คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 120 ยากนัก
ตอนที่ 120 ยากนัก
ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใด หากเจราจาได้ย่อมมีความหวัง
ในมุมมองของตู้ซินแส การที่เยียนอวิ๋นเกอต้องการเงินหนึ่งแสนก้วนนั้น อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้รู้ขีดจำกัดของนางแล้ว
การได้รู้ขีดจำกัดจองอีกฝ่ายย่อมหมายความว่าเรื่องกำลังคืบหน้า
การเดินทางมาเรือนพักร่ำรวยในคราวนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์
ตู้ซินแสไม่อาจรับปากให้เงินหนึ่งแสนบก้วนกับเยียนอวิ๋นเกอได้ เขาต้องขออนุญาตก่อน
แม้ว่าเขาจะสามารถรับปากได้ แต่ก็ไม่สามารถตอบตกลงได้ทันที
การเจรจาหรือการต่อรองเป็นการชักเย่อระยะยาว เป็นสงครามจิตวิทยา
อีกฝ่ายจะมีเงื่อนไขอย่างไร ก็ไม่อาจตอบตกลงอย่างนั้นได้ทันที
ตู้ซินแสจึงแสดงสีหน้าลำบากใจ “คุณหนูสี่เรียกร้องมาก ช่างทำให้คนลำบากใจ”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา “ท่านพ่อข้าไม่ขาดแคลนเงินแค่หนึ่งแสนก้วน”
“ท่านโหวไม่ได้ขาดแคลนเงินเพียงเท่านี้จริง แต่ท่านโหวต้องใช้เงินมาก มีคนจำนวนมากต้องเลี้ยง หากให้เงินหนึ่งแสนก้วนกับคุณหนู หมายความว่าเงินหนึ่งแสนก้วนของอีกที่หนึ่งย่อมต้องหายไป เงินน้อยลงไม่ได้ เมื่อเงินน้อยลง จิตใจของผู้คนย่อมต้องสั่นคลอน ขอคุณหนูสี่โปรดเหลือทางไว้ให้ด้วย”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหัวช้าๆ “ข้าบอกขีดจำกัดของข้าแก่ซินแสแล้ว มันถือเป็นความจริงใจที่ข้ามีต่อซินแส ต่ำกว่าหนึ่งแสนก้วนก็ไม่ต้องเจรจาเรื่องหุ้น แม้ว่าท่านพ่อจะใช้มาตรการที่รุนแรงเพื่อบังคับข้าก็ตาม ข้าจะรับเอาไว้”
ตู้ซินแสฝืนยิ้ม “เหตุใดท่านต้องทำถึงขั้นนี้”
เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้ว “ข้ากลัวปัญหามาก แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะเสียสละผลประโยชน์ของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ข้าไม่ใช่คนใจกว้าง ตรงกันข้ามข้าเป็นคนที่ใจแคบและชอบเก็บความแค้น สิ่งที่ข้าพูด ท่านสามารถบอกท่านพ่อของข้าได้ตามตรง”
ช่างยุ่งยากเสียจริง!
ตู้ซินแสรู้ดีแก่ใจ วันนี้เจรจาถึงระดับนี้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเจรจาต่อไป
เขายกมือขึ้น “ขอบคุณคุณหนูสี่ที่ปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ ข้าจะรายงานท่านโหวตามความจริง เงินหนึ่งแสนก้วนไม่ใช่จำนวนเล็ก หากแต่เป็นเงินจำนวนมหาศาล เรื่องนี้ต้องให้ท่านโหวตัดสินใจ”
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ารอข่าวดีจากซินแส!”
พูดพลางยกชาส่งแขก
ตู้ซินแสลุกขึ้น เตรียมตัวจากไป
ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นจึงพูดขึ้นอีกคำหนึ่ง “ท่าทีที่คุณหนูปฏิบัติต่อท่านโหวแบ่งแยกฝ่ายชัดเจนเกินไป ดูไม่เหมือนพ่อลูก หากแต่เป็นคู่ค้าเสียจริง”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มพลันพูด “หากไม่แบ่งแยกให้ชัดเจน หมายความว่าวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ข้าทำล้วนกำลังทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น ข้าขอถามซินแส ท่านพ่อจะมอบสมบัติให้พี่สองของข้าหรือ”
ตู้ซินแสขมวดคิ้ว “เรื่องเกี่ยวกับสมบัติตระกูล ข้าไม่กล้าพูดเหลวไหล”
เยียนอวิ๋นเวิ๋นเกอพูดด้วยสายตาประชดประชัน “ทั้งที่ซินแสรู้ดีว่าท่านพ่อไม่มีทางมอบสมบัติให้พี่สองของข้า หากไม่แบ่งแยกให้ชัดเจน สุดท้ายเรือนพักร่ำรวยจะตกอยู่ในมือของผู้ใดย่อมไม่ต้องพูด ซินแส ท่านคงจะมองออก ข้าไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่มีทางทำเรื่องที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ ดังนั้น ระหว่างข้ากับท่านพ่อ ย่อมต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน”
“ข้าเข้าใจแล้ว! แม้คุณหนูจะยังเด็ก แต่ท่านมีความคิดลึกซึ้งเพียงนี้ ช่างไม่เหมือนกับเด็กที่อายุขนาดนี้ควรเป็นเลยเสียจริง”
เยียนอวิ๋นเกอชี้ไปที่คอของตนเอง “ข้าสูญเสียเสียงไปหลายปี ทำให้ข้าเห็นถึงความอบอุ่นและความเย็นชาขงผู้คนอย่างชัดเจน ดังนั้นข้าย่อมต้องระมัดระวังมากขึ้น”
ตู้ซินแสอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา “ข้าระแวงมากไป ขอตัว!”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ตู้ซินแสก็เดินทางออกจากเรือนพักร่ำรวย
เยียนอวิ๋นเกอก็ว่างงานลง
เรือนพักก้าวเข้าสู่หนทางที่ถูกต้อง พ่อบ้านบ่าวรับใช้ต่างมีหน้าที่ของตนเอง มีระเบียบแบบแผน ไม่จำเป็นต้องให้นางกังวลใจ
เพียงแค่กำไรน้อยเกินไป ทำให้คนกลุ้มใจนัก
ฤดูหนาวหนึ่งปลูกผักก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายเพียงนั้น
เวลานี้นางยังไม่อยากทำสิ่งใด ไม่อยากดึงดูดความสนใจมากเกินไป
หลายวันนี้ นางเพียงแค่ขายกระสอบเชือกป่านให้สำนักเซ่าฝู่และร้านค้าขนาดใหญ่ทั้งหลาย
ข้อดีของกระสอบเหล่านี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
กระสอบมีขนาดเท่ากัน เมื่อบรรจุเสบียงเข้าไป น้ำหนักจึงเท่ากัน
หนึ่งถุงเท่ากับหนึ่งร้อยจิน หรือหนึ่งร้อยห้าสิบจิน
อีกทั้งง่ายต่อการขนส่ง ง่ายต่อการเก็บตุน…
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ ราคาต่ำ กำไรน้อย ทำได้เพียงอาศัยจำนวน
อาศัยการขายให้ได้กำไรน้อย แต่ขายจำนวนมาก
เวลานี้ งานสำคัญของเรือนพักยังคงเป็นการบุกเบิกและเพาะปลูก
ความจริงแล้ว เยียนอวิ๋นเกอยังมีความคิดมากมาย นางอยากหลอมเหล็ก หลอมทองแดง อยากทอผ้า…
ธุรกิจเหล่านี้ หากไม่ทำก็แล้วไป หากลงมือทำย่อมเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
เมื่อมีการเคลื่อนไหวใหญ่ย่อมจะดึงดูดความสนใจของเมืองหลวง
นางไม่กลัวความสนใจ เพียงแต่เรือนพักร่ำรวยไม่ต้องการความสนใจเหล่านี้
ความสนใจที่เกินความจำเป็นจะสร้างแรงกดดันให้เรือนพักร่ำรวย อีกทั้งยังนำมาซึ่งภัยอันตราย
เวลานี้ เรือนพักร่ำรวยยังคงต้องเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างมั่นคง
นางเบื่อหน่ายจนขี้เกียจ ตะโกนเรียกอาเป่ย “ข้าอยากหาเรื่องทำ เหตุใดจึงยากนัก”
“คุณหนูอยากทำสิ่งใดเจ้าคะ” อาเป่ยยกผลเยื่อพรหมจารีที่หาได้ยากเข้ามา
เยียนอวิ๋นเกอลองชิม โอย เปรี้ยวเสียจริง
“เหตุใดจึงเปรี้ยวเพียงนี้”
“เปรี้ยวเช่นนี้มาตลอดนะเจ้าคะ!” อาเป่ยตอบ นางยังแปลกใจว่าคุณหนูเคยกินผลเยื่อพรหมจารีที่หวานด้วยหรือ
เยียนอวิ๋นเกอตบหน้าผาก นางหาเรื่องทำได้แล้ว
หากพูดให้ถูกต้องคือ หาเรื่องให้เกษตรกรที่มีประสบการณ์มากทำได้แล้ว
สิ่งที่นางต้องการทำก็คือการปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ให้ดีขึ้น เพาะปลูกผลไม้ที่คุณภาพดี
เรื่องนี้นางทำไม่ได้ อย่างมากให้คำชี้แนะหรือแนวทางได้เท่านั้น
คนที่ลงมือทำยังคงเป็นเกษตรกร
ผลเยื่อพรหมจารีเปรี้ยวเกินไป นางกินไปเพียงสองลูกก็ไม่กินแล้ว
นางจรดพู่กัน บันทึกของตนเองเอาไว้
“ยังสามารถเพาะปลูกดอกไม้ สมุนไพรเพื่อนำมาผลิตเครื่องหอม หรือขายไปวัตุดิบยา”
เพียงแต่ระยะเวลาการเติบโตของสมุนไพรยาว ทั่วไปต้องใช้เวลาหลายปีในการเก็บเกี่ยว คืนกำไรช้าเกินไป
ปลูกดอกไม้เร็วกว่า
ฤดูใบไม้ผลิยังไม่ผ่านพ้นไป เวลานี้สามารถลองปลูกก่อนสักแปลงหนึ่งได้
เห็ดหูหนูบนภูเขาก็ต้องขยายปริมาณ
เห็ดก็สามารถเพิ่มปริมาณได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ สามารถใช้เครื่องหอมเป็นจุดดึงดูดให้พ่อค้าเดินทางมาเรือนพักร่ำรวย ใช้โอกาสนี้ตั้งโรงเตี๊ยมขนาดเล็กขึ้นมา เสนออาหารรูปแบบใหม่หลายอย่าง
เหตุใดจึงไม่ทำในเมืองหลวง
หนึ่งคือ เพื่อไม่ดึงดูดสายตาผู้คน
สองคือ หากเมืองหลวงเกิดความโกลาหลขึ้นมา ย่อมง่ายต่อการถ่ายโอนทรัพย์สิน
สามคือ นางต้องการตีแผ่ชื่อเสียงของเรือนพักร่ำรวย
บางทีอาจยังสามารถหมักสุราได้ด้วย
เยียนอวิ๋นเกอจรดพู่กัน ไตร่ตรองความเสี่ยงของการทำธุรกิจสุรา
หากเพียงแค่หมักเอาไว้ดื่มเองย่อมไม่มีปัญหา
หากอยากจะหมักสุราในรูปแบบธุรกิจขนาดใหญ่ ย่อมต้องกระทบต่อผลประโยชน์ของบางตระกูล
นางจะเสี่ยงดีหรือไม่
ทางใต้ทำสงคราม สถานการณ์ไม่มั่นคง ไม่แน่ว่าวันใดเมืองหลวงจะเกิดความโกลาหลขึ้นมา
เวลานี้เหมือนจะไม่ใช่โอกาสดีในการเข้าสู่ธุรกิจสุรา
เพื่อรับมือกับความโกลาหลในอนาคต เสบียงยิ่งมากยิ่งดี
เอาเสบียงมาใช้ในการหมักสุรา ช่างน่าเสียดาย!
อีกทั้งยังต้องรับมือกับการโจมตีของตระกูลมากมาย
เยียนอวิ๋นเกอปวดหัว
แต่กำไรของสุราสูง ไม่ใช่สูงธรรมดา แต่สูงมาก นางอยากได้จริงๆ
นางครุ่นคิด ก่อนจะเขียนคำว่าหมักสุราลงไป
เริ่มแรกสามารถหมักสุราขนาดเล็ก วางขายในโรงเตี๊ยมที่เปิดใหม่
ในพื้นที่ของเรือนพักร่ำรวนก็วางขายได้ ตระกูลที่มีอำนาจมากเพียงใดก็ไม่อาจแทรกแซง
นอกจากหมักสุรา ธุรกิจตีเหล็กก็สามารถเปิดขึ้นมาได้
เริ่มจากการผลิตอุปกรณ์การเกษตร หลังจากคุ้นชินกับการดำเนินการแล้ว จึงเริ่มผลิตอาวุธ เกราะ
แน่นอน การผลิตอาวุธและเกราะย่อมต้องทำอย่างลับๆ
แผนการในอนาคต นางเขียนลงทีละข้อ
ขยายรูปแบบของการบุกเบิก ขยายร๔ปแบบของลานเลี้ยงสัตว์ ขยายรูปแบบการเพาะปลูกผลไม้ แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งปลูกดอกไม้…
รวมๆ แล้วนางเขียนไปหลายหน้า
ศิลปะทั้งสี่ เยียนอวิ๋นเกอเชี่ยวชาญการเขียนที่สุด
ลายมือของนางงดงามอย่างยิ่ง
นางนำแผนการที่เขียนไว้คร่าวๆ มอบให้พ่อบ้านใหญ่ เยียนสุย “แผนการด้านบนนี้เริ่มดำเนินการได้ หากคนไม่พอก็เกณฑ์คน หากเงินไม่พอก็บอกข้า อย่างไรแล้ว แผนการทั้งหมดต้องเริ่มให้เร็วที่สุด”
เยียนสุยตะลึง “แน่ใจว่าจะพัฒนาทั้งหมดนี้ในปีนี้หรือขอรับ”
ก้าวใหญ่เกินไปหรือไม่
เยียนอวิ๋นเกอยังคิดว่าตนเองขี้กลัว ก้าวไม่ใหญ่พอ
นางพูด “ถึงแม้จะดูมีเรื่องที่ต้องทำจำนวนมาก แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้สิ้นเปลืองเงินนัก อีกระยะ ท่านโหวจะส่งเงินมา เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในสปีนี้”
เงินของบิดาชั่ว เยียนโส่วจ้าน นางจะเอามาให้ได้
เยียนสุยรู้จุดประสงค์ในการเดินทางมาเมืองหลวงของตู้ซินแส เขาถาม “คุณหนูเจรจากับตู้ซินแสแล้วหรือ เราต้องแบ่งหุ้นให้ท่านโหวจริงหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “ให้หุ้นส่วนหนึ่งกับเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าลงมือทำได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องทางจวนโหว พื้นที่นอกเหนือจากเรือนพักล้วนมี่ข้ารับมือ เจ้าเพียงแค่ดำเนินการเรือนพักให้ดีก็พอ
อีกอย่าง เจ้าจำไว้ เจ้าฟังแค่คำสั่งของข้าคนเดียว แซ่เยียนคนใดกล้าชี้นิ้วสั่งเจ้า เจ้าโจมตีกลับได้ทันที ไม่ต้องไว้หน้า”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
เมื่อมีคำพูดนี้ เยียนสุยก็มั่นใจมากขึ้น
ตู้ซินแสเดินทางมาถึงเรือนพักร่ำรวย ทำให้เขากังวลมาระยะเวลาหนึ่ง
เขากลัวว่าจวนโหวจะยื่นมือแทรกแซงเรื่องในเรือนพัก
เมื่อมีคุณหนูสี่หนุนหลังให้เขา ความกล้าของเขาก็เพิ่มมากขึ้น
หากมีคนตระกูลเยียนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ วิ่งมาชี้นิ้วในเรือนพักจริง ถึงแม้เขาจะไม่ขับไล่คนออกไป แต่ก็ไม่มีทางมีสีหน้าดีให้อีกฝ่าย
เยียนอวิ๋นเกอเคาะโต๊ะเบาๆ มีอีกเรื่องที่นางไตร่ตรองมาเนเวลานาน
ตามการเดินทางมาทำงานในเรือนพักร่ำรวยของเกษตรกรในเมืองใกล้เคียง ความคิดนี้ก็อิ่มตัวขึ้นเรื่อยๆ
นางพูดกับเยียนสุย “ต่อจากนี้รับสมัครคน โดยเฉพาะด้านงานฝีมือ พยายามรับเกษตรกรในพื้นที่ให้มาก ปะปนกับผู้ลี้ภัยจำนวนน้อย ส่วนด้านการบุกเบิก หากมีเกษตรกรยินดีมา พวกเราก็ยินดีต้อนรับ”
“คุณหนูหมายความว่า” หัวใจของเยียนสุยกระตุก
น้ำเสียงของเยียนอวิ๋นเกอเบามาก แต่สีหน้าของนางจริงจังอย่างมาก “ต้องควบคุมจำนวนของผู้ลี้ภัย เรือนพักร่ำรวยไม่อาจมีเพียงผู้ลี้ภัยได้ อย่างนั้นจะเป็นอันตรายเกินไป ทางด้านเยียนหนาน ข้าจะตักเตือนเขาด้วย พยายามเกณฑ์องครักษ์จากเกษตรกรในพื้นที่เพื่อสร้างการแข่งขันกับองครักษ์จากผู้ลี้ภัย”
เยียนสุยเข้าใจในทันที เขากดเสียงต่ำ พูดอย่างระมัดระวัง: “จากสถานการณ์ในเวลานี้ ผู้ลี้ภัยยังถือว่าเชื่อฟัง คนที่ดื้อรั้นนั้น บ้างอดทนไม่ไหวจากไป บ้างถูกเกณฑ์ไปเป็นองครักษ์
แต่ว่าสถานการณ์เกาะกลุ่มของเหล่าผู้ลี้ภัยหนักมากจริง เยื่อใยคนบ้านเดียวกันมีคุณค่าอย่างมากท่ามกลางผู้ลี้ภัย พวกเขาต่างเคยชินกับการเกาะกลุ่ม ต่อต้านคนนอก รังแกกลุ่มผู้ลี้ภัยที่มีจำนวนคนน้อย สถานการณ์นี้ต้องห้ามปรามหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “เกาะกลุ่มคนบ้านเดียวกันไม่อาจห้ามได้ พยายามชี้แนะ คลี่คลายความขัดแย้งของพวกเขาผ่านการสมรส จำนวนผู้ลี้ภัยในเรือนพักบรรลุถึงขีดสูงสุดแล้ว ต่อจากนี้หากไม่จำเป็น อย่าได้รับผู้ลี้ภัยเข้ามา”
“ขอรับ!”