คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 4 เรื่องราวในตระกูลฉิน (4)
ตอนพิเศษ 4 เรื่องราวในตระกูลฉิน (4)
………………..
ในปีคังผิงที่สี่ เดือนห้า ฉินหมิงเยี่ยนและสยงจิ่งชีจัดงานเลี้ยงฉลองครบเดือนของบุตรสาวคนโต “ฉินเนี่ยนจวิน” ซึ่งพอดีกับการสิ้นสุดการไว้ทุกข์ของตระกูลฉิน งานเลี้ยงครั้งนี้จึงยิ่งใหญ่ ผู้มาร่วมงานล้วนเป็นผู้มีฐานะ ไม่ร่ำรวยก็มีอำนาจ โดยเฉพาะแขกบุรุษที่ล้วนเป็นบุคคลสำคัญ เช่น เสนาบดีลิ่น ผู้อาวุโสไท่ฝู่อวี๋เหมี่ยว ขุนนางระดับสูง ก็มาด้วยตนเอง และยังอุ้มเด็กน้อยที่มีชื่อเล่นว่า “ซือซือ” ด้วยความเอ็นดู
“เหมือน เหมือนจริงๆ” เสนาบดีลิ่นกล่าวพลางอุ้มเด็กหญิงในห่อผ้า ดูดวงตากลมใสประดุจผลซิ่งเหริน[1]ของนางด้วยความชื่นชม เอ่ย “ดวงตาคู่นี้ละ คล้ายที่สุด งดงามจริงๆ”
อวี๋เหมี่ยวที่ยืนอยู่ข้างๆ ยื่นคอมองอย่างใจจดใจจ่อ มือก็อดรนทนไม่ได้ แต่เสียดายที่คนอุ้มเด็กไม่ยอมปล่อย จึงเอ่ย “ให้ข้าดูใกล้ๆ บ้าง”
เขายื่นมือจะคว้าห่อผ้า แต่เสนาบดีลิ่นเบี่ยงตัวหลบ เอ่ย “ได้ยินว่าสองวันก่อนท่านเพิ่งโดนรัชทายาททำให้โมโหจนต้องหยิบไม้บรรทัดลงโทษ โดนมือด้วย คงยังไม่หายดี ไม่ต้องอุ้มหรอก เดี๋ยวจะเจ็บหนักกว่าเดิม”
อวี๋เหมี่ยวหน้าเขียว ไร้สาระ มือข้าหายดีไม่มีปัญหา เจ้าก็แค่ไม่อยากให้ข้าอุ้ม
เขายื่นมือไปอีกครั้ง เอ่ย “เด็กในผ้าห่อจะหนักสักเพียงใด ขอข้าสัมผัสโชคแห่งชีวิตใหม่บ้าง”
เสนาบดีลิ่นถอนใจอย่างจำใจ ก่อนจะส่งเด็กน้อยให้ยังเอ่ยเตือน “ระวังหน่อย อย่าเผลอทำตกเชียว”
อวี๋เหมี่ยวรับห่อผ้ามาอย่างมั่นคง ก้มมองเด็กหญิงในอ้อมแขน สังเกตดวงหน้าเล็กๆ แล้วกล่าวด้วยความทึ่ง “เหมือนจริงๆ นี่คือสายเลือดเดียวกันหรือ ช่างน่ามหัศจรรย์”
คำพูดของเขาพาให้คอหอยตีบตัน น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ ดวงตาก็แดงเรื่อ
เสนาบดีลิ่นเองก็ถอนหายใจยาวอย่างเศร้าสร้อย เห็นชัดว่าต่างคิดถึงใครบางคน
ฉินหมิงเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พลอยเงียบไป เขารู้ดีว่าพวกเขาคิดถึงผู้ใด
เนื่องจากบุตรสาวของเขา ตอนเกิดยังดูไม่ออกว่าเหมือนใคร แต่หลังอาบน้ำครบสามวัน ทุกคนก็เริ่มเห็นว่านางคล้ายฉินหลิวซี และเมื่อถึงครบรอบสิบสองวัน ดวงหน้านางยิ่งชัดเจนว่าคล้ายผู้เป็นป้าผู้ล่วงลับ ความคล้ายนี้สร้างทั้งความอัศจรรย์และความปลาบปลื้มให้แก่ทุกคน
ตนและฉินหลิวซีมีสายเลือดเดียวกันกว่าครึ่ง แต่ไม่ใช่มารดาคนเดียวกัน สำหรับการที่บุตรสาวของเขาเหมือนนาง ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาด แต่ก็น่าเศร้าอยู่บ้าง
เรื่องน่ายินดีคือนางเหมือนป้าของนาง แต่ลึกๆ ก็อดหดหู่ไม่ได้ กลัวว่าฉินหลิวซีจะจากไปจริง และกลับมายังตระกูลฉินในรูปแบบใหม่
และเรื่องที่บุตรสาวของเขาคล้ายฉินหลิวซีได้แพร่กระจายออกไปโดยไม่รู้ตัว พวกขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็พากันหลงใหลในเรื่องนี้
เช่นเดียวกับตอนนี้
ฉินหมิงเยี่ยนได้แต่หวงและจนปัญญา ไม่กล้าต่อกรกับคนแก่ผู้มีอำนาจที่สามารถเป็นปู่ของเขา แต่ในใจก็ไม่สบายใจที่บุตรสาวต้องถูกบุรุษหลายคนอุ้มไปมาราวกับเล่นส่งไม้ตีเกราะ
เขาเห็นคนรุ่นใหญ่ส่งต่อกันเสร็จ ก็ถึงคราวของคนรุ่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นมู่ซื่อจื่อ อย่างเช่นอ๋องน้อยแห่งตระกูลหมิง อีกทั้งจิ่งซื่อซื่อจื่อแห่งฉังเอินโหว สุดท้ายเด็กก็ถูกส่งต่อมายังสยงรองลุงแท้ๆ
ฉินหมิงเยี่ยนปวดศีรษะแล้ว
ควรหาข้ออ้างว่าเด็กต้องกินนมเพื่อนำตัวกลับมาดีหรือไม่
สำหรับแขกบางคนที่ไม่เข้าใจ ก็ได้แต่สงสัยเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ของตระกูลฉินผู้นี้ ก็เป็นเพียงเด็กมิใช่หรือ ไยจึงเป็นที่โปรดปรานจนคนเหล่านี้ไม่ยอมวาง ไม่เพียงอุ้มไม่ยอมวาง อีกทั้งของขวัญรับขวัญเด็กก็ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาซื้อไม่ได้
“เจ้าไม่รู้หรือ ได้ยินว่าเด็กหญิงคนนี้หน้าตาคล้ายกับท่านป้าของนาง บุตรสาวคนโตผู้ลึกลับของตระกูลฉิน ได้ยินว่าเป็นเซียนจวินแห่งอารามชิงผิงที่ปราบมารช่วยโลกผู้นั้น”
“เป็น เป็นไปไม่ได้กระมัง” อีกคนกล่าวด้วยความตื่นตะลึง “เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน และทางตระกูลฉินก็ไม่เคยกล่าวถึง”
“ไม่ได้ป่าวประกาศออกไป แต่บ้านเก่าตระกูลฉินอยู่ที่ใด พวกเจ้าลืมแล้วหรือ เมืองหลี” คนผู้นั้นยังเอ่ยต่อ “อีกทั้ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องบอกกับภายนอก ผู้ที่ควรรู้ต่างก็รู้แล้ว เจ้าดูสิเพียงงานเลี้ยงครบหนึ่งเดือนของเด็กหญิงเพียงคนเดียว ผู้ที่มานั้นเป็นผู้ใดบ้าง เท่านี้ก็เข้าใจแล้ว”
ผู้คนพากันเงียบงัน
อย่าได้กล่าวถึงผู้ที่มาเลย เพียงมองดูความรักใคร่ที่พวกเขามีต่อเด็กหญิงผู้นี้ก็พอจะมองออกปริศนาบางส่วนแล้ว ปกติความรักใคร่มักมาจากสตรี แต่ครานี้กลับเป็นเหล่าขุนนางผู้ทรงอำนาจที่พากันหลงใหลเด็กหญิงตัวน้อย นี่มันทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นแทบลืมหายใจ
ปีที่โลกเกือบล่มสลายนั้น มีผู้คนล้มตายมากมาย ในช่วงหลายปีมานี้ ราชสำนักยังต้องสนับสนุนให้คนมีบุตรมากขึ้น แม้แต่ในตระกูลชั้นสูงก็มีเด็กเกิดใหม่ไม่น้อย แต่ผู้ใดเล่าที่ได้รับความรักใคร่เช่นเดียวกับเด็กหญิงผู้นี้ ความรักใคร่นั้นมากล้นจากเหล่าผู้ทรงอิทธิพลระดับสูง ไม่มีการปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น นางสมควรถูกเรียกขานว่า “ยอดดวงใจแห่งมวลชน”
ดูเหมือนว่าต้องกลับมาประเมินสถานะของตระกูลฉินเสียใหม่
ผู้คนในที่นั้น บางส่วนเคยพยายามเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลฉินมาก่อน แต่ก็มีเหตุให้ต้องผิดหวังเมื่อบุตรสาวของตนปฏิเสธ เพราะเห็นว่าชายหนุ่มแห่งตระกูลฉินตรงไปตรงมาเกินไป หรือหน้าที่การงานของเขาน่าหวาดกลัวจนมิอาจตัดสินใจแต่งงานด้วย บัดนี้กลับรู้สึกว่าตนพลาดโอกาสยิ่งใหญ่ ลองดูเถิด ผู้คนที่มาเกี่ยวข้องล้วนมีอำนาจแข็งแกร่ง
เมื่อหันไปดูตระกูลสยง บุญใหญ่นี้ตกมาอยู่กับพวกเขาได้อย่างไรกัน
ดูท่าทางคุณชายสยงผู้นั้นสิ ไม่สิ ความเย่อหยิ่งและพึงพอใจของเขา ดูแล้วก็อดรู้สึกขมขื่นมิได้…
อิจฉามาก
ในที่สุดฉินหมิงเยี่ยนก็อุ้มลูกสาวตัวน้อยกลับมาได้สำเร็จ แต่แล้วจู่ๆ เด็กน้อยกลับร้องไห้เสียงดังลั่น ทันใดนั้นผู้คนก็กรูกันเข้ามา
เกิดอะไรขึ้น หิวแล้วหรือไม่ หรือว่ารู้สึกไม่สบายตัว เรียกหมอหลวงมาดูดีหรือไม่
ฉินหมิงเยี่ยนได้กลิ่นบางอย่างจึงรู้ว่าลูกสาวของตนขับถ่ายออกมา จึงให้แม่นมพานางไปทำความสะอาด วันนี้มีผู้คนมามาก บุรุษในตระกูลฉินทุกคนต้องออกมาต้อนรับแขก รวมถึงบรรดาน้องชายของเขาด้วย
งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้น
ซือเหลิ่งเย่ว์ในชุดยาวสีดำปักดิ้นทองปรากฏตัวขึ้น พร้อมจูงมือเด็กหญิงคนหนึ่งที่งดงามราวแกะสลักเดินเข้ามาด้วยกัน ดวงหน้าของนางช่างละม้ายคล้ายกันเหลือเกิน ราวกับตุ๊กตางามหยาดเยิ้ม
ซือเหลิ่งเย่ว์ ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลและเจ้าสำนักแม่มดขาว เมื่อปรากฏตัว ย่อมดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน สะใภ้หวังและฉินหมิงเยี่ยนออกมาต้อนรับด้วยตนเอง
ซือเหลิ่งเย่ว์เพียงหันศีรษะเล็กน้อย บ่าวที่ติดตามก็นำของขวัญล้ำค่ามอบให้ทันที ก่อนนางจะโค้งคำนับเล็กน้อยและแจ้งจุดประสงค์ของตน
นางมาเพื่อพบเด็กน้อยผู้นั้น ส่วนเรื่องร่วมโต๊ะ ขอเว้นไว้เถิด
สะใภ้หวังจึงนำทางนางไปยังเรือนด้านหลัง และได้ให้คนแจ้งแก่สยงซื่อล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเมื่อทั้งหมดไปถึง นางจึงออกมารอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
ซือเหลิ่งเย่ว์คารวะก่อนสายตาจะจับจ้องไปยังเด็กในอ้อมแขนของแม่นม นางเดินเข้าไปใกล้ “ข้าขออุ้มหน่อยได้หรือไม่”
แม่นมมองไปทางสะใภ้หวัง เห็นนางพยักหน้า จึงยื่นเด็กส่งให้
ซือเหลิ่งเย่ว์รับเด็กมาอย่างระมัดระวัง เพียงชั่วขณะ น้ำตาก็คลอหน่วย “เหมือนมาก เหมือนจริงๆ”
สะใภ้หวังและคนอื่นๆ ในที่นั้นพลันตาแดง
“ท่านแม่ ข้าขอดูหน่อย” ซือโหมวดึงชายกระโปรงของซือเหลิ่งเย่ว์
ซือเหลิ่งเย่ว์จึงย่อตัวลงวางเด็กไว้ตรงหน้านาง ซือโหมวมองไปยังเด็กน้อยแล้วกะพริบตา “เหมือนท่านน้า แต่ไม่ใช่ท่านน้า”
ทุกคนสะดุ้งไปเล็กน้อย ความรู้สึกซับซ้อนผสมปนเป ทั้งขมขื่นและโล่งใจเล็กน้อย
ไม่ใช่นาง เช่นนี้หมายความว่านางยังอยู่ที่ใดที่หนึ่งหรือไม่ หรือว่าไม่ใช่นาง อาจเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
ไม่มีผู้ใดกล้าคิดต่อไป
ซือเหลิ่งเย่ว์หันไปยังสยงซื่อ “นางเป็นหลานสาวคนแรกของเสี่ยวซี รูปโฉมคล้ายคลึงกันมาก แม้นางไม่อยู่ แต่ข้ายังอยู่ เจ้าจะให้ข้ามอบพรแก่นางได้หรือไม่”
สยงซื่อได้ฟังเรื่องของคนรอบกายฉินหลิวซีจากฉินหมิงเยี่ยนมาบ้าง แม้พึ่งพบหญิงสาวผู้มีอำนาจผู้นี้ครั้งแรก แต่กลับให้ความเคารพนับถือโดยไม่รู้ตัว “นับเป็นเกียรติยิ่ง ข้าขอขอบพระคุณแทนซือซือเจ้าค่ะ”
ซือซือ ซือเหลิ่งเย่ว์พึมพำทวนชื่อ นึกถึงคำว่า คิดถึงท่าน เฝ้าคะนึงถึงท่าน ขอท่านจงสุขสบาย…
[1] อัลมอนด์