คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 3 เรื่องราวในตระกูลฉิน (3)
ตอนพิเศษ 3 เรื่องราวในตระกูลฉิน (3)
………………..
การดูตัวครั้งนี้ล้มเหลวอีกครั้ง ฉินหมิงเยี่ยนเองรู้สึกท้อแท้อยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากแต่งงานเสียทีเดียว อย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายคนโตสายตรงของตระกูล อีกทั้งยามนี้ฉินหลิวซีเองก็จากไปแล้ว พอข่าวนี้ถึงหูเหล่าผู้อาวุโส ผมหงอกก็งอกเพิ่มไปหลายเส้น แม้แต่อนุวั่นที่รักความงามยิ่งกว่าสิ่งใดยังไม่เว้น
เขาควรจะแต่งงานเสียแต่เนิ่นๆ ให้กำเนิดบุตรหลานสักสองสามคนเพื่อเป็นที่พึ่งใจของผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่เช่นนั้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทุกข์ตรมในใจ อาจมีผลต่ออายุขัย
เพียงแต่ เขาเอ่ยตามความเป็นจริงเขาผิดหรือ
ต่อให้ตอนนี้เขาไม่บอก เมื่อแต่งงานแล้ว ภรรยารู้ว่าเขาต้องทำสิ่งใดในหน้าที่ จะไม่รู้สึกขัดเคืองใจหรือ
ในเมื่อจะกลายเป็นคู่ชีวิตที่ขัดแย้ง มิสู้บอกออกไปตั้งแต่เนิ่นๆ ยังจะดีกว่า
ทว่าหากเอ่ยถึงตัวเขาแล้ว ฉินหมิงฉุนดูเหมือนจะมีโอกาสง่ายกว่า เขาเป็นคนหน้าตาดี ริมฝีปากแดงฟันขาว แลดูสุภาพ พูดจาหวานไพเราะ เป็นบุตรเขยในฝันของเหล่ามารดาเจ้าสาวโดยแท้
บางทีสายตาของเขาคงร้อนแรงเกินไป ฉินหมิงฉุนขนลุกซู่ไปทั้งตัว เอ่ย “ท่านอย่าได้คิดโยนความคิดนั้นมาไว้ที่ตัวข้า ข้าเพิ่งจะสิบห้า ต้องมาสูญเสียน้ำเชื้อตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ใช่เรื่องดี”
ฉินหมิงเยี่ยนเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง เอ่ย “เจ้าเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ดีนัก”
“อย่างน้อยข้าก็เคยเปิดตำราการแพทย์อ่านมาบ้าง” ฉินหมิงฉุนแค่นเสียงกล่าว
ฉินหมิงเยี่ยนเงียบไปทันที ตำราการแพทย์และภาพวาดเส้นลมปราณที่อยู่ในห้องหนังสือของจวน ล้วนเป็นสิ่งที่ฉินหลิวซีทิ้งไว้ให้ พี่น้องในจวนทุกคนต่างเคยพลิกอ่าน เพราะในนั้นมีคำอธิบายที่นางเขียนกำกับไว้ด้วยลายมือ
นึกถึงครั้งสุดท้ายที่พบกับฉินหลิวซี นางยังกล่าวเตือนเขาไว้ว่า ควรแต่งงานเสียที ให้กำเนิดบุตรหลานสองสามคน เพื่อให้มารดาได้ชื่นชมความสุขในวัยชรา
ตอนนี้ดูเหมือนเขาไม่เอาไหนเสียจริง
ฉินหมิงเยี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “บุตรีในตระกูลใหญ่ มักถูกเลี้ยงดูในเรือนหลัง ไม่ได้ออกจากประตูใหญ่หรือจวนเล็ก สิ่งที่พบเห็นส่วนใหญ่ก็มีแต่พิณ หมากล้อม อักษร และภาพวาด ประสบการณ์ของข้าดูเหมือนจะน่าตกใจเกินไปสำหรับพวกนาง”
“ในที่สุดพี่ก็รู้ตัวเสียที”
“คุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ทั้งบอบบางและขี้ขลาด เช่นนั้น ข้าควรลองไปหาจากตระกูลขุนนางสายทหารหรือครอบครัวธรรมดาแทนดีหรือไม่”
ฉินหมิงฉุนชะงักไปเล็กน้อย เอ่ย “ก็คงไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนั้น”
ฉินหมิงเยี่ยนส่ายศีรษะ เอ่ย “ตระกูลฉินของเราไม่ได้เป็นตระกูลสูงศักดิ์อะไรนัก เมื่อคราวก่อนยังเคยถูกเนรเทศ แม้ตอนนี้จะได้รับการฟื้นฟูสถานะ แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยที่ดูถูก”
“พี่รองท่านดูถูกตนเองเกินไปแล้ว ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งตำแหน่งให้ท่านด้วยพระองค์เอง ทรงพระกรุณาให้ยกเว้นการลาไปไว้ทุกข์ แม้แต่พิธีศพของท่านปู่ ทรงยังโปรดให้ขันทีคนสนิทนำเครื่องบรรณาการและมาจุดธูปด้วยพระนามของพระองค์เอง ท่านไม่เข้าใจความหมายของการกระทำนี้หรือ” ฉินหมิงฉุนเอ่ย “นี่แสดงว่าฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับตระกูลฉิน และให้ความสำคัญกับท่าน ในเมืองหลวงนี้ ผู้ใดไม่มีตา เห็นท่าทีของฝ่าบาทเช่นนี้ ท่านเข้าตาของพระองค์ อนาคตจะเป็นอย่างไรก็รู้ได้”
“นอกจากนี้ ฮ่องเต้ให้ความสำคัญตัวท่านเองก็ต้องมีความสามารถมิใช่หรือ ท่านเพิ่งเข้ารับตำแหน่งในกรมอาญาเพียงหนึ่งปีก็สามารถไขคดีใหญ่ๆ ได้มากมาย จนได้รับฉายาว่า ‘เทพนักสืบ’ พี่ชายคิดว่าคนอื่นยกยอท่านเกินจริงหรือ คดีเหล่านั้น หากไม่ใช่เพราะท่านตรวจสอบคดีอย่างละเอียดรอบคอบจนคลี่คลายได้สำเร็จ ฉายานี้จะมาจากใด สิ่งที่พี่ชายทำได้ คนในกรมอาญาต่างก็รับรู้ ท่านมีพรสวรรค์ ถึงได้รับฉายา มีความสามารถแท้จริง ฝ่าบาทให้ความสำคัญ อนาคตจะแย่ได้หรือ ในสายตาคนเมืองหลวงนี้ ผู้ใดจะคิดว่าชายหนุ่มเช่นนี้ไม่คู่ควรกับการเป็นเขยเล่า”
ฉินหมิงฉุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพราะเราไม่ได้ป่าวประกาศออกไปว่าเราเป็นต้นตระกูลของพี่หญิงใหญ่ มิเช่นนั้น จะมีผู้ใดที่พี่ไม่คู่ควรกันเล่า”
ฉินหมิงเยี่ยนจ้องมองน้องชายด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “เจ้าโตแล้ว”
ฉินหมิงฉุนชะงักเล็กน้อย เม้มริมฝีปาก เอ่ยพึมพำ “สมควรโตขึ้นแล้ว”
พี่น้องทั้งสองยืนเงียบงันอยู่ในลานวัด มีเพียงใบแปะก๊วยอายุร้อยปีที่โปรยปลิวลงมา เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่าน ทั้งคู่เงยหน้ามองโดยไม่ได้นัดหมาย
พรึบ
เงาสีเหลืองดุจใบแปะก๊วยร่วงหล่นลงตรงหน้าพวกเขา
ฉินหมิงเยี่ยนรีบดึงน้องชายให้ถอยหลัง ก่อนมองร่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า และแหงนมองต้นแปะก๊วยใหญ่โต
นางขึ้นไปอยู่บนนั้นได้อย่างไร
“ข้า สยงชี บุตรสาวตระกูลสยง บิดาข้าคือรองเจ้ากรมกลาโหม พี่ชายรองและพี่สะใภ้รองข้าล้วนมีสัมพันธ์ที่ดีกับคุณหนูใหญ่ตระกูลฉิน พี่สาวท่าน” สยงชียิ้มตาหยีพลางเอ่ย “ข้าเติบโตขึ้นพร้อมเรื่องราวของพี่สาวท่าน ตระกูลฉินของพวกท่านมีแต่คนน่าสนใจจริงๆ”
ฉินหมิงเยี่ยนยกมือประสานคารวะเล็กน้อย “คุณหนูสยง”
สยงชียิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนขยิบตาให้เขา เอ่ย “เมื่อครู่ข้าเห็นการดูตัวของท่านแล้ว ไม่แปลกเลยที่มันล้มเหลว ใครเล่าจะไม่ตกใจเมื่อได้ยินท่านเอ่ยถึงศพและไส้”
ฉินหมิงเยี่ยนใบหน้าแดงก่ำ กำลังคิดหาข้ออ้างเพื่อกล่าวลา แต่หญิงสาวกลับเอ่ยขึ้นอีกหนึ่งประโยค
“ข้านี้แตกต่าง ข้าฟังได้ทุกเรื่อง ข้ายังร่วมมือกับท่านได้ด้วย ท่านว่าข้าเป็นอย่างไร ปีนี้ข้าอายุสิบแปด ยังมิได้หมั้นหมาย ไม่มีโรคภัยใดๆ สินเดิมข้ามีถึงแปดสิบแปดเกวียน”
สองพี่น้องต่างตะลึงงัน หญิงสาวเช่นนี้ช่างอาจหาญยิ่งนัก
ฉินหมิงเยี่ยนขมวดคิ้ว “เรื่องสมรสนั้นย่อมต้องขึ้นอยู่กับคำสั่งบิดามารดาและคำกล่าวของแม่สื่อ จะมาเล่นสนุกเช่นนี้ได้อย่างไร”
สยงชีเอ่ย “ท่านยังไม่ได้แต่ง ข้าก็ไม่ได้ออกเรือน ทั้งสองฝ่ายต่างกำลังมองหาคู่ครอง ทั้งอายุและชาติตระกูลก็เหมาะสม ข้าขอเสนอตัวเช่นนี้ย่อมไม่ผิดอะไร หากท่านมองข้าไม่เหมาะสม ก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด”
ฉินหมิงเยี่ยนพูดไม่ออก จึงพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง ใบหน้าของนางไม่จัดว่าหวานหยดย้อย หากแต่เต็มไปด้วยความสดใสเปี่ยมเสน่ห์ นัยน์ตาสดใสพร้อมฟันขาวเรียงราย บ่งบอกว่านางเป็นผู้กล้าหาญและจริงใจ
ฉินหมิงเยี่ยนหูแดง เอ่ย “นี่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ท่านกลับกล้านำเรื่องใหญ่ในชีวิตมาล้อเล่นได้อย่างไรกัน”
“ตระกูลฉิน ข้าได้ยินมานานแล้ว ท่าน เพียงมองก็มองออกแล้ว ซื่อตรง ขุนนางหน้าใหม่ผู้เปี่ยมความสามารถ ใบหน้าคมคาย สายตาใสสะอาด แค่นี้ก็เพียงพอ”
“ในเมื่อท่านได้ยินสิ่งที่ข้าเอ่ยกับคุณหนูโจวเมื่อครู่ ท่านจะไม่หวาดกลัวหรือ”
สยงชียิ้มแฉ่ง “ข้าปีนขึ้นต้นไม้สูงถึงเพียงนี้ ท่านคิดว่าข้าจะกลัวศพหรือ แต่ท่านเล่า กลัวหรือไม่ว่าข้าจะชะตาแข็ง ข้าเคยถูกหมั้นหมาย แต่คู่หมั้นข้ากลับอายุสั้นสิ้นชีวิต ตระกูลซุนนั่นยังคิดให้ข้าแต่งกับป้ายวิญญาณ ข้าเกือบต้องขุดหลุมศพของเขาจึงได้ถอนหมั้นมาได้ ชื่อเสียงของข้าก็เลย อืม น่าจะเป็นหญิงแพศยาและนำโชคร้ายกระมัง”
“เหลวไหล ชะตาชีวิตย่อมขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต เรื่องนี้จะโทษผู้ใดได้ การแต่งงานกับป้ายวิญญาณช่างเป็นความคิดโง่เขลาสิ้นดี” ฉินหมิงเยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สยงชียิ้มจนตาหยี หยิบหยกชิ้นหนึ่งจากเอวส่งให้เขา “หากท่านยินดี เช่นนั้นก็มาขอกับตระกูลสยงของข้า ข้าจะรอท่าน”
ฉินหมิงเยี่ยนยืนนิ่งไป ครั้นได้สติหญิงสาวก็หายตัวไปแล้ว เหลือเพียงหยกในมือ
เขาหันไปหาฉินหมิงฉุน “นี่มันเรื่องใดกัน”
“เรื่องใดกันงั้นหรือ เรื่องดีน่ะสิ รีบกลับไปแจ้งข่าวแก่ท่านแม่ แล้วส่งคนไปสืบข่าวคุณหนูสยง จากนั้นจ้างแม่สื่อไปเจรจาเถิด” ฉินหมิงฉุนยิ้มจนแก้มแทบปริ เอ่ย “แต่ดูจากทีท่าแล้ว ข้าเห็นทีท่านกับนางจะมีวาสนาต่อกัน ข้าคงได้อุ้มหลานในปีหน้าแล้วกระมัง”
เขาทำท่าประสานนิ้วสองข้างให้กระทบกัน
ฉินหมิงเยี่ยนใบหน้าแดงก่ำ เขาก้มมองหยกในมือ อยู่ๆ ก็มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นในใจ
ภรรยาที่หล่นมาจากต้นไม้หรือ