คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 9 เจ้าเก้าสุนัขเต๋า หุบปาก .
ตอนพิเศษ 9 เจ้าเก้าสุนัขเต๋า หุบปาก
………………..
เมื่อถูกเฟิงซิวดูแคลนด้วยวาจาเย็นชา สีหน้าของฮ่องเต้เฉียนหนิงอันอวบอ้วนพลันเปลี่ยนเป็นสีตับหมู ดวงเนตรจ้องเขม็งไปยังสุนัขจิ้งจอกสีแดงเพลิงบนบ่าของฉินหลิวซี
ปีศาจ พูดภาษาคนได้
เฟิงซิวกระโดดลงจากบ่าฉินหลิวซี พลันแปลงกายมาเป็นมนุษย์ ท่วงท่างดงามราวสตรี ทำให้ทุกคนทั้งในที่แจ้งและที่ลับต่างมองอย่างตกตะลึง
ฮ่องเต้เฉียนหนิงเบิกตา พลันเอ่ย “เป็นเจ้า”
ก่อนหน้านี้เขาคิดจะรับสตรีตระกูลฉินเข้าวัง คนผู้นี้ก็มาปรากฏตัวในตำหนักฉินเจิ้งของเขา แสดงพลังอำนาจเพื่อให้เขายกเลิกความคิดนั้นเสีย
ตอนนั้นเขาบอกอย่างไร บอกว่าหากให้สตรีตระกูลฉินเข้าวังเป็นสนมหรือคู่สมรสของโอรสตน คนของเขาก็จะทำลายทั้งบัลลังก์ทองคำที่ประดับด้วยอัญมณีนั้นให้แหลกเป็นผุยผง
ใช่ ให้แหลกเป็นผุยผง
เพียงดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ไม่สนว่าเขาจะยังนั่งอยู่บนบัลลังก์หรือไม่ จากนั้นบัลลังก์มังกรที่นั่งอยู่ก็จะพังทลาย กระทั่งกลายเป็นผงทรายทองคำ
เพียงดีดนิ้วเท่านั้น
หากเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา จะไม่เหลือแต่เถ้ากระดูกหรือ
เพียงนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น สีหน้าของฮ่องเต้เฉียนหนิงก็กระตุก หัวใจสะท้านสะท้านจนร่างกายหนาวเหน็บ
หลังจากเหตุการณ์นั้น เขาได้ขอความช่วยเหลือจากนักพรตเต๋าและพระสงฆ์ ทว่าทันทีที่พวกเขาได้ยินลักษณะของเฟิงซิว ก็เอ่ยเกลี้ยกล่อมเขา ในใต้หล้ามีสตรีงามมากมาย อย่าได้คิดหมายหญิงสตรีตระกูลฉินแล้ว สตรีตระกูลฉินนั้นมีผู้ปกปักรักษา
ฮ่องเต้เฉียนหนิงโกรธจนหน้าเขียว ไม่เคยคิดว่าเป็นฮ่องเต้จะมีวันที่จนตรอกเช่นนี้ แม้แต่สุนัขจิ้งจอกตัวเดียวก็จัดการไม่ได้
นับแต่นั้น เขาเกิดความยำเกรงต่อสตรีตระกูลฉิน เขาไม่แตะต้องสตรีตระกูลฉิน ลดทอนอำนาจของพวกเขา พุทธและเต๋าก็คงไม่มีคำมาทัดทานได้แล้วกระมัง
ดังนั้นตอนนี้แม้ตระกูลฉินจะมีทั้งขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ในราชสำนัก แต่ล้วนไม่ได้รับความโปรดปรานอย่างแท้จริง ที่ไม่ถูกปลดก็คงเพราะผู้นำตระกูลฉินเป็นศิษย์ของอาจารย์อวี้ฉังคง ผู้สั่งสอนผู้คนมานานนับหลายสิบปี มีผู้เคารพนับถือจำนวนมาก
ตอนนี้เจอเฟิงซิวอีกครั้ง ความทรงจำอันไม่น่าพิศมัยกลับมาอีกครั้ง ฮ่องเต้เฉียนหนิงทั้งหวาดกลัวทั้งโกรธ
บุคคลผู้นี้งดงามยิ่งกว่าสตรี ที่แท้เป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ก็ไม่ใช่ปีศาจหรอกหรือ
“ข้าเคยบอกแล้ว อย่าได้หมายปองสตรีตระกูลฉินอีก เจ้าแสร้งหูหนวก หรือลืมความเจ็บปวดที่ผ่านมาแล้ว” เฟิงซิวดีดนิ้ว
ปัง ปัง
ฮ่องเต้เฉียนหนิงทรุดนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เจ้า คิดจะปลงพระชนม์ฮ่องเต้หรือ ข้าเป็นโอรสสวรรค์นะ”
ควรกดพุทธและเต๋าเอาไว้ ควบคุมอำนาจทั้งหมดจึงจะถูก
เหมือนกับสมัยของบรรพบุรุษ พวกเขาน่ากลัวเกินไป เหิมเกริมเกินไปแล้ว นี่คือโลกมนุษย์ มีฮ่องเต้เป็นผู้ปกครองนะ
เฟิงซิวเอ่ย “ฉีเชียนครองบัลลังก์ยี่สิบปี รวบรวมบ้านเมืองที่แตกแยกจนรุ่งเรือง ส่วนบิดาของเจ้า สร้างทรัพยากรไม่สำเร็จ แต่การรักษานับว่าใช้ได้ แต่มาถึงเจ้าที่นี่เล่า อยู่บนบัลลังก์มาเพียงสิบสองปี นอกจากสร้างตำหนัก ปรนเปรอสตรี ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ กดขี่ราษฎร เจ้าทำอะไรไปบ้าง ฮ่องเต้หย่งเหยียนช่างมีตาหามีแววไม่ เลือกกองลูกท้อนับพันนับหมื่น กลับหยิบได้ตาปลาแทนที่จะเป็นลูกท้อ ถุย”
“บังอาจนัก ข้าเป็นโอรสสวรรค์นะ”
ดวงตาจิ้งจอกของเฟิงซิวเกรี้ยวกราด มือขยับหมายจะสั่งสอนเขาสักครั้ง ฉินหลิวซีก้าวขึ้นมา เอ่ย “เป็นจิ้งจอกพันปีแล้ว นิสัยใจร้อนนี้ก็ยังไม่ลดละ เขาโง่เจ้าก็ยังถือสาเขาอีกหรือ”
ฮ่องเต้เฉียนหนิง “?”
นี่กำลังด่าข้าอยู่นี่นา
ฉินหลิวซีโบกมือหนึ่งครั้ง ผงทองคำที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นถูกนางเก็บกลับมาทั้งหมด ทองที่เคยสลักเป็นลวดลายมังกร จะเสียเปล่าไม่ได้ นางจะเอาไปชุบองค์เทพในอาราม
เฟิงซิวเห็นแล้ว ใบหน้ายากจะอธิบาย เยี่ยมไปเลย พันเปลี่ยนหมื่นเปลี่ยน ความมักมากในทรัพย์ไม่เคยเปลี่ยน
ฉินหลิวซีมองฮ่องเต้เฉียนหนิง เอ่ย “เจ้าอยากเจอข้า มีเรื่องใดหรือ”
ฮ่องเต้เฉียนหนิงหน้าดำหน้าแดงลุกขึ้นยืน ขณะเงยหน้าขึ้นมาแววตาเต็มไปด้วยความอำมหิต
ฉินหลิวซีหรี่ตาลง
เขาคิดจะสังหารนาง
ภายใต้การจับจ้องของฉินหลิวซี หัวใจของฮ่องเต้เฉียนหนิงเริ่มบีบแน่นสั่นระริก เอ่ยอึกอัก “เสด็จปู่ของข้า สร้างวิหารให้เจ้า ความดีความชอบเช่นนี้ เจ้าควรตอบแทนสักหน่อยหรือไม่”
ฉินหลิวซีหัวเราะ “เจ้าไม่ได้ความเด็ดขาดของปู่เจ้ามาเลยสักนิด แต่ความกล้าบ้าบิ่นดูเหมือนจะมีมากกว่า กินดีหมีตับเสือเข้าไปเยอะเกินหรือ ถึงได้คิดเพ้อฝันปานนี้ เรียกข้ามาเพื่อตอบแทนพระคุณอย่างนั้นหรือ เจ้าอยากให้ข้าตอบแทนเช่นไร”
“หากเจ้าช่วยข้ารวบรวมอำนาจการทหาร ข้าจะสถาปนาเจ้าเป็นราชครู ให้ผู้คนเคารพสักการะไปทั่วหล้า” ฮ่องเต้เฉียนหนิงเอ่ยโดยไม่สนใจคำของนาง
“ตอนนี้ข้าไม่ได้รับการสักการะอยู่แล้วหรอกหรือ เสด็จปู่ของเจ้า แต่งตั้งให้ข้าเป็นถึงเซียนจวิน ยามนี้มีวิหารให้กราบไหว้ ไม่ใช่รูปปั้นของข้าหรอกหรือ”
ฮ่องเต้เฉียนหนิงสะอึก ยังอยากเอ่ยอะไร ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “ยามนี้พลังปราณฟื้นคืน แม้แต่มนุษย์ธรรมดาหากมีวาสนาบรรลุทางเต๋าก็สามารถบำเพ็ญเพียรได้ ถึงกระนั้นเต๋าและพุทธย่อมมีกฎระเบียบ ไม่อนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ชั่วร้ายเพื่อทำร้ายผู้คน หากถูกพบเห็นย่อมต้องถูกประหารตามสมควร ทั้งยังห้ามรังแกชาวบ้านธรรมดาโดยไร้เหตุผล หากละเมิดย่อมต้องถูกลงโทษ เช่นเดียวกัน การแทรกแซงกิจการของโลกียวิสัยย่อมไม่ควร เจ้าให้ข้าช่วยรวบรวมอำนาจการทหาร นั่นเท่ากับให้ข้าทำลายหลักการอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้เฉียนหนิงเอ่ยเสียงเย็น “เอ่ยได้ดีนัก แต่ข้ารู้ บางตระกูลใหญ่ ยังเชิญนักพรตมาปกป้องคุ้มครองตระกูล ตระกูลฉินเองก็เป็นเจ้าที่กำลังปกป้องอยู่มิใช่หรือ”
“ข้าเคยทำเรื่องผิดบาปเพื่อช่วยเหลือตระกูลฉินหรือ หรือข้ารับเงินทำร้ายผู้คนเพื่อตระกูลฉินกันเล่า เดิมข้าก็คือคนตระกูลฉิน มีเลือดเนื้อของตระกูลฉิน ยามนี้เป็นผู้อาวุโสที่อายุมากที่สุดในตระกูลฉิน มีข้าคอยปกปักรักษา นั่นคือวาสนาของตระกูลฉิน ทำไมหรือ หรือว่าวาสนาดีก็ผิด หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่อาจนั่งอยู่บนบัลลังก์ได้ เพียงเพราะมีบรรพบุรุษของเจ้าปกป้อง เจ้าถึงมีวันนี้ได้ก็เท่านั้น”
ฮ่องเต้เฉียนหนิงถูกจี้ใจดำจนหน้าแดงหูแดง เขาจะกล่าวร้ายต่อบรรพบุรุษของตนได้อย่างไร
เขาย่อมไม่กล้า
ฉินหลิวซีปรายตามองเขา คล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม เอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค “อีกอย่าง การเชิญนักพรต เจ้าเองก็เชิญแล้วหนึ่งคนมิใช่หรือ”
นางเอ่ยจบก็หายตัววับไป ไม่นานก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ในมือลากนักพรตคิ้วยาวผู้หนึ่งมาด้วย นักพรตผู้นั้นตัวสั่นเหมือนนกกระทาที่นอนแน่นิ่งอยู่ในมือของนาง ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง อยากจะกลั้นใจตายเสียตรงนั้น
น่ากลัวเป็นที่สุด เดิมเขาอยากหนี วิ่งหนีไปถึงหน้าประตูวังแล้วก็ถูกนางจับกลับมา
ฮ่องเต้เฉียนหนิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นักพรตคิ้วยาวผู้นี้เพิ่งถูกเชิญมาเพียงไม่กี่วัน ฝีมือก็ไม่เลว เขาตั้งใจจะเก็บไว้เป็นไพ่ลับ แต่กลับถูกฉินหลิวซีค้นพบจนได้
ไยถึงรู้ว่าในวังมีผู้ใดบ้าง
หัวใจของฮ่องเต้เฉียนหนิงเต้นโครมคราม เขารู้สึกกระหายน้ำอย่างบอกไม่ถูก ไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
ฉินหลิวซีโยนนักพรตคิ้วยาวลงกับพื้น เอ่ย “นักพรตที่เจ้าเชิญมา ไม่ได้ความอะไร กินอิ่มดื่มพอ กำลังคิดหนีน่ะ”
ฮ่องเต้เฉียนหนิง “!”
เขาจ้องมองนักพรตคิ้วยาว นี่มันอะไร หมายความว่าเขาเป็นพวกสิบแปดมงกุฎหรือ
นักพรตคิ้วยาวคุกเข่าลงตรงหน้าฉินหลิวซี เอ่ยอย่างลนลาน “ข้าขอสาบานต่อสามเทพเบื้องบน ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิดบาปเลย เป็นฮ่องเต้ที่ให้เกียรติเชิญข้ามาเป็นนักพรตในราชสำนัก ข้าไม่อาจปฏิเสธได้จึงมาพำนักอยู่ไม่กี่วัน คิดไปคิดมาเห็นว่าไม่สมควรจึงตั้งใจจะจากไป แต่บังเอิญได้พบเซียนจวิน ช่างบังเอิญยิ่งนัก ข้าน้อยเลื่อมใสเซียนจวินดุจสายน้ำที่ไหลเชี่ยวไม่รู้สิ้น วันนี้ได้พบ นับเป็นวาสนายิ่งใหญ่ แม้ตายก็มิอาจเสียใจแล้ว”
สีหน้าของฮ่องเต้เฉียนหนิงเหมือนกลืนแมลงวันเข้าไป สุนัขนักพรต เจ้าหุบปาก วันนั้นต่อหน้าข้าทำตัวองอาจไม่ใช่หรือ ไยตอนนี้จึงประจบประแจงหมอบคลานอยู่เช่นนี้เล่า
[1]เก้าสุนัขเต๋า คำนี้อาจเป็นการใช้คำด่าหรือดูถูกเกี่ยวกับ “เต๋า” โดยเปรียบเสมือนว่าพวกเต๋านั้นเป็นเพียง “สุนัข” ซึ่งไม่ได้มีความน่าเกรงขามหรือศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ควรจะเป็น คำว่า “เก้า” ในที่นี้อาจใช้ในเชิงสำนวนเพื่อเน้นความดูถูกให้รุนแรงขึ้น หรืออาจหมายถึงกลุ่มบุคคลหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า