอ่ย “เรื่องอื่นข้าไม่อยากเอ่ยอะไรมาก หลังจากที่ข้าโบยบินขึ้นไปแล้ว อารามชิงผิงจะกลายเป็นสำนัก เจ้าจงจดจำคำปฏิญาณของสำนักไว้ให้มั่น ผู้ใดที่ทรยศสำนักข้า จะต้องถูกลงโทษถึงตาย”
“ขอรับ”
“ข้าจะทิ้งเศษเสี้ยวพลังเทพไว้ หากในอนาคต สำนักชิงผิงต้องเผชิญเหตุการณ์ที่ไม่อาจแก้ไขได้ เจ้าจงใช้ธูปเทพอัญเชิญข้าเพื่อสื่อสาร” ฉินหลิวซีเอ่ย “แน่นอน ข้าหวังว่าจะไม่มีวันต้องใช้งานมัน”
เถิงเจารับคำอีกครั้ง
ฉินหลิวซีเอ่ยวาจาที่เอ่ยกับซือเหลิ่งเย่ว์อีกครั้ง “ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ในอนาคตประตูสวรรค์จะเปิด พวกเจ้าทั้งหลายก็จะได้ขึ้นไปเช่นกัน เพียรพยายามบำเพ็ญเพียร ยึดมั่นในเต๋า การกำจัดปีศาจปกป้องธรรมะเป็นหน้าที่ของพวกเรา ดังนั้นไม่ต้องเศร้าใจ อนาคตไม่แน่ว่าเราจะได้พบกันอีก”
เถิงเจาดวงตาเป็นประกาย เงยหน้าขึ้นมา
ฉินหลิวซีมองดูทุกคนที่สายตาส่องประกาย ใบหน้าภาคภูมิใจ “ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน เพื่อสร้างแผ่นดินให้พวกเจ้า”
“ขอรับ”
โสมน้อยมองฉินหลิวซีเดินจากไปพร้อมกับเฟิงซิว เอ่ยขึ้นตามหลัง “นางขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ไปสวรรค์ไม่ใช่หรือ ประตูสวรรค์เปิด เปิดประตูแดนเซียน หรือว่าแดนวิญญาณในตำนานหรือ”
หนูทองคำ “มีอะไรต่างกันหรือ”
“แดนวิญญาณคือการบำเพ็ญเซียน ส่วนสวรรค์เป็นแดนเบื้องบน สำเร็จเป็นเซียนแล้วกระมัง” โสมน้อยขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าเราถูกนางหลอกแล้วกระมัง”
เถิงเจาลุกขึ้นยืน เอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นแดนใด หากจากโลกมนุษย์ไปสู่แดนวิญญาณได้ อนาคตก็ย่อมจากแดนวิญญาณไปสู่สวรรค์ได้ การบำเพ็ญเพียรคือหนทางที่แท้จริง”
ตราบใดที่ยังสามารถติดตามนางต่อไป ไม่ว่าจะเป็นแดนใดก็คุ้มค่าที่จะผจญภัย
เฟิงซิวกระโดดลงจากไหล่ฉินหลิวซี ถอยออกไปไม่กี่ก้าว “ถึงตาข้าแล้ว เอ่ยเถิด จะเศร้าสลดเพียงใดข้ารับได้ เรื่องโดนหลอกลวงนี่ข้าคุ้นเคยดี”
ฉินหลิวซีมุมปากกระตุก “เจ้าเล่นใหญ่ไปหรือไม่”
“เจ้าคนอื่นๆ ท่านเดินไปร่ำลาครบหมดแล้ว ข้านี่ไม่คู่ควรที่ท่านจะร่ำลาหน่อยหรือไร” เฟิงซิวแสยะยิ้ม “นี่ท่านเกินไปแล้วนะ”
ฉินหลิวซีกลอกตา เอ่ย “เจ้าบ้าหรือ ข้าจะขึ้นสวรรค์ทั้งที ต้องแอบพาเจ้าติดตัวไปสิ”
เฟิงซิวชะงัก “หมายความเช่นไร”
หัวใจเขาตื่นเต้นดีใจ คงไม่เป็นอย่างที่เขาคิดใช่หรือไม่
ฉินหลิวซีจับเขาขึ้นมา กรีดมือเขาให้เลือดปีศาจไหลออกมา จากนั้นดึงวิญญาณออก เอ่ย “เจ้ากับข้า จะทำพันธสัญญาแห่งชีวิตและความตายต่อฟ้าดิน เป็นสหายวิญญาณของข้า เช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”
ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ
เฟิงซิวอยากหัวเราะลั่นด้วยความยินดี แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ เอ่ย “ท่านไม่ถามข้าสักคำว่าเต็มใจหรือไม่”
“แล้วเจ้าล่ะ เต็มใจหรือไม่” ฉินหลิวซีลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “หลายพันปีมาแล้ว ไม่มีผู้ใดเคยขึ้นสวรรค์ ข้าแม้สัมผัสได้ถึงเต๋า แต่ก็ไม่เคยขึ้นสวรรค์มาก่อน ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ อาจถูกฟ้าผ่าจนร่างสลายหายไป…”
“เลิกพูดไร้สาระเสียที มาทำพันธสัญญากันเถิด” เฟิงซิวขัดจังหวะนาง เอ่ย “เพียงโดนฟ้าผ่า ข้าไม่เคยกลัว เราก็เคยโดนด้วยกันมาแล้ว จะกลัวอะไรกัน”
“ไม่เสียใจภายหลังนะ”
“กล้าติดตามด้วยชีวิต”
เสียใจนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า
รัชศกเฉิงหยวนที่สิบสาม ต้นฤดูร้อน ดินแดนเทพตกสวรรค์ มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรพากันมาที่นี่ พลังจิตเพ่งเล็งไปยังจุดศูนย์กลางของดินแดนเทพตกสวรรค์
หลายพันปีผ่านไป ในที่สุดก็มีเต๋าจวินที่สามารถสัมผัสประตูสวรรค์ได้อีกครั้ง จะเผชิญการฟ้าผ่าและขึ้นสวรรค์
สถานที่แห่งนี้เคยมีเทพตกสวรรค์ ยามนี้หลังจากพลังวิญญาณฟื้นฟู ก็มีคนขึ้นสวรรค์ที่นี่อีกครั้ง
วาสนา ประหลาดล้ำเกินจะพรรณนา
ทุกคนต่างเป็นพยานต่อการโบยบินสู่สวรรค์ในครั้งนี้ หากสำเร็จ นั่นหมายความว่า โลกเซียนยังคงอยู่ พวกเขาก็มีโอกาสเช่นกัน
การโบยบินสู่สวรรค์ในครั้งนี้ ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
เมื่อเห็นกลุ่มเมฆดำทมิฬน่าสะพรึงกลัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทุกคนต่างตื่นตระหนก มันน่ากลัวยิ่งกว่าการบรรลุพื้นฐานใดๆ แต่ยังคงเฝ้ารอคอยอย่างไม่หยุดยั้ง
ฉินหลิวซีลอบมองกลับมาเงียบๆ “คุ้มหรือ”
เสียงฟ้าร้องดังสนั่น
คุ้ม คุ้มมาก เจ้าคือไฟบาปแห่งการทำลายล้างโลก ยามนี้เจ้าจะโบยบินสู่สวรรค์ การทดสอบจะไม่หนักหนาสาหัสได้อย่างไร
“ฟ้าผ่าข้าตาย จุดกำเนิดของไฟนรกก็จะดับสูญ หึๆ เจ้าคิดให้ดีๆ” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค
เสียงฟ้าร้องดังท่ามกลางกลุ่มเมฆ ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น
ไม่ยอมรับคำข่มขู่เด็ดขาด
ฉินหลิวซีถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นเมฆพายุที่หนักขึ้นเรื่อยๆ นางปล่อยพลังจิตออกไป สายตากวาดผ่านผู้คนที่ยังอยู่ ซือเหลิ่งเย่ว์ เถิงเจา ฉังตู้ เจ้าโสมน้อย…
ข้าจะไปสำรวจทางก่อน อย่าปล่อยให้ข้ารอนาน
ประโยคหนึ่งดังขึ้นที่หูของพวกเขา
พวกเถิงเจาโค้งคำนับอยู่บนพื้น
ฉินหลิวซีมองไปยังเฟิงซิวที่พร้อมจะออกตัวแล้ว พยักหน้าให้เขา
“สายฟ้านั้นข้าคุ้นเคยแล้ว ผ่อนเบาหน่อย มาเลย” ฉินหลิวซีเสียงดัง ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ครื้นนน
เต๋าจวินโบยบินขึ้นสู่สวรรค์ ถามจิตแห่งเต๋าเพราะเหตุใด
ฉินหลิวซี “บ้านเมืองสงบขึ้นเขาปิดประตูบำเพ็ญ บ้านเมืองวุ่นวายลงเขาช่วยเหลือราษฎร เต๋าอันยิ่งใหญ่ต้องมาก่อนเสมอ”
แปดสิบเอ็ดสายฟ้าแห่งเก้าชั้นฟ้าที่หนาเท่าท่อนแขนผ่าลงมาเป็นเวลาเก้าวันเก้าคืน รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แทบอยากผ่าคนผู้นั้นให้ตาย
จิตวิญญาณของฉินหลิวซีแทบแตกสลาย สติสัมปชัญญะของนางเลือนราง ในขณะที่นางคิดว่าตนเองลงเดิมพันผิด นางกลับเห็นวงแหวนจันทรางดงาม แสงสีขาวบริสุทธิ์ปนแสงสีทอง เปรียบดั่งความฝันอันเลือนราง
ประตูสวรรค์เปิดออกแล้ว
เสียงดนตรีเซียนบรรเลงเบาๆ ฝนวิญญาณตกลงมา ชโลมทุกสรรพสิ่ง
ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของฉินหลิวซีกำลังฟื้นฟูใหม่ จิตวิญญาณกลับเข้าสู่ปราณเทพ นางลอยเข้าสู่วงแหวนจันทรายิ่งใหญ่
ทันทีที่ก้าวเข้าไป จู่ๆ สายฟ้าสีม่วงหนาขนาดคนก็ผ่าลงมาหนักหน่วง พร้อมเสียงเยาะเย้ยปนความสุขที่ได้รับ “หึ คิดไม่ถึงใช่หรือไม่ ยังมีสายฟ้าที่ซ่อนอยู่ ชั้นที่สิบ ไปเถิด”
ฉินหลิวซีจมดิ่งเข้าสู่ความสับสน ส่งเสียงคำรามออกมา “เจ้าสัตว์เดรัจฉาน เจ้าคิดว่าสนิทกันก็เลยมาหลอกกันได้หรือ”
เสียงดนตรีเซียนกลบคำนี้ เหลือเพียงเสียงเพลงที่ไพเราะเสนาะหู ฝนวิญญาณชโลมร่างกายและจิตวิญญาณของทุกคน มองวงแหวนจันทราที่งดงามตระการตา ไม่รู้ว่าผู้ใดบ่นคำใด
เจ้าเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับกลายเป็นเหตุให้เกิดพายุใหญ่ขึ้นมา
ไม่ เจ้าเป็นเพียงผู้มาเยือนที่งดงามราวกับหงส์ที่ปรากฏตัวเพียงชั่วครู่ในโลกมนุษย์
ข้ามีเหล้าหนึ่งไห ขอคารวะเจ้า คารวะแด่ปวงชน
——จบบริบูรณ์
[1] ตรงกับสำนวนไทยว่า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา