คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 5 เรื่องราวในตระกูลฉิน (5)
ตอนพิเศษ 5 เรื่องราวในตระกูลฉิน (5)
………………..
แน่นอนว่าเผ่าแม่มดสามารถอวยพรได้ เพียงอวยพรให้เด็กหญิงเกิดใหม่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซือเหลิ่งเย่ว์ ไม่นานก็ลงจุดอวยพรให้แก่เด็กหญิงแล้วหยิบกำไลเงินวงหนึ่งส่งให้
“กำไลวงนี้ข้าทำเอง ข้างในมีกู่พิทักษ์หนึ่งตัว เมื่อนางสวมกำไลนี้ กู่ตัวนี้จะทำให้นางมิอาจถูกกู่ใดๆ กล้ำกราย หากพบพิษใด ระฆังเงินจะส่งเสียงและเปลี่ยนสี”
ซือเหลิ่งเย่ว์เหลือบมองเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง “นางเป็นหลานสาวของเสี่ยวซี ของปกปักรักษาพวกเจ้าอาจมีไม่น้อย ของสิ่งนี้ถือเป็นน้ำใจของข้าที่เป็นผู้ใหญ่ สวมใส่หรือไม่แล้วแต่พวกท่าน กู่พิทักษ์นี้มีไว้ป้องกันภัย ไม่มีโทษใด ไม่ต้องหวาดหวั่น”
สะใภ้หวังรีบเอ่ยตอบ “พวกเราหาได้เกรงกลัวไม่ เพียงแต่ของนี้ช่างล้ำค่าเกินไปนัก”
ซือเหลิ่งเย่ว์ส่ายศีรษะเล็กน้อย “มิได้ล้ำค่าเกินไปหรอก คิดเสียว่าเป็นเครื่องรางป้องกันภัยเถิด” นางเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “นางหน้าตาคล้ายเสี่ยวซี ในราชสำนักเองก็มีขุนนางใหญ่ไม่น้อยที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับเสี่ยวซี ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรักเด็กน้อยผู้นี้โดยมิได้ปิดบัง แต่ต้นไม้สูงย่อมรับลมแรง แม้อาจไม่มีใครกล้าลงมือจริงๆ ทว่าจิตใจมนุษย์ยากคาดเดา และความอาฆาตมักเผยออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว เด็กคนนี้ต้องได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี”
สะใภ้หวังชะงัก จึงเอ่ย “ท่านวางใจเถิด พวกเราจะคุ้มครองเด็กคนนี้อย่างสุดกำลัง”
นางกล่าวพลางหยิบกำไลวงนั้นมาสวมให้หลานสาว
ซือเหลิ่งเย่ว์ยกมือขึ้นแตะนิ้วเล็กๆ ของเด็กน้อย เอ่ยขึ้นอีก “เสี่ยวซีมีศิษย์ แม้นางมิได้อยู่แล้ว ศิษย์ของนางย่อมไม่ทอดทิ้งตระกูลฉิน ข้าเอ่ยสิ่งเหล่านี้อาจเกินความจำเป็น แต่หากประสบเหตุที่ไม่อาจแก้ไขได้ ท่านสามารถนำของชิ้นนี้มาหาข้าที่ตระกูลแม่มดขาวแห่งชิงโจว”
นางหยิบสิ่งของที่สลักสัญลักษณ์ประจำตระกูลซือส่งให้สะใภ้หวัง
สะใภ้หวังน้ำตาคลอ ตระกูลฉินนี้มีบุญวาสนา ต่อให้ฉินหลิวซีไม่อยู่แล้ว ยังคงได้รับการคุ้มครองจากนาง คนที่นางรู้จักเหล่านี้ ยังคงสนับสนุนตระกูลฉินอย่างเต็มใจ
ความดีงามอันใหญ่หลวงที่บรรพชนสั่งสมไว้ ถึงทำให้คนเหล่านี้โน้มเข้าหาตระกูลฉิน แต่ตระกูลฉิน กลับติดหนี้เด็กคนนี้
“ตระกูลฉิน สมควรแล้วหรือ” สะใภ้หวังกล่าวด้วยความละอาย
ซือเหลิ่งเย่ว์วางสิ่งของในมือใส่มือของนาง พร้อมยิ้มบาง “นางเห็นว่าคู่ควร เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
นางเห็นว่าคู่ควร
ใช่แล้ว แม้เสี่ยวซีจะไม่ได้มีไมตรีจิตต่อทุกคนในตระกูลฉิน แต่นางก็ไม่ได้ละเลยสิ่งใดที่ควรทำ ความกรุณาเล็กน้อยนี้เพียงพอให้ตระกูลฉินยืนหยัดในโลกได้อย่างมั่นคง
สะใภ้หวังรู้สึกว่าตระกูลฉินโชคดีก็คือ ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากนาง มิเช่นนั้นพวกนางคงไม่ได้แลกมากับการปกป้องคุ้มครองเช่นนี้
ในอากาศ ปรากฏระลอกคลื่นบางอย่าง
ซือเหลิ่งเย่ว์หันมองไป มือยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นชัดว่าผู้มาใหม่เป็นใครจึงลดมือลง เผยรอยยิ้มออกมา
เถิงเจาพาหนึ่งโสมหนึ่งหนูมาด้วย รวมถึงชิงหย่วนและอวี้ฉังคงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ สร้างความตกใจแก่ผู้คนจนร้องอุทานออกมา ทว่าหลังแผ่นยันต์หนึ่งเผาไหม้ เหล่าผู้คนก็กลับมาเป็นปกติราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“เจ้าก็มาด้วย” ซือเหลิ่งเย่ว์เห็นเถิงเจา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย พร้อมพยักหน้าให้เขา
เถิงเจาคารวะนาง จากนั้นหันมองไปทางเด็กในผ้าอ้อม
“ให้ข้าดูสิ ว่าเหมือนเทพอสูรน้อยหรือไม่” โสมน้อยก้าวไปข้างหน้า พร้อมยื่นมือจะรับเด็กในห่อผ้าอ้อม
สะใภ้หวังรีบส่งเด็กไปให้
เจ้าโสมน้อยรับเด็กไว้ หนูทองกระโดดขึ้นไหล่เขา ทั้งสองมองเด็กในผ้าอ้อมพร้อมกัน
เด็กน้อยลืมตาตื่นเต็มที่ ดวงตาสดใส มุมปากมีน้ำลายย้อย พร้อมรอยยิ้มที่แย้มออกมา
“เหมือนเทพอสูรน้อยไม่มีผิด” เจ้าโสมน้อยถึงกับตกตะลึง
หนูทองยกสองขาหน้า ส่งเสียงจี๊ดๆ ไม่หยุด
เถิงเจาอดรนทนไม่ไหว รีบเข้าไปอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน เพียงได้มองแวบเดียว ความโหยหาในแววตาก็ปรากฏชัดเจน
อาจารย์…
น้ำตาพลันทะลักมายังกระบอกตา ทว่าถูกเขาบีบให้คืนกลับไป
ไม่ใช่อาจารย์
ชิงหย่วนน้ำตาอาบหน้าเต็มแก้ม ผ่านมาหลายปี นางจะกลับมาด้วยวิธีนี้จริงๆ หรือ
อวี้ฉังคงรับห่อผ้าอ้อมมาอย่างระมัดระวัง มองดูอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งปกติจะเยือกเย็นปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าน้อยๆ ให้ ฉินหมิงเยี่ยนที่ได้ข่าวแล้วรีบตามมา เอ่ย “มีภรรยาที่มีคุณธรรม ภรรยาผู้นี้เจ้าช่างเลือกได้ดี ให้กำเนิดได้ดี”
เมื่อได้เห็นสายตาชื่นชมของทุกคนที่ส่งมาทางนาง นางรู้สึกเหมือนขนลุกไปทั้งตัว ใครว่าการให้กำเนิดบุตรสาวเป็นเรื่องไม่ดี สายตาของพวกเขาทำให้นางรู้สึกราวกับกลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่
อวี้ฉังคงหยิบจี้โบราณที่ดูคล้ายกุญแจวางลงในห่อผ้า เอ่ย “ด้วยของสิ่งนี้ เจ้าสามารถขอให้ผู้คนในตระกูลอวี้ช่วยเหลือในสิ่งใดก็ได้”
“ท่านอาจารย์ เช่นนี้จะเหมาะสมหรือ…” ฉินหมิงเยี่ยนรู้สึกละอายใจ
อวี้ฉังคงเอ่ย “เป็นของรับขวัญที่ข้าให้เด็ก เจ้ากับข้าเป็นศิษย์อาจารย์ นางก็ควรเรียกข้าว่าอาจารย์ปู่”
ฉินหมิงเยี่ยนจึงได้แต่แสดงการคารวะอย่างจริงจัง และนำจี้นั้นส่งให้สยงชีเก็บไว้
สิ่งของของบุตรสาว พวกเขาย่อมไม่แตะต้อง
เถิงเจาแตะหน้าผากของเด็กน้อย ถ่ายทอดพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยให้พร้อมทั้งวาดยันต์ลงไป ทำให้สิ่งชั่วร้ายใดๆ ไม่อาจล่วงล้ำเด็กคนนี้ได้
เขาเงยหน้ามองหัวเว่ยวัวที่ลอยอยู่ในอากาศ ผู้นั้นจ้องมองเด็กน้อยอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหายไปอย่างเงียบงัน
เหมือนนาง แต่ก็ไม่ใช่นาง
“เด็กคนนี้มีบุญวาสนา หากเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม ย่อมมีชีวิตที่ปราศจากอุปสรรค แต่หากเลี้ยงดูผิดทาง แม้บุญวาสนาจะดีเพียงใดก็สูญสลายได้ ห้ามเลี้ยงดูด้วยความตามใจจนเกินไป” หลังมอบพรที่ควรให้แล้ว เถิงเจาก็ดึงสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเตือนอย่างหนักแน่น
แม้มนุษย์จะมีบุญวาสนา แต่หากกระทำการสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน บุญวาสนาย่อมเลือนหาย สุดท้าย แม้ใบหน้านี้ก็ช่วยนางไม่ได้
ฉินหมิงเยี่ยนและสยงชีรีบเอ่ยรับคำ
อวี้ฉังคงอยากจะเอ่ยว่าการตามใจบุตรสาวบ้างนั้นหาใช่เรื่องเลวร้าย หากนางจะซุกซนเกินขอบเขต ก็ยังมีผู้ที่พร้อมปกป้องนาง ทว่าด้วยความที่นางเป็นหลานสาวของฉินหลิวซี เรื่องใหญ่เรื่องโตย่อมต้องเข้าใจ ไม่เช่นนั้นจะทำลายชื่อเสียงของท่านป้าผู้ยิ่งใหญ่ของนางได้
คณะผู้มาเยือนปรากฏตัวอย่างรวดเร็วและจากไปในพริบตา ดุจดั่งมังกรลี้ลับ ตระกูลฉินจากที่เคยประหลาดใจก็เริ่มชินชากับเรื่องเช่นนี้แล้ว
ฉินหมิงเยี่ยนออกไปต้อนรับแขก สยงชีนำบุตรสาวกลับห้องพัก โดยมีฮูหยินสยง มารดาของนาง และ ถงเมี่ยวเอ๋อร์พี่สะใภ้คนที่สองร่วมอยู่ด้วย
สยงฮูหยินผู้ซึ่งแกร่งกล้าเช่นเดียวกับบุตรสาวของนาง ยามนี้ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “เจ้านี่นะ สิ่งที่ทำถูกต้องที่สุด คือการเลือกสามีด้วยตนเอง”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง
สยงชีกอดบุตรสาวไว้ ใบหน้าอิ่มเอิบไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “ไม่ใช่ลูกทำถูก แต่บุญวาสนาและโชคชะตาทั้งชีวิตของลูกต่างมารวมอยู่ที่การพบกับฉินหมิงเยี่ยน”
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นพ้อง
ตระกูลฉินนึกว่าวาสนาของฉินเนี่ยนจวินยิ่งใหญ่เพียงพอแล้ว แต่ไม่คิดว่าเมื่อนางอายุครบหนึ่งขวบ ก็คว้าเอาจี้หยกที่ฉินหลิวซีทิ้งเอาไว้มาได้ ฝ่าบาทมีราชโองการแต่งตั้งให้นางขึ้นเป็นเซี่ยนจู่ พระราชทานพระนามว่า ผิงหนิง
บ้านเมืองสงบสุขสมดังใจ[1] สมดังที่เจ้าปรารถนา ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง
นับแต่นั้น คนทั้งเมืองเซิ่งจิง ต่างล้วนรู้จักผิงหนิงเซี่ยนจู่แห่งตระกูลฉิน ผู้ทรงได้รับความเมตตายิ่งจากฮ่องเต้ นับตั้งแต่เด็กก็ได้นั่งทัดเทียมกับฮ่องเต้ ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน เพราะนางยังเป็นที่รักของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ อย่างเช่นสมมติว่ามีผู้ใดกลั่นแกล้งนาง กลับบ้านไป คนที่ได้รับการลงโทษจะต้องเป็นตนอย่างแน่นอน
คนทั้งเมืองยังคงสงสัยว่าเหตุใดนางจึงได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ ต่อมาฮ่องเต้ได้ทรงสร้างวิหารเซียนจวินระลึกถึงการปราบปรามปีศาจและช่วยกอบกู้โลก ทุกคนจึงพบว่าผิงหนิงเซี่ยนจู่ผู้นั้นมีรูปโฉมคล้ายคลึงกับเทพเซียนจวินในวิหารแห่งนั้นเป็นที่สุด
[1] ความหมายของชื่อผิงหนิง