คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 7 ย่าทวดบรรพชนในตำนาน...
ตอนพิเศษ 7 ย่าทวดบรรพชนในตำนาน…
………………..
การสิ้นลมหายใจพร้อมกันของสองผู้เฒ่าตระกูลฉิน ได้สร้างความสะเทือนเลื่อนลั่นให้กับวงการผู้ทรงอำนาจแห่งเมืองเซิ่งจิง ใครบ้างไม่รู้จักสองท่านผู้เฒ่าที่อายุยืนยาวนี้ แม้เดิมทีจะเป็นภรรยาเอกและภรรยารอง แต่กลับอยู่ร่วมกันดั่งพี่น้องแท้ๆ หลายสิบปีแล้ว อนุวั่นผู้นั้น อ้อ ควรเรียกว่าวั่นซูเหริน[1] นางได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ลำดับที่สามจากความดีความชอบของบุตรชายและบุตรสาว
แม้วั่นซูเหรินจะมีฐานะเป็นเพียงอนุภรรยา แต่นางกลับเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในการใช้ชีวิต นางได้เสวยสุขในเกียรติยศและความมั่งคั่ง มีบุตรชายและบุตรสาวที่เก่งกาจ อีกทั้งยังได้รับความรักและการคุ้มครองจากภรรยาเอกที่ปฏิบัติต่อนางดั่งพี่สาวคนสนิท ผู้คนรุ่นหลังล้วนเคารพและนอบน้อมต่อนาง นับได้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของนางเต็มไปด้วยความสุขจนเป็นที่อิจฉาของผู้คน
ความกลมเกลียวของภรรยาเอกและภรรยารอง รวมถึงบุตรธิดาที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม ถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตของอดีตผู้เฒ่าฉินผู้ล่วงลับไปแล้ว และเมื่อสองผู้เฒ่าสิ้นใจพร้อมกัน ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนหวนรำลึกถึงความผูกพันอันลึกซึ้งของทั้งคู่
สองคนนี้ถึงเรียกว่ารักกันจริงๆ
ทว่าความสะเทือนขวัญจากการจากไปของทั้งสอง ไม่ได้อยู่ที่พิธีศพอันยิ่งใหญ่ หากแต่เป็นเพราะเหล่าผู้มาเคารพศพ แม้แต่ฝ่ายตรงข้ามของตระกูลฉินในวงการการเมือง ยังส่งเครื่องเซ่นมาให้ หรือแม้กระทั่งเดินทางมาเคารพศพด้วยตนเอง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า
ว่ากันว่า สองผู้เฒ่าตระกูลฉินสิ้นใจอย่างสงบในอ้อมกอดของบุตรสาว ทว่าผู้คนในยุคหลัง ต่างรู้ถึงรูปแบบครอบครัวของตระกูลฉิน ผู้ที่อยู่ร่วมรุ่นเดียวกันกับผู้เฒ่าฉินคนปัจจุบันและมีบิดาคนเดียวกัน มีเพียงนายท่านรองฉินเท่านั้น และบุตรสาว ไม่เคยเห็นมาก่อน คนผู้นั้นมีชีวิตอยู่ในเรื่องเล่าของคนเซิ่งจิงเท่านั้น
เช่นนี้แสดงว่า ท่านป้าบรรพชนในตำนาน ได้หวนคืนมาแล้ว
จึงไม่แปลกที่ผู้คนหลั่งไหลมายังตระกูลฉินเพื่อเคารพศพ และสิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุด คือบรรดาผู้อาวุโสผมขาวจากตระกูลทรงอำนาจอื่นๆ ที่เดิมทีหาได้ยากที่จะออกจากบ้าน
ยามนี้ผู้อาวุโสทั้งหลายเหล่านั้นราวกับกลุ่มก้อน จับประคองมือบุตรหลานมา ทำให้พิธีศพของตระกูลฉินในครั้งนี้ดูยิ่งใหญ่กว่าที่เคยมีมา
นี่ยังไม่พอ นอกจากเหล่าผู้อาวุโสจากวงการผู้มีอำนาจแล้ว ยังมีนักพรตนักบวชจากสองลัทธิมาเข้าร่วมมากมาย และเพราะเหตุนี้ ทุกคนจึงมีความเข้าใจใหม่
ข่าวลือที่ว่าตระกูลฉินมีเซียนคุ้มครอง เป็นความจริง
บัดนี้เซียนผู้นั้น ได้กลับมาแล้ว
จะกล่าวว่าบรรดาผู้มีอำนาจและเหล่านักพรตพุทธเต๋ามาเพื่อเคารพศพก็คงไม่ถูกนัก หากกล่าวว่ามาเพื่อพบกับบุตรีผู้เลื่องชื่อของตระกูลฉินจะเหมาะสมกว่า หรือหากเรียกตามฐานะของนาง คือเทพสตรีผู้ล้ำเลิศที่ได้รับการสร้างศาลบูชาโดยฮ่องเต้คังผิง ผู้บรรลุเต๋าและได้สมญานามว่า เซียนจวิน
ไม่ใช่หรือ
เจ้าลองหาคนที่อายุเจ็ดแปดสิบปีที่ยังคงมีรูปโฉมอ่อนเยาว์ราวกับยี่สิบต้นๆ มา เป็นไปได้หรือไม่
ก็คือบุตรีตระกูลฉินผู้นี้ นางหยุดยั้งความชราไว้แล้ว หากไม่ใช่เซียนจวินจะเป็นอะไรเล่า
เมื่อมีผู้คนมามากมายเกินคาด ฉินหมิงเยี่ยนจึงหันไปมองฉินหลิวซีที่สวมชุดไว้ทุกข์ เอ่ย “พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับไปพักที่เรือนตะวันตกดีหรือไม่ ท่านได้กลับมาส่งท่านแม่ทั้งสองครั้งนี้นับว่ากตัญญูแล้ว เพียงพอแล้ว หากมากกว่านี้พวกนางคงรับไม่ไหว”
ฉินหลิวซีไม่ใช่บุตรีธรรมดาทั่วไป นางคือผู้สั่งสมบุญญานับพันหมื่น เป็นเซียนที่ใกล้จะสำเร็จบรรลุขึ้นสู่สวรรค์ การที่นางสวมชุดไว้ทุกข์ในฐานะบุตรสาว สำหรับบิดามารดาที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่อาจรับบุญกุศลนี้ไหว
ที่สำคัญก็คือ นางอยู่ในห้องโถง ผู้ใดมาเคารพศพ หลังจุดธูปแล้ว ล้วนจ้องมองนางราวกับตัวประหลาด ยากที่จะไม่ขุ่นข้องในใจ
ฉินหลิวซีทอดสายตามองดูผู้คนอันเนืองแน่น รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาบ้าง นางพยักหน้าพลางเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะไป หากผู้ใดมาหาข้าก็ให้ไปที่เรือนตะวันตกเถิด”
รู้จากคำของเฟิงซิว หลังศึกครั้งนั้น โลกกลับมามีปราณฟื้นคืน เปรียบกับเมื่อก่อนแล้วช่างอุดมสมบูรณ์นัก นักพรตหลายคนล้วนถือว่าเคราะห์กรรมกลับกลายเป็นโอกาส บรรลุขั้นฐานรากได้สำเร็จมากขึ้น จึงคาดว่าคงมีหลายคนยังมีชีวิตอยู่
บรรดาพระและนักพรตที่มาบ้านตระกูลฉินตอนนี้ มิใช่มาเพื่อนางหรือ
การรำลึกถึงอดีตย่อมกระทำได้ แต่เรื่องสำคัญคือพิธีศพ ผู้คนมากเกินไป แม้ไม่อาจรบกวนสองผู้เฒ่า แต่ก็ไม่พ้นจะก่อความวุ่นวายในห้องบำเพ็ญกุศลได้
ฉินหมิงเยี่ยนจึงสั่งให้บุตรชายและสะใภ้พานางไป และจัดคนบางส่วนไปเรือนตะวันตกเพื่อคอยรับใช้ เพราะคนมากมายที่มารวมตัวกันอย่างกะทันหัน ล้วนเพื่อพบหน้าพี่หญิงใหญ่ จะปล่อยให้นางไม่มีคนช่วยดูแลได้อย่างไร
แต่ฉินหลิวซีกลับระบุให้ฉินเนี่ยนจวินพานางไป ที่นี่มีผู้คนมากมาย หากหลานชายคนโตและสะใภ้พากันจากไป จะดูไร้มารยาทเกินไป
ฉินเนี่ยนจวินรู้สึกตื่นเต้นปนลำบากใจ
นางลอบสังเกตท่านป้าใหญ่ผู้นี้อยู่ก่อนแล้ว ผู้คนต่างบอกว่าตนเหมือนนาง แต่เมื่อเห็นจริง กลับมีเพียงโครงหน้าและดวงตาบางส่วนที่ละม้าย หากว่ากันถึงอากัปกิริยาและบารมีแล้วกลับต่างกันราวฟ้ากับดิน หากสองคนยืนคู่กันประหนึ่งสวรรค์กับปฐพี
ฉินหลิวซียิ้มให้ฉินเนี่ยนจวินเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นทำให้หลานสาวถึงกับตาพร่า หัวใจเต้นแรงจนพูดไม่ออก ได้แต่บิดมือด้วยความลุกลี้ลุกลน
“ไปเถิด ซือซือ”
“เจ้าค่ะ” ฉินเนี่ยนจวินตอบรับเสียงเบา แก้มร้อนผ่าว รู้สึกว่าบรรยากาศชักจะประหลาดไป
ฉินหลิวซีแย้มยิ้มบาง ดวงตาพลันมองเหล่าลูกหลานที่มาร่วมงานเต็มห้อง นางพึงพอใจยิ่ง นับว่าฉินหมิงเยี่ยนและครอบครัวทำได้ดี ทั้งให้กำเนิดลูกหลานมากมาย ทุกคนต่างต้องเรียกนางว่า “ท่านย่าทวด” ผู้ยังดูอ่อนเยาว์
ฉินเนี่ยนจวินเลือกหลานอีกสองสามคนติดตามไปยังเรือนตะวันตก คอยดูแลรับใช้จนแทบไม่มีเวลาว่าง เมื่อแขกทยอยมาเรื่อยๆ ก็ยิ่งลำบาก งานเลี้ยงน้ำชากลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
ฉินหลิวซีได้พบสหายเก่าหลายคนที่ทราบข่าวและรีบรุดมา ไม่ว่าจะเป็นนักพรตไท่เฉิง เฉิงหยางจื่อ และปรมาจารย์ฮุ่ยเฉวียนต่างก็มาแล้ว
ฉินหลิวซีโค้งคำนับต่อปรมาจารย์ฮุ่ยเฉวียน เอ่ย “ไต้ซือจิ้งฉือต่างหากที่เป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตาอันหาที่สุดมิได้ ในอนาคตท่านย่อมบรรลุสู่การเป็นพระพุทธะอย่างแท้จริง”
ปรมาจารย์ฮุ่ยเฉวียนยกมือขึ้นประนมหลีกเลี่ยงคารวะ พลันรีบคารวะกลับ เอ่ย “พวกเราล้วนทำเพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิต นับว่าเป็นบุญมหาศาล แต่ก็ยังเทียบมิได้กับเซียนจวินที่มีคุณอนันต์ต่อเหล่าชีวิตน้อยใหญ่”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ เอ่ย “แม้กาลเวลาผันผ่าน ข้าจากไปนานนับหลายสิบปี ทว่าสุดท้ายก็สามารถกลับมาได้ แต่ท่านปรมาจารย์ฮุ่ยเฉวียนและผู้ที่ต้องสละชีพในศึกใหญ่ กลับไม่อาจมีโชคเช่นข้า บุคคลเช่นท่านทั้งหลายต่างหากที่สมควรถูกยกย่องบูชา”
ปรมาจารย์ไท่เฉิง เอ่ย “ไม่ว่าผู้ใดล้วนกระทำเพื่อสรรพชีวิต ถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่”
ฉินหลิวซีพยักหน้าเล็กน้อย “เพราะเหตุนี้ ข้าจึงคิดจะเผยแผ่ธรรมะ ปีหน้าในช่วงเช็งเม้ง ข้าจะไปบรรยายธรรมที่อารามชิงผิง หากพวกท่านสนใจก็เชิญร่วมบรรยายด้วยเถิด บัดนี้ผู้บำเพ็ญธรรมมีมากขึ้น หากได้ฟังพวกท่านถ่ายทอดธรรมะ ย่อมได้รับประโยชน์ล้นพ้น”
บรรดาผู้คนล้วนตอบรับโดยพร้อมเพรียง
ที่จริงแล้ว พวกเขาอยากรู้ยิ่งนักว่าฉินหลิวซีนั้นกลับมาได้อย่างไร และห้าสิบปีที่ผ่านมานางดำเนินชีวิตอย่างไร ในครั้งนั้นนางสละจิตวิญญาณบูชาแด่ฟ้าดิน สิ่งนี้ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ต่อทุกสายตา หาไม่แล้ว ค่ายอาคมย่อมไม่สามารถระเบิดพลังอันมหาศาลแห่งชีวิตออกมาได้ หากไม่ใช่เพราะการสละบูชา ฟ้าดินคงไม่ตอบสนอง
ปราณฟื้นคืนและทวีความอุดมสมบูรณ์ นั่นย่อมเป็นหลักฐานอันเด่นชัด
แต่ตอนนี้ดูเหมือนยังไม่ใช่โอกาสที่จะซักถาม อย่างไรนางก็กำลังจัดงานศพ คงต้องรอการจัดแสดงธรรมในปีหน้าค่อยเอ่ยถามอีกครั้ง
เหล่าผู้คนต่างสนทนาพลางร่ำลากันไป เฟิงซิวพึมพำเบาๆ “ถ้ารู้ตั้งแต่แรกคงเอาท่านไปซ่อน บอกข้ามา กว่ากี่สิบปีที่ผ่านมาท่านไปอยู่ที่ใด”
ฉินหลิวซีแย้มยิ้มบางเบา “ข้าเพียงแต่ข้ามผ่านในโลกอื่น ช่วยคน ช่วยผี และช่วยตนเองเท่านั้น”
เฟิงซิวอึ้งไปชั่วครู่ นี่คือการเวียนเกิดครั้งที่สิบกระมัง
เขากำลังจะเอ่ยถาม ทว่าพลันเห็นฉินหมิงเยี่ยนรีบเร่งเดินเข้ามา คิ้วขมวดแน่น ท่าทางคล้ายมีเรื่องไม่สบอารมณ์
เฟิงซิวเลิกคิ้วขึ้น สองมือกอดอกมองดูเขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าฉินหลิวซี เอ่ย “พี่หญิงใหญ่ คนจากวังมาถึงแล้ว ฝ่าบาทเชิญท่านเข้าวัง”
ฉินหลิวซีปล่อยจิตออกตรวจสอบไป วังหลวงหรือ พระราชวัง รัศมีแห่งราชบัลลังก์จางลงแล้ว เชิญนางไปเพื่อสิ่งใด
[1]ซูเหริน เป็นคำที่ใช้เรียกตำแหน่งหรือบรรดาศักดิ์ของสตรีในสมัยโบราณของจีน ซึ่งมักมอบให้แก่ภรรยารองที่ได้รับเกียรติและความเคารพในฐานะที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือสร้างคุณงามความดีให้แก่ครอบครัว โดยเป็นตำแหน่งลำดับที่ 9 ในบรรดาศักดิ์สตรีของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง (รวม 9 ลำดับ)