คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 8 เจ้าคู่ควรให้นางคำนับหรือ
ตอนพิเศษ 8 เจ้าคู่ควรให้นางคำนับหรือ
………………..
เมื่อสองผู้เฒ่าแห่งตระกูลฉินล่วงลับ แม้เป็นที่น่าตกใจ แต่ความยิ่งใหญ่ของพิธีศพกระทั่งฮ่องเต้เฉียนหนิงเองยังตกใจ ครั้นได้ข่าวจากคนเบื้องล่าง กลับเป็นข่าวว่าพี่หญิงใหญ่แห่งตระกูลฉินผู้หายสาบสูญไปกว่าห้าสิบปีได้กลับมาแล้ว ทำให้ทั้งสองสำนักพุทธและเต๋า รวมถึงบรรดาขุนนางผู้สูงศักดิ์ต่างมุ่งหน้ามาเคารพศพ
เฮอะ นี่มันคนเมาไม่ได้ตั้งใจดื่มเหล้า แต่หวังผลอื่นมากกว่าชัดๆ
การเคารพศพนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่ที่แท้คือการมาชมโฉมหน้าเซียนจวินตัวจริงถึงจะถูก
ด้วยเหตุนี้เอง เครือข่ายความสัมพันธ์ของตระกูลฉินจึงได้สร้างความอิจฉาและหวาดระแวงให้ฮ่องเต้เฉียนหนิงอีกครั้ง ยิ่งเมื่อผู้คนรอบข้างเอ่ยไม่หยุด แม้ว่าตระกูลฉินมีตำแหน่งขุนนางสูงสุดเพียงขั้นสาม แต่ลูกหลานกลับมีปัญญาล้ำเลิศไม่น้อย ตระกูลพวกเขายังมีขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ในราชสำนัก
เครือข่ายทางการเมืองแข็งแกร่ง เครือข่ายกับสองสำนักพุทธและเต๋าก็ไม่ได้ด้อย หากตระกูลฉินเอ่ยปากเรียกหาเป็นการก่อกบฏ บัลลังก์มังกรใต้ก้นคงถูกเขย่าแน่นอน
ฮ่องเต้เฉียนหนิงยิ่งคิดก็ยิ่งไม่อาจสงบใจลงได้ ยิ่งไปกว่านั้น อำนาจทหารยังไม่ได้กลับคืนมา ตระกูลเฉวียนแห่งซีเป่ยนั่นก็เป็นดั่งอสุรกายใหญ่ เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก
เพื่อเซียนจวินผู้นี้ เสด็จปู่ยังตั้งใจสร้างวิหารเพื่อนาง ไม่รู้ว่านางจะยินยอมช่วยตนบ้างหรือไม่
อย่างมากเขาก็จะตั้งนางเป็นราชครูของแผ่นดิน หากนางไม่ยินยอม เช่นนั้น…
ดวงตาของฮ่องเต้เฉียนหนิงมีความเยือกเย็นวาดผ่าน ความโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาทำให้สนมคนโปรดที่เอนกายแนบอยู่ข้างกายรู้สึกตัว ร่างนิ่งงันไป สั่นสะท้านขึ้นมา
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรหรือเพคะ” กู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ฮ่องเต้เฉียนหนิงปรายตามองนาง เอ่ย “ข้ากำลังตรึกตรองว่าเซียนจวินผู้นั้น มีความสามารถยิ่งใหญ่จริงหรือไม่”
กู่กุ้ยเฟยยิ้มอ่อนหวาน “ความสามารถจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่อาจเทียบฝ่าบาทได้ พระองค์คือฮ่องเต้ผู้ทรงธรรม โอรสมังกรแห่งสวรรค์ ถึงเป็นเซียนจวินอย่างไร ก็ไม่ใช่อื่นใด นอกจากเรื่องที่โลกมนุษย์พากันเอ่ยเกินจริง เทพเซียนที่แท้ไหนเลยจะพำนักอยู่ในโลกีย์ หากมีจริงคงเหาะเหินสู่แดนสวรรค์ไปนานแล้ว”
ฮ่องเต้เฉียนหนิงพอใจกับคำสรรเสริญ แต่เมื่อระลึกถึงคำเตือนที่เคยได้รับ สีหน้าพลันเคร่งเครียดขึ้น
แม้จะไม่ใช่เทพเซียนแท้ แต่พวกเขาก็สามารถปรากฏตัวดุจอสุรกาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเวทมนตร์คาถาที่สามารถปลิดชีวิตตนได้อย่างง่ายดาย
สิ่งสำคัญที่สุดคืออายุขัยที่สามารถยืดออกได้จริง เช่นปรมาจารย์ไท่เฉิงแห่งอารามจินหวา แม้มีอายุกว่าร้อยปีแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่สุขสบาย นี่แสดงให้เห็นว่าการบำเพ็ญเพียรนั้นได้ผลจริง
ฮ่องเต้ใดเล่าที่ไม่ปรารถนาครองบัลลังก์มังกรตราบนิรันดร์ พระองค์เองก็ไม่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้จึงเคยเอ่ยถามเหล่าผู้ทรงศีลแห่งสองสำนักเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร แต่กลับได้รับคำตอบว่า ต้องมีบุญสัมพันธ์กับพุทธหรือเต๋า และต้องมีรากวิญญาณ จึงจะเข้าสู่การบำเพ็ญได้ หากไร้ซึ่งรากวิญญาณย่อมไร้ประโยชน์
และเขา ไร้ซึ่งรากวิญญาณนั้น
ดังนั้น จะช้าจะเร็วเขาก็ต้องตาย อายุขัยก็ไม่อาจยืนนานเท่าพวกเขาเหล่านั้น
แน่นอนฮ่องเต้เฉียนหนิงไม่ยอม
เรื่องอะไรนักพรตเหล่านั้นอายุยืนนับร้อยปีได้ และเขาที่เป็นโอรสสวรรค์กลับทำไม่ได้
ขนาดผู้อาวุโสทั้งสองแห่งตระกูลฉินยังมีอายุเกือบถึงเก้าสิบ
ฮ่องเต้เฉียนหนิงหลุบตาลง ซ่อนประกายตาที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลและความโลภ
“โลกมนุษย์พากันเอ่ยเกินจริงจนฝังรากลึกแล้ว” เขาพึมพำเบาๆ
กู่กุ้ยเฟยส่งเสียง หึ ในลำคอ “ความจริงเรื่องนี้ควรหยุดยั้งได้แล้วเพคะ อย่างไรผู้ปกครองแผ่นดินคือฝ่าบาท อีกทั้งยังมีบรรพชนแห่งราชวงศ์ฉี แต่ประชาชนรู้เพียงคุณความดีของเซียนจวินอะไรนั่น สรรเสริญกราบไหว้ทั้งกลางวันกลางคืน เหตุใดจึงไม่กราบไหว้พระองค์ ผู้ตรากตรำปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่ฝ่าบาทหรอกหรือ ศาลเทพที่มีผู้กราบไหว้ หากมีคนครอบครองก็ควรเป็นฝ่าบาทถึงจะถูก โอรสสวรรค์ที่แท้จริง ควรเป็นที่รู้จักและได้รับการสรรเสริญจากทั่วแผ่นดิน หากไร้ราชวงศ์ฉี ผู้คนจะมีความสงบสุขได้อย่างไร”
ฮ่องเต้เฉียนหนิงมองนางอย่างลึกซึ้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความหมายลึกซึ้ง “สนมที่รัก เจ้าเอ่ยเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะตระกูลฉินปฏิเสธการแต่งงานกับตระกูลกู่จนทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจหรอกกระมัง”
พระสนมกู่กุ้ยเฟยสะท้านในใจ รีบคุกเข่าลงทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง เอ่ย “ฝ่าบาท แม้หม่อมฉันจะตำหนิที่ตระกูลฉินไม่เห็นคุณค่า แต่ก็ทราบว่าพรหมลิขิตนั้นฝืนไม่ได้ เป็นเพราะหลานชายของหม่อมฉันไม่มีคุณสมบัติพอคู่ควรกับอีกฝ่าย เดิมทีหม่อมฉันตั้งใจจะผลักดันเรื่องนี้เพราะคิดว่า หากได้เป็นญาติเกี่ยวดองกัน ย่อมเป็นกำลังหนุนของฝ่าบาท แต่ไม่นึกเลยว่าตระกูลกู่จะหมายปองสูงเกินไป”
ฮ่องเต้เฉียนหนิงสูดหายใจลึก ดวงตาเผยประกายดุดันเล็กน้อย เอ่ย “ตระกูลกู่เป็นครอบครัวของเจ้า เจ้าคือสนมรักของเรา เช่นนั้นตระกูลกู่ก็คือเชื้อพระวงศ์ จะเรียกว่าหมายปองสูงได้อย่างไร”
ฮ่องเต้เฉียนหนิงเอ่ยอย่างเย็นชา “บรรพชนมีคำสั่งห้าม ไม่ให้ราชวงศ์แต่งงานกับตระกูลฉิน แต่ไม่ได้ห้ามครอบครัวของสนม ตระกูลสองตระกูลเหมาะสม ข้าจะประทานสมรสให้เอง”
พระสนมกู่กุ้ยเฟยลังเลใจ “เช่นนี้จะไม่ฝืนใจกันเกินไปหรือเพคะ”
ฮ่องเต้เฉียนหนิงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา “ใต้หล้านี้เป็นแผ่นดินของข้า ตระกูลฉินกล้าขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ”
พระสนมกู่กุ้ยเฟยยกมือเรียวขาวขึ้นมาลูบไล้ไปยังแผ่นอกของเขา เอ่ย “ฝ่าบาททรงสงบพระทัย หม่อมฉัน…กรี๊ดดด”
นางกรีดร้องเสียงดัง จ้องมองผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศด้วยความตกใจสุดขีด ดวงตาพลันเหลือกค้างก่อนจะหมดสติไป
เหตุการณ์นี้ช่างน่าพิศวงเกินจริงยิ่งนัก นางเห็นผีในเวลากลางวันแล้ว
ฮ่องเต้เฉียนหนิงก็สะดุ้งจนหัวใจเต้นระรัว คำว่า “คุ้มครองฝ่าบาท” ยังไม่ทันหลุดจากปาก องครักษ์เงาที่ซุ่มซ่อนอยู่ต่างพากันกระโจนออกมา ยืนขวางตรงหน้าพร้อมชักดาบชี้ไปยังฉินหลิวซี ด้วยท่าทางหวาดผวา
คนผู้นี้ปรากฏตัวกะทันหัน พวกเขาไม่อาจสัมผัสได้แม้แต่น้อย ช่างน่ากลัวนัก
“บังอาจ เจ้าคือผู้ใดกัน” ขันทีคนสนิทข้างกายฮ่องเต้เฉียนหนิงเอ่ยถามเสียงสั่น
เมื่อฮ่องเต้เฉียนหนิงเห็นโฉมหน้าของฉินหลิวซีอย่างชัดเจน หัวใจพลันบีบเกร็งราวถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น จนรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวด
เท้าภายใต้ฉลองพระองค์พลันสั่นเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังทรงพยายามรักษาความสงบนิ่งอย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าจำฉินหลิวซีได้ แต่กลับไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว
ฉินหลิวซีประสานมือไว้ข้างหลัง มองไปยังฮ่องเต้เฉียนหนิง เพียงแค่ปรายตามองก็ส่ายศีรษะเบาๆ “เจ้าเทียบฉีเชียนท่านปู่ของเจ้าไม่ได้เลยสักนิด”
เมื่อหลายสิบปีก่อน นางได้หยั่งรู้ฟ้าดินไว้ว่า โชคชะตาของราชวงศ์ฉี ไม่อาจยืนยงถึงร้อยปี หรือแม้แต่หกสิบปี ชะตากรรมจะจบสิ้นลงในรุ่นของผู้ที่อยู่ตรงหน้า
รูปร่างอ้วนฉุ บนร่างกายล้วนแล้วแต่เป็นไขมันสะสม ใบหน้าไร้สง่าราศี ถุงใต้ตาหย่อนคล้อย การเสพสุรานารีทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม บารมีแห่งผู้ปกครองอ่อนแอไม่อาจเทียบได้แม้กระทั่งขุนนางใหญ่ที่กำลังรุ่งโรจน์
ยิ่งไปกว่านั้น พลังมังกรในร่างกายเขาก็แปดเปื้อนมัวหมอง ลมหายใจสับสนยุ่งเหยิง ไม่มีความสง่างามของมังกร มีแต่ความอัปมงคลครอบงำ
ผู้ครองบัลลังก์เช่นนี้จะทำให้ราชวงศ์ฉีพินาศ
ฉินหลิวซีลอบคำนวณในใจ เจ้าจิ้งจอกน้อยบนบ่านางซึ่งกำลังเกาะแน่นประหนึ่งพอกกาวติดไว้ ถึงกับกลอกตาอย่างไม่พอใจ
“เจ้าคือปู้ฉินเซียนจวินแห่งอารามชิงผิงหรือ” ฮ่องเต้เฉียนหนิงได้ยินวาจาของนางรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้าง โบกมือไล่องครักษ์เงา ขมวดคิ้ว “เห็นข้าแล้ว เจ้าไม่ถวายพระพรหรือ”
เฟิงซิวหมุนตัวกลับมา ในที่สุดก็ยอมปรายตามองฮ่องเต้เฉียนหนิงผู้น่ารำคาญ กล้าให้ซีซีถวายพระพรเขาอย่างนั้นหรือ
“เจ้าคู่ควรหรือ” เขามองฮ่องเต้เฉียนหนิงด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ย “ฉีเชียนปู่ของเจ้าเห็นนางยังต้องเคารพนอบน้อม เจ้าเป็นเพียงสวะไร้ค่า ยังกล้าบอกให้นางถวายพระพรเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้านี่มันดาวกษัตริย์แขวนคอเสียจริง รังเกียจที่จะอายุมากเกินไป อยากตายหรือ”