คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 152 ตอบแทนเยียนอวิ๋นฉวน
ตอนที่ 152 ตอบแทนเยียนอวิ๋นฉวน
เมื่อรู้ว่าคนตระกูลเซิ่นมา เยียนอวิ๋นฉวนเดินทางมาที่จวนท่านหญิงเป็นเวลาแรก
เขาเสนอตัวพาเซิ่นซูเหวินออกไปชื่นชมเมืองหลวง อีกทั้งแนะนำผู้คนให้เขา
เมื่อเป็นญาติ ย่อมสมควรใกล้ชิดกันมากขึ้น
เซียวฮูหยินครุ่นคิด พลันพยักหน้าตอบรับ
นางตอบแทน “หากเจ้าอยากได้งานในเมืองหลวงเหมือนหลิงฉางจื้อ ตามความสามารถของเจ้าเกรงว่าจะยากลำบาก ข้าจะออกหน้าแทนเจ้า หาตำแหน่งที่ต้องการคน ตำแหน่งอาจไม่ใหญ่ แต่อย่างน้อยเจ้าก็ไม่อยู่เฉย”
เยียนอวิ๋นฉวนดีใจอย่างมาก โน้มตัวขอบคุณระรัว
เขาไม่คิดว่า เซียวฮูหยินจะหาตำแหน่งในราชสำนักให้เขา ถึงแม้จะเป็นขุนนางเล็กๆ แต่อย่างน้อยก็ถือว่ารับราชการ
เวลานี้ เขาตื้นตันจนแทบร้องไห้
เพราะหากเขาไม่มีความคืบหน้าในการหางานในเมืองหลวง เขาย่อมต้องกลับแคว้นซ่างกู่ทำงานในค่ายทหาร
ตอนมาเมืองหลวงแรกๆ เขากระฉับกระเฉงอย่างมาก
แต่เมื่อสองสามปีผ่านไป นอกจากรู้จักนายน้อยกลุ่มหนึ่ง ไม่มีเรื่องใดสำเร็จสักอย่าง เฮ้อ ล้มเหลวเสียจริง
ไม่คิดว่าเขาเพียงแค่ทำตามหน้าที่ของบุตรชายคนโตตระกูลเยียน คิดเพียงแค่มีญาติมา อีกทั้งยังเป็นบุรุษ เขาสมควรออกหน้ารับรอง จะมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร
เขามองออกว่าเซียวฮูหยินให้ความสำคัญกับเซิ่นซูเหวินอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ตระกูลเซิ่นก็ถือว่าเป็นคนในตระกูลเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของเซียวฮูหยิน
ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์กลุ่มนั้น เห็นแก่ผลประโยชน์มากกว่าเยื่อใย
อีกทั้งเวลานั้นตระกูลเซิ่นเกือบล่มสลายเพราะตำหนักบูรพา
เมื่อเซียวฮูหยินนึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกผิดอย่างมาก
ไม่ว่าอย่างไร นางต้องตอบแทนตระกูลเซิ่น
ไม่อาจให้คนตระกูลเซิ่นนับพันชีวิตเสียสละอย่างเสียเปล่า
…
เยียนอวิ๋นเกอแอบรั้งเยียนอวิ๋นฉวนเอาไว้เป็นการส่วนตัว
“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ออกหน้ารับรองพี่เซิ่น ท่านพาเขาออกจากจวน หากมีคนปากไร้หูรูด บังอาจพูดจาเหลวไหล พลิกเรื่องในเวลานั้นออกมาพูด ท่านแจ้งชื่อข้าบอกคนที่ไร้แววเหล่านั้น เซิ่นซูเหวินเป็นพี่ของเยียนอวิ๋นเกอ ผู้ใดบังอาจรังแกเขา ข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเอง”
เยียนอวิ๋นฉวนได้ยินจึงตากระตุกเล็กน้อย
เขาพูดเสียงเบา “ที่แท้น้องสี่ก็รู้ว่าชื่อเสียงด้านนอกของตนเองเป็นอย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอถลึงตา “ชื่อเสียงอันใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่รู้”
เยียนอวิ๋นฉวนผงะ “เจ้าไม่รู้หรือ เจ้าสร้างชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง เจ้าไม่รู้ว่าตนเองมีชื่อเสียงอย่างไรหรือ แล้วเจ้ายังให้ข้าข่มขู่คน”
เยียนอวิ๋นเกอไม่ถือสาเขา “ท่านบอกข้า ข้างนอกพูดถึงข้าอย่างไร ข้าไม่ได้ลงมือตีผู้ใดเสียหน่อย”
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด นางราวกับไม่เคยลงมือตีผู้ใดในเมืองหลวงจริงๆ
นางถูกใส่ร้าย
เยียนอวิ๋นฉวนพูดเสียงเบา
“ตอนนั้นเจ้าพังจวนองค์หญิง ผู้อื่นอาจคิดว่าเจ้ายังเด็กจึงวู่วาม แต่ปีนั้นที่เกิดความโกลาหลในเมืองหลวง คืนที่กองทัพเหนือบุกสังหารเหล่าท่านอ๋อง เจ้ายิงธนูใส่หลิงฉางเฟิง บีบถอยหลิงฉางจื้อ เรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปทั่วแล้ว
เพียงแค่เรื่องที่เจ้ายิงธนูได้อย่างแม่นยำ เกือบสังหารหลิงฉางเฟิงตาย ชายหนุ่มที่มีชื่อมีแซ่ในเมืองหลวงล้วนเกรงกลัวเจ้า เพราะแม้แต่ข้า ฝีมือการยิงธนูก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ผู้อื่นยิ่งย่ำแย่”
อ้อ!
ที่แท้เป็นเช่นนี้!
นางบอกแล้ว สองปีนี้นางฝึกฝนนิสัย ไม่เคยลงมือตีผู้ใด เหตุใดจึงมีชื่อเสียงดุร้ายอยู่ด้านนอก
ที่แท้เป็นเพราะหลิงฉางเฟิง
นางพูดกับเยียนอวิ๋นฉวน “ในเมื่อชื่อเสียงเรื่องความดุร้ายของข้าเป็นที่รู้ดี ท่านพาพี่เซิ่นออกจากจวน ควรทำอย่างไร ท่านรู้ใช่หรือไม่”
เยียนอวิ๋นฉวนยิ้มพลันพยักหน้า “รู้ ข้าย่อมรู้ น้องสี่ เรื่องที่เจ้ากำชับข้า ข้าเคยทำไม่สำเร็จหรือ คราวก่อนเจ้าให้ข้าส่งของขวัญให้อวิ๋นเฟย ข้าทำสำเร็จได้ดีไม่ใช่หรือ ยังมีครั้งก่อนหน้านั้น เจ้าให้ข้าโน้มน้าวเยียนอวิ๋นเพ่ยออกเงินซื้อจวน ข้าก็ทำสำเร็จไม่ใช่หรือ”
“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ลำบาก! เมื่อท่านได้รับตำแหน่ง ข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ท่าน”
“ขอบคุณน้องสี่ เรื่องนี้ข้าจะจดจำเอาไว้ในใจ รอคอยของขวัญของเจ้า”
“วางใจ ย่อมต้องให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่ท่าน”
นางเป็นคนมีสัจจะ
…
เยียนอวิ๋นเกอมาถึงห้องตำรา เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดากำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บริเวณหน้าต่าง
เมื่อได้ยินเสียง เซียวฮูหยินจึงถามขึ้น “ไปแล้วหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “พี่ใหญ่พาพี่เซิ่นออกจากจวน ข้าให้พ่อบ้านตามอยู่”
“ดีมาก!”
เยียนอวิ๋นเกอเดินเข้าไป นั่งลงข้างเซียวฮูหยิน
นางถามด้วยความสงสัย “เหตุใดท่านแม่จึงคิดจะหางานให้พี่ใหญ่”
เซียวฮูหยินครุ่นคิด
“หลังจากสังเกตมานาน เยียนอวิ๋นฉวนทำงานได้อย่างรอบคอบ ทำให้คนชื่นชอบ นอกจากใจของเขาที่เข้าข้างท่านพ่อของเจ้า ไม่ลืมที่จะรายงานให้ท่านพ่อของเจ้าแล้ว เรื่องอื่นล้วนทำได้ดีมาก นิสัยอย่างเขาเหมาะกับการรับราชการ รอบคอบทุกด้าน ไม่รับราชการคงน่าเสียดาย
อีกทั้งหลายปีนี้ ไม่ว่าเรื่องที่ข้ากำชับหรือเรื่องที่เจ้ากำชับเขาล้วนทำได้ดี ไม่เคยปฏิเสธ ไม่ว่าจะด้วยเหตุหรือด้วยผล ข้าควรตอบแทนเขาเสียบ้าง
อีกอย่าง เจ้าวางแผนให้พี่รองของเจ้าแย่งชิงอำนาจทางการทหารในค่ายทหาร ดังนั้นเยียนอวิ๋นฉวนจะกลับไปไม่ได้ เขาอยู่ในเมืองหลวงจะมีประโยชน์ต่อพี่รองเจ้าที่สุด หากข้าไม่หางานให้เขาภายในปีนี้ เขาอยากรับราชการคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เมื่อรอสิ้นปี เขาย่อมต้องกลับแคว้นซ่างกู่ เขาค่ายทหารนำทำอีกครั้ง เขาไม่อยาก เจ้าเองก็คงไม่อยากเห็นเขาแย่งชิงอำนาจทางการทหารกับพี่สองของเจ้า สู้ทำให้เขาได้รับราชการในเมืองหลวงสมดังที่เขาปรารถนาเสียดีกว่า”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด “ข้ามีเรื่องไม่เข้าใจเล็กน้อย เยียนอวิ๋นฉวนไม่ชอบนำทัพ หากแต่ชอบรับราชการมากกว่าหรือ”
หากไม่ใช่ความชอบ เยียนอวิ๋นฉวนไม่มีทางอยู่ในเมืองหลวงหลายปีโดยที่ไม่สำเร็จสักเรื่อง
เพราะความชอบ เขาถึงได้พยายามอยู่ต่อ
เซียวฮูหยินพูด “แต่ละคนมีความมุ่งมั่นต่างกัน! เขาชอบราชการไม่ชอบกองกำลัง หากท่านพ่อของเจ้าไม่ให้เขามาเมืองหลวงก็แล้วไป เขาย่อมต้องทำหน้าที่ในค่ายทหารอย่างเชื่อฟัง แต่เมื่อเขามาเมืองหลวงแล้ว ความคาดหวังในการรับราชการภายในใจก็ข่มความสง่าในการนำทัพทำสงครามในทันที คนอย่างเขา ภายในใจมีความปรารถนาในอำนาจอย่างแรงกล้า ความปรารถนาในอำนาจนี้มาจากราชสำนัก ไม่ใช่กองกำลัง ในสายตาของเขา กองกำลังเป็นทางเลือกรองลงมา”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “เขาร่ำเรียนจนโง่ไปแล้วหรือ บนโลกนี้ เห็นได้ชัดว่าอำนาจทางการทหารเป็นสิ่งสำคัญ หากแผ่นดินสงบสุข ความคิดที่มีกองกำลังไม่สู้มีอำนาจของเขาอาจเข้าใจได้ แต่ในยุคสมัยนี้ เขาจะมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร”
เซียวฮูหยินหัวเราะตามขึ้นมา “สาเหตุย่อมมาจากเฉินโม่หยานผู้เป็นลุงของเขา เจ้าก็รู้ เฉินโม่หยานเป็นบัณฑิต แต่เนื่องจากความยากจน จึงจำเป็นต้องสละวิชาเข้าร่วมกองกำลัง ติดตามบิดาของเจ้าลงสนามรบ แต่ภายในใจของเขายังคงมีความฝันของบัณฑิต เขาบรรลุไม่ได้ ย่อมถ่ายทอดมันให้เยียนอวิ๋นฉวน เพียงแต่ไม่คิดว่า เยียนอวิ๋นฉวนจะได้รับผลกระทบจากเขาลึกซึ้งเช่นนี้ เกรงว่าบิดาของเจ้าก็คาดไม่ถึง”
“แต่ท่านพ่อก็อยากให้พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นฉวนรับราชการในเมืองหลวง”
“เพราะบิดาของเจ้าต้องการมีสายตาอยู่ในเมืองหลวง ต้องการคนขยายเส้นสายแทนเขา พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด”
นี่ถือว่าประจวบเหมาะเจาะหรือไม่
เยียนอวิ๋นถงต้องการแย่งชิงอำนาจทางการทหารจึงอยู่ในค่ายทหาร
เยียนอวิ๋นฉวนต้องการรับราชการจึงอยู่ในเมืองหลวง
ช่างสมบูรณ์แบบ!
…
เยียนอวิ๋นฉีรู้ว่าพี่ชายจากตระกูลเซิ่นมาถึงเมืองหลวง จึงส่งคนมาถาม
จากนั้นรับสั่งให้คนส่งของขวัญชิ้นหนึ่งมาให้เซิ่นซูเหวิน
เซิ่นซูเหวินถึงได้รู้ว่าเขามีน้องสาวที่เป็นพระชายาองค์ชายด้วย
ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนฝันไป
ญาติของตนเอง เหตุใดไม่ร่ำรวยก็สูงส่ง
ตอนที่ตระกูลเซิ่นมีหน้ามีตา เขายังไม่กำเนิด
เขากำเนิดและเติบโตในบ้านเกิด ไม่เคยเห็นถึงความสง่าของตระกูลเซิ่น
นึกถึงตอนนั้น ตระกูลเซิ่นเป็นตระกูลใหญ่แนวหน้าของแผ่นดิน ญาติมิตรที่ไปมาหาสู่ หากไม่ร่ำรวยก็สูงส่ง
บรรดาคนรุ่นบิดาต่างพูดถึงสถานการณ์ของตระกูลเซิ่นในเวลานั้นกับเขา แต่เขารู้สึกห่างไกลความจริง
เขามักคิดว่ามันเป็นแค่จินตนาการของบรรดาคนรุ่นบิดา ตระกูลเซิ่นไม่ได้เป็นเหมือนดังที่พวกเขาพูดแม้แต่น้อย
จนกระทั่งมาถึงเมืองหลวง ความรู้สึกในหลายวันที่ผ่านมา ทำให้เขารู้สึกได้
บรรดาคนรุ่นบิดาไม่ได้พูดเกินจริง ตระกูลเซิ่นในเวลานั้นถือเป็นตระกูลใหญ่แนวหน้าจริงๆ
ถึงแม้จะไม่ได้มีอำนาจทั่วราชสำนัก แต่ก็เป็นคนมีฐานะร่ำรวย
เขาขอให้บ่าวรับใช้ชราพาเขาไปยังจวนตระกูลเซิ่นในเมืองหลวงเมื่ออดีต
กำแพงสีขาว กระเบื้องสีดำ จวนกว้างใหญ่ช่างสง่างามยิ่งนัก
เขายืนอยู่ในตรอก มองสิงโตหินสองตัวบริเวณด้านหน้าประตู
บ่าวรับใช้ชราบอกเขา สิงโตหินไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ประตูใหญ่ถูกเปลี่ยนไปแล้ว
บางทีร่องรอยเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเซิ่นที่ทิ้งไว้ในเมืองหลวงก็เหลือเพียงสิงโตหินสองตัวบริเวณหน้าประตู
เขากำหมัดแน่น พูดกับบ่าวรับใช้ “ต้องมีสักวัน ข้าจะนำทุกสิ่งของตระกูลเซิ่นกลับมา”
บ่าวรับใช้ชราได้ยิน น้ำตาก็ไหลพราก
เขาขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “สวรรค์มีตา ไม่ได้ทำให้ตระกูลเซิ่นล่มสลาย ตระกูลเซิ่นยังมีความหวัง!”
เซิ่นซูเหวินย้ายเข้าสำนักไท่เสวีย ขยันหมั่นเพียรในการร่ำเรียน เข้าร่วมชุมนุมบทกลอน บทกวีต่างๆ อย่างกระตือรือร้น
เขาไม่ปฏิเสธการสนับสนุนและการช่วยเหลือจากท่านป้าอย่างเซียวฮูหยินอีก
เขารู้ว่าหากต้องการสร้างชื่อเสียงในเมืองหลวง รับราชการสำเร็จ นอกจากความสามารถ เงินทองย่อมไม่อาจขาดแคลน
เพียงแค่ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมชุมนุมบทกลอน บทกวีก็ไม่ใช่จำนวนน้อย
หากประหยัดเงินทอง ไม่ยอมเข้าร่วมชุมนุมบทกลอน บทกวีใด ย่อมไม่อาจสร้างชื่อเสียงได้ ยิ่งสูญเสียโอกาสที่จะถูกอาจารย์หยูชื่นชม
ย่อมเท่ากับสูญเสียโอกาสการเป็นขุนนาง
ลูกศิษย์ในสำนักไท่เสวียมีมากมาย ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้รับราชการ
ตำแหน่งขุนนางมีเพียงตำแหน่งละคน
เหตุใดเจ้าจึงเป็นขุนนางได้ แต่ข้าเป็นไม่ได้
สิ่งที่เปรียบเทียบนอกจากความรู้แล้ว ยังมีความสามารถ เบื้องหลัง ชาติตระกูล ที่พึ่ง…
ทุกสิ่งล้วนไม่อาจห่างจากเงินทอง
เขาไม่ใช่คนโง่ เมื่อคิดได้แล้ว ย่อมมีทิศทางในการพยายาม
เขามักจะเดินทางไปเป็นแขกในจวนท่านหญิง ทุกครั้งล้วนนำบทกวีของตนเองไปด้วย
เซียวฮูหยินพึงพอใจต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขาอย่างมาก
หากต้องการเป็นขุนนาง ย่อมต้องรู้จักการปรับตัว
ความลำบากและยากจนในเวลาเดียวไม่สำคัญ แต่อย่าเกิดความหยิ่งยโสและดูถูกตนเองเพียงเพราะความจน เพราะมันจะทำให้คนรังเกียจ
การเป็นคนย่อมต้องไม่ถ่อมตนหรือไม่หยิ่งยโส ต้องรู้จักรุกรู้จักถอย เมื่อมีความลำบากต้องยอมรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
เซิ่นซูเหวินเกิดความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึง
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือความมุ่งมั่นและความปรารถนาของเขา
เขาเป็นคนที่มีความรู้และความสามารถอย่างแท้จริง มิฉะนั้นขุนนางในบ้านเกิดก็คงไม่เสี่ยงอันตรายเสนอตัวเขา
จากความสามารถของเขา อีกทั้งยังมีเงินของเซียวฮูหยิน ภายในระยะเวลาอันสั้น เขาก็สามารถสร้างชื่อเสียงที่โด่งดังในสำนักไท่เสวียน
แม้แต่เยียนอวิ๋นฉวนยังเคยแอบบ่นเป็นบางครั้ง “หากข้ามีความรู้ครึ่งหนึ่งของเขา คงไม่ถึงกับไม่สามารถรับราชการได้เสียที”