คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 6 เรื่องราวในตระกูลฉิน (6)
………………..
ฮ่องเต้คังผิงครองราชย์ยาวนานถึงยี่สิบปี นำพาแคว้นต้าเฟิงสู่ยุคแห่งความสงบสุข ร่มเย็นและเจริญรุ่งเรือง เสียงดนตรีรื่นเริงดังกึกก้องทั่วหล้า ทว่าภายหลังจากเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เกือบล่มสลาย สรรพสิ่งพลันเปลี่ยนแปลง เมื่อพลังวิญญาณฟื้นคืน ส่งผลให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีอายุยืนยาวขึ้น
แต่หากเอ่ยถึงผู้คนที่มีอายุยืนยาวที่สุด คงไม่มีใครเกินตระกูลฉิน ว่ากันว่าพวกเขามีตำราลับเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ สืบทอดมาจากคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลผู้เข้าสู่หนทางแห่งเต๋า ทุกคนในตระกูลล้วนปรับสมดุลร่างกายตามตำรา ออกกำลังกายเสริมกำลัง ส่งผลให้มีร่างกายแข็งแรงและอายุยืน
ตำรานั้นยังต้องอาศัยควบคู่กับการฝึกท่าบริหารร่างกาย เช่น ปาต้วนจิ่น[1]และ ไท่เก๊ก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กิจวัตรประจำวันของตระกูลฉินคือการฝึกฝนปาต้วนจิ่นหรือไท่เก๊ก
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแวดวงสตรีเมืองหลวง คือการขอคำแนะนำจากตระกูลฉินเกี่ยวกับวิธีมีบุตร
ใช่แล้ว ตระกูลฉินมีชื่อเสียงเรื่องความอุดมสมบูรณ์ในสายโลหิต ลูกหลานในตระกูลล้วนกำเนิดขึ้นด้วยความสมดุลระหว่างหยินและหยางอย่างน่าพิศวง ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว ล้วนมีจำนวนใกล้เคียงกัน หรือในบางกรณีก็มีฝ่ายชายมากกว่าเล็กน้อย สร้างความเฟื่องฟูให้กับวงศ์ตระกูลอย่างยิ่ง
การมีทายาทจำนวนมาก การแต่งงานผูกสัมพันธ์ระหว่างตระกูล ล้วนเป็นปัจจัยเสริมสร้างอำนาจและอิทธิพลของตระกูล
ด้วยความมุมานะของบรรพบุรุษ ตระกูลฉินได้ก้าวสู่การเป็นตระกูลใหญ่อย่างแท้จริง บุตรหลานในตระกูลได้รับการอบรมอย่างเข้มงวด ตั้งแต่รุ่นของฉินหมิงเยี่ยนก็ไม่มีการรับอนุอีกเลย ทำให้ตั้งแต่รุ่นของฉินเนี่ยนจวิน ลูกหลานทุกคนล้วนเป็นสายตรง
แม้จะมีการแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูล แต่ทุกอย่างล้วนโปร่งใส ไม่มีการใช้เล่ห์เหลี่ยม หากจะแข่งขันก็ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา ส่วนกับคนภายนอก ตระกูลฉินรวมใจกันเป็นหนึ่ง ยึดหลักว่า คนในตระกูลอาจตำหนิกันได้ แต่คนนอกห้ามแตะต้อง
ด้วยจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันและการไม่ยอมแพ้ บุตรหลานตระกูลฉินแต่ละคนจึงมีความสามารถโดดเด่น แม้จะไม่ได้เก่งรอบด้าน แต่ต่างคนต่างค้นพบสิ่งที่ตนเองถนัดและทุ่มเทจนประสบความสำเร็จ
ผ่านไปสี่รัชสมัย ตระกูลฉินเข้าสู่ยุคห้าชั่วคน สะใภ้หวังและอนุวั่นกลายเป็นผู้อาวุโสที่เปรียบเสมือนเสาหลักของตระกูล แม้จะมีอายุเกือบเก้าสิบปี แต่ยังคงสายตาดี หูไม่หนวก เป็นที่เคารพรักของลูกหลาน
ฮวงจุ้ยของตระกูลฉินเลี้ยงคนได้ดี
ใช่แล้ว ผู้คนเริ่มสงสัยว่าการที่ตระกูลฉินเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สิบปีนี้ อาจเป็นเพราะพลังแห่งฮวงจุ้ยที่ดีเลิศ อย่างไรก็เป็นตระกูลของเจินจวินเลยนะ
ตลอดกว่าสิบมานี้ พลังชีวิตเต็มเปี่ยม เหล่านักพรตสูงส่งมาตรวจสอบบ้าง เมื่อดูให้ละเอียด พบว่าฮวงจุ้ยของตระกูลฉินดีมาก เต็มไปด้วยประกายทองอันเป็นมงคล แม้มีคนอิจฉา กระทั่งอยากยึดครองจวนแห่งนี้ไว้เป็นของตน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าลงมือกับตระกูลฉินอย่างแท้จริง
เพราะเหตุใดน่ะหรือ
เพราะไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือสองศาสนาพุทธและเต๋า ต่างให้การปกป้องตระกูลฉิน หากผู้ใดกล้าลองดี ก็เท่ากับหาเรื่องให้วงศ์ตระกูลของตนเองต้องล่มสลาย
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลฉินแม้จะมีผู้คนพลุกพล่านทวีคูณ ทายาทล้วนเลิศล้ำ หากแต่ยังคงถือความเรียบง่ายเป็นหลัก ถึงจะมีบ้างที่หลุดพ้นเป็นบุตรหลานเกเร แต่ก็ไม่เคยก่อกรรมทำเข็ญให้ผู้อื่น ผู้ใดศึกษาเล่าเรียนหนังสือก็ศึกษาอย่างตั้งใจ ผู้ใดอยู่ในกองทัพก็ปฏิบัติหน้าที่ตามสมควร หากทั้งสองไม่อาจสำเร็จ ก็มุ่งเข้าสู่การค้าขาย เหล่าบุตรีทั้งสูงศักดิ์ต่ำศักดิ์ต่างได้ออกเรือน แต่กลับไม่มีผู้ใดได้สมรสกับราชวงศ์เลยสักคนเดียว
ไม่ใช่เพราะราชวงศ์ไม่ปรารถนาจะรับบุตรีตระกูลฉินเข้าสู่ราชสำนัก แต่เป็นเพราะฮ่องเต้คังผิงก่อนสวรรคตได้ทรงมีพระราชโองการ ห้ามราชวงศ์สมรสกับตระกูลฉิน หากฝ่าฝืนให้ถอดถอนสถานะราชวงศ์ลงเป็นสามัญชน เช่นนั้นการสมรสจึงจะเป็นไปได้อย่างอิสระ
ด้วยเหตุนี้ ตระกูลฉินจึงมีเครือญาติเป็นขุนนางผู้ทรงอิทธิพลมากมาย แต่ไม่มีผู้ใดสมรสโดยตรงกับราชวงศ์ ตระกูลนี้จึงกลายเป็นขุนนางแท้จริงที่จงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้เพียงผู้เดียว
ในรัชสมัยฮ่องเต้หย่งเหยียน พระองค์ทรงปฏิบัติตามพระราชโองการของอดีตฮ่องเต้อย่างเคร่งครัด ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ครั้นถึงรัชสมัยโอรสของพระองค์ ฮ่องเต้เฉียนหนิงกลับไม่พอใจนัก ทรงปรารถนาให้บุตรีตระกูลฉินเข้าสู่ราชวัง แต่ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็ล้มเลิกไปโดยไม่มีข้อสรุป
มีเพียงผู้ที่มีอำนาจลึกล้ำเท่านั้นที่รู้เหตุผลว่าฮ่องเต้เฉียนหนิงทรงถูกเตือน เช่นนี้เองเรื่องราวจึงถูกระงับ
แล้วผู้ใดเล่าที่เตือนพระองค์
ไม่ใช่อื่นใด นอกเสียจากผู้บำเพ็ญเพียรที่เหล่าคนธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึง
ด้วยเหตุนี้ แม้ฮ่องเต้เห็นถึงความแข็งแกร่งในเครือข่ายของตระกูลฉินก็ได้แต่ทำเป็นมองข้าม ขอเพียงจงรักภักดีก็เพียงพอ
สะใภ้หวังเอ่ยกับฉินหมิงเยี่ยนที่บัดนี้กลายเป็นชายชราแล้ว “น้ำที่เต็มย่อมล้นเอ่อ ความแข็งแกร่งของตระกูลเป็นเรื่องดี ทว่าหากพบเจอฮ่องเต้ที่มีจิตใจคับแคบเยี่ยงรูเข็ม ตระกูลของเราย่อมกลายเป็นดั่งหนามยอกในสายตา การที่ยังอยู่เย็นเป็นสุขได้ทุกวันนี้ก็ล้วนแล้วแต่เพราะบุญของพี่สาวเจ้า จึงได้รับความคุ้มครองจากทั้งพุทธและเต๋า รวมถึงตระกูลใหญ่บางแห่งที่คอยปกปักรักษา”
ฉินหมิงเยี่ยนลูบเคราขาวโพลนพลางเอ่ย “หาได้ผิดเพี้ยนไม่ ท่านโปรดอย่าได้กังวลใจไปเลย ข้าจะอบรมสั่งสอนคนในตระกูล ให้ประพฤติตนอย่างสงบเสงี่ยม ไม่อวดอ้างเกินงามเพื่อเลี่ยงภัย”
“สมควรเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้น หากใช้มากไปย่อมจางหาย การร้องขอมากเกินไปจะทำให้ผู้อื่นรำคาญ อย่าให้บุญกุศลสูญสิ้นไปเปล่า…” สะใภ้หวังเอ่ยพร้อมหลับตาลงอย่างแผ่วเบา
ฉินหมิงเยี่ยนมองแผ่นหลังโค้งงอของมารดา ผมสีเงินเรียบเรียงอย่างเป็นระเบียบ แม้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่อาจปกปิดริ้วรอยแห่งวัย
อาวุโสทั้งสองนั้น หาได้เป็นผู้ไม่แก่เฒ่าโดยแท้ หากไม่ใช่เพราะสูตรยาโบราณที่พี่สาวทิ้งไว้ และการดูแลสุขภาพอย่างเคร่งครัดของท่านแม่และอนุวั่นแล้ว เกรงว่าพวกท่านคงจากไปนานแล้ว
แต่การที่บรรพชนทั้งสองยังคงมีชีวิตอยู่จนบัดนี้ เขารู้ว่าไม่ใช่พวกเขาไม่กลัวความตาย แต่กลัวว่าไม่อาจรอจนถึงคนผู้นั้นกลับมา จึงไม่กล้าตาย
ทว่าด้วยวัยที่ล่วงเลย สภาพร่างกายและจิตใจก็ลดถอยลงปีแล้วปีเล่า ดั่งเช่นเวลานี้ เพียงเอ่ยไม่กี่คำก็รู้สึกเหนื่อยล้าและง่วงนอน นี่ล้วนแสดงถึงพลังที่ถดถอย
ฉินหมิงเยี่ยนรู้สึกเจ็บปวดใจนัก อยากเอ่ยสักประโยค หากฝืนไม่ไหวแล้วก็ปล่อยวางเสีย แม้แต่เถิงเจายังเคยกล่าวเอาไว้ หากพวกท่านไม่อาจตัดใจจากการรอคอย ต่อให้ไปถึงปรโลก ก็ไม่ต้องรีบกลับชาติมาเกิด จงรอต่อไป
แต่พวกท่านไม่อาจตัดใจได้
ลูกที่เดินทางไกลไม่เคยกลับมา ในฐานะมารดา ย่อมหวังเพียงได้เห็นอีกครั้งในยามมีชีวิตอยู่
ดังนั้นเขาจะกล้าเอ่ยให้พวกท่านเลิกรอได้อย่างไร
กระทั่งตัวเขาเองยังคงเฝ้ารออยู่
ฉินหมิงเยี่ยนได้ยินเสียงกรนแผ่วเบาของมารดา จึงก้าวไปหยิบผ้าห่มมาคลุมให้นาง
จู่ๆ สะใภ้หวังก็ลืมตาขึ้น มองดูเขาแล้วเอ่ย “ให้ซือซือกลับมาพักอยู่บ้านสักระยะเถิด ข้าคิดถึงนาง”
ฉินหมิงเยี่ยนสะท้านในหัวใจ กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ก่อนตอบเสียงสั่น “ขอรับ”
สะใภ้หวังปิดตาลงอีกครั้ง
…
ฉินเนี่ยนจวินไม่ได้ออกเรือนไกล หากไม่ใช่เพราะพี่น้องในบ้านหลายคนเกรงว่าจะเกิดการแย่งชิงไม่จบสิ้น เกรงว่านางอาจต้องรับคู่สมรสเข้าบ้านแทน ดังนั้นสะใภ้หวังจึงจัดการให้แต่งกับตระกูลหนึ่งในเมืองเซิ่งจิง ตระกูลนั้นฐานะสูงส่ง เครือญาติดำเนินชีวิตอย่างกลมเกลียวและอบอุ่น หลังแต่งงาน นางได้รับสิทธิ์ดูแลกิจการในบ้าน ร่วมกับสามีใช้ชีวิตอย่างราบรื่น บัดนี้มีทายาทสามรุ่นอาศัยอยู่พร้อมหน้ากัน ลูกหลานก็ล้วนโดดเด่น
ชีวิตที่ราบเรียบทำให้กาลเวลาไม่อาจทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้านางได้ แม้วัยล่วงเข้าสู่ห้าสิบแล้ว แต่ยังคงดูอ่อนเยาว์นัก
เมื่อได้รับจดหมายจากบิดา ฉินเนี่ยนจวินรีบเดินทางมาทันที กราบคารวะบรรพชนทั้งสองในบ้าน พูดคุยอย่างมีความสุข ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกังวล
เมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่พบกัน แม้บรรพชนทั้งสองจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่พลังชีวิตกลับลดน้อยลง
สะใภ้หวังจับมือฉินเนี่ยนจวิน มองใบหน้าของนางด้วยสายตาอ่อนโยนพลางเอ่ย “หากท่านป้าของเจ้าไม่ได้จากไป คงจะเติบโตงดงามเช่นเจ้า”
ฉินเนี่ยนจวินยิ้ม เอ่ย “เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ข้าหาได้งดงามเท่าท่านย่าอนุ อย่างไรท่านป้าก็คงงดงามดังเช่นท่านย่าอนุเป็นแน่แท้”
นางกล่าวพลางหันมองอนุวั่นที่นั่งอยู่ข้างสะใภ้หวัง กำลังงีบหลับไป
ในมือของอนุวั่นยังถือขนมเมฆอยู่หนึ่งชิ้น ครั้นได้ยินดังนั้น นางจึงร้องอ้อออกมา ทว่าสายตากลับเหม่อลอยนัก
สะใภ้หวังหยิบขนมในมือของนางไป เอ่ย “ไม่ต้องกินแล้ว เกิดหลับไปแล้วจะสำลักเอาได้”
อนุวั่นส่งเสียง อ้อ ตอบรับอย่างเชื่อฟัง พยายามฝืนร่างกายให้ตื่นขึ้น
สะใภ้หวังเห็นเช่นนั้นจึงถอนหายใจ หันกลับมามองฉินเนี่ยนจวินอีกครั้ง เอ่ย “หลายปีมานี้ เจ้าคงลำบากใจไม่น้อย เจ้าหน้าเหมือนท่านป้าหญิงใหญ่ของเจ้า พวกเราอดไม่ได้ที่จะมองเจ้าเป็นตัวแทนของนาง หารู้ไม่ว่านี่เป็นการทำให้เจ้าเจ็บปวด ต้องขออภัยยิ่งนัก”
ฉินเนี่ยนจวินจมูกแดงรื้นด้วยความสะเทือนใจ เอ่ย “ท่านย่า ท่านกล่าวเช่นนี้ทำให้หลานอับอายยิ่งนัก หลานหน้าเหมือนท่านป้าหญิงใหญ่ เป็นบุญที่หลานสั่งสมมาหลายภพหลายชาติ ด้วยเหตุนี้หลานจึงได้รับความเมตตาและการคุ้มครองมากมาย ครึ่งชีวิตของหลานราบรื่นดุจสายน้ำ ไม่เคยประสบความไม่ยุติธรรมหรือความลำบากใดๆ นี่ต่างหากที่หลานควรจะขอบคุณ”
อนุวั่นเอ่ยขึ้น “เหมือนก็คือเหมือน แต่เจ้าหาใช่นางไม่”
คำพูดนี้ทำให้สะใภ้หวังไม่อาจหักห้ามความเศร้าหมองในใจได้ นางหันมองไปยังหน้าประตูว่างเปล่า ปล่อยให้เวลาผ่านไปหลายสิบปี เด็กคนนั้นก็ยังไม่เคยปรากฏกายที่นั่นเหมือนในอดีตอีกเลย
ฉินเนี่ยนจวินมองเห็นอาการของทั้งสอง ก็ยิ่งรู้สึกหนักในใจขึ้นทุกขณะ
หิมะในฤดูหนาวโปรยปราย
ค่ำคืนหนึ่ง จู่ๆ สะใภ้หวังก็ตื่นขึ้นมา ความเคลื่อนไหวนี้ปลุกบ่าวที่คอยปรนนิบัติต้องลุกขึ้นมารับใช้ทันที
“ช่วยข้าล้างหน้าแต่งกาย” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็น
บ่าวรับใช้พากันมองหน้ากันอย่างลังเล มีคนไปแจ้งข่าวกับฮูหยินผู้ดูแลจวน คนอื่นๆ รีบเร่งจัดการ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย สะใภ้หวังก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย จับมือสาวใช้ด้วยร่างกายที่สั่นระริกมุ่งหน้าไปยังห้องของอนุวั่น สั่งให้ไปเตรียมเกี้ยว
ที่บังเอิญก็คือ ประหนึ่งมีใจเชื่อมถึงกัน อนุวั่นก็แต่งตัวรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองสบตากันด้วยรอยยิ้ม เดินเคียงข้างกันออกไป
เรือนตะวันตก
ที่นี่เปลี่ยนสาวใช้ที่ดูแลไปหลายรุ่น แต่เรือนแห่งนี้ยังคงมีเจ้าของเดิมไม่เปลี่ยนแปลง การจัดวางข้าวของก็ไม่ต่างจากอดีต
สะใภ้หวังและอนุวั่นเข้าไปในลานเรือน พยุงมือบ่าวถือโคมเดินสำรวจไปรอบๆ จนมาถึงห้องบูชา มองเห็นภาพวาดของหญิงสาวแขวนอยู สองผู้เฒ่าจ้องมองภาพนั้น สะอื้นเล็กน้อย
เด็กคนนี้ พวกนางติดค้างนางไปชั่วชีวิต
ตระกูลฉินกระทำผิดต่อนาง
ทั้งสองจุดธูปหอมดอกหนึ่ง จากนั้นกลับมานั่งที่ห้องโถงรับแขกของเรือนตะวันตก โบกมือให้เหล่าลูกหลานที่รีบรุดมาด้วยความตกใจ “กลับไปพักเถิด พวกเราแก่แล้ว นอนไม่ค่อยหลับ จึงมานั่งเล่นที่นี่เท่านั้น”
ทว่าทุกคนกลับไม่มีผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน ด้วยเพราะอากัปกิริยาของสองผู้เฒ่าแปลกประหลาดยิ่งนัก อีกทั้งวัยชราถึงเพียงนี้ ยากที่จะไม่ให้หวาดหวั่น
กระทั่งฉินหมิงเยี่ยนเอ่ยบอกให้คนทั้งหมดถอยออกไป เหลือเพียงเขากับฉินหมิงฉุนที่คอยอยู่เคียงข้าง
สะใภ้หวังและอนุวั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ พูดคุยกันเสียงเบา
“สุดท้ายก็เป็นยายทึ่มเช่นเจ้าที่อยู่เคียงข้างข้าจนถึงบั้นปลาย” สะใภ้หวังเอื้อมมือไปลูบมือของอนุวั่นเบาๆ
อนุวั่นยิ้ม เผยให้เห็นฟันที่ห่างและร่วงหลุด เอ่ย “ไปด้วยกัน ไม่ต้องกลัว”
สะใภ้หวังเองก็ยิ้มออกมา มองไปทางประตู
ลมหนาวพัดเข้ามา บ่าวรับใช้อยากไปปิดประตู แต่กลับถูกสะใภ้หวังห้ามเอาไว้
ยามฟ้าสาง ท้องฟ้าค่อยๆ สลัวระเรื่อ จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบสงัด มีเงาในชุดสีครามก้าวเข้ามาใต้แสงแรกแห่งอรุณ
“ท่านแม่ทั้งสอง ข้ากลับมาแล้ว” คนผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
สะใภ้หวังและอนุวั่นน้ำตาไหลอาบแก้ม
ในที่สุดก็รอจนถึงวันที่เจ้ากลับมา กลับมาก็ดีแล้ว
รัชศกเฉียนหนิงปีที่สิบสอง เดือนสุดท้ายของปี ในปลายฤดูหนาว สองผู้เฒ่าตระกูลฉิน ได้จากโลกนี้ไปพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขในยามรุ่งอรุณ โดยมีบุตรชายสองหนึ่งบุตรสาวอยู่เคียงข้าง จวบจนถึงคราวดวงวิญญาณล่องลอยสู่สรวงสวรรค์
[1]ปาต้วนจิ่น เป็นรูปแบบการบริหารร่างกายที่สืบทอดมาจากจีนโบราณ โดยมีต้นกำเนิดจากหลักการแพทย์จีนและปรัชญาเต๋า ประกอบด้วยท่าทางทั้งหมด 8 ท่า ซึ่งแต่ละท่ามีความหมายคล้าย “ผืนผ้าทอแปดผืน” ที่สื่อถึงการส่งเสริมสุขภาพและความงาม จุดมุ่งหมายของการฝึกคือการกระตุ้นพลังงานชีวิต (ชี่) ให้ไหลเวียนทั่วร่างกาย ช่วยปรับสมดุลของหยิน-หยาง และส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ