คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 243 ถีบหัวส่ง
ตอนที่ 243 ถีบหัวส่ง
ต้นเดือนสิบสอง
เยียนสุยส่งหมูสองตัวมายังเมืองหลวง
หลังจากฆ่าแล้ว จึงนำเนื้อหมูสดใหม่ส่งมายังจวนท่านหญิง
เยียนอวิ๋นเกอถือมีดแล่เนื้อหมูด้วยตนเอง
ปีนี้ นางเตรียมทำเนื้อตากแห้งด้วยตนเอง
ฝีมือของแม่ครัวไม่เลวก็จริง เพียงแต่รสชาติที่ทำออกมาไม่ตรงใจนาง มักรู้สึกขาดบางอย่างไป
แม่ครัวตั้งใจศึกษา “คุณหนูสี่เงื่อนไขสูง อาหารทั่วไปมักไม่ต้องตา ต้องดูต้องฝึกให้มาก ลองทำอาหารใหม่ๆ ให้มาก จึงจะไม่ถูกคุณหนูสี่รังเกียจ”
แม่ครัวรู้สึกขมขื่นภายในใจ ทำงานในห้องครัวมาหลายสิบปี วัยกลางคนแล้วยังต้องศึกษาใหม่อีก
พูดได้เพียงคุณหนูสี่เลือกกิน
เซียวฮูหยินมักบอกว่าเยียนอวิ๋นเกอเลือกกิน ดังนั้นทำให้ฝีมือการทำอาหารของนางดีเยี่ยม มักจะคิดค้นอาหารใหม่เป็นประจำ
มีเพียงอย่างเดียวคือเยียนอวิ๋นเกอชอบอาหารรสชาติจัด
เซียวฮูหยินทานอาหารรสชาติจัดไม่ได้ แต่สามารถลิ้มลองได้เป็นบางครั้ง
เยียนอวิ๋นเกอยุ่งอยู่ในจวนอย่างมีความสุข หลังจากทำเนื้อตากแห้งเสร็จแล้ว นางก็ไม่ลืมส่งไปให้พี่สอง ส่งแยกไปกับของขวัญปีใหม่
เมื่อเยียนอวิ๋นฉีได้รับเนื้อตากแห้ง นางก็เม้มปากยิ้ม “น้องสี่มีน้ำใจแล้ว! อากาศที่หนาวเพียงนี้ นางยังลงมือทำงานเหล่านี้เอง นำไปแขวนเอาไว้ วันอื่นค่อยลองชิม”
องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินกวาดตามองเนื้อตากแห้ง “ระยะนี้น้องสี่ของเจ้าว่างมากหรือ”
ยังมีเวลายุ่งเรื่องในครัว เรือนพักร่ำรวยกำลังจะล้มละลายแล้วหรือ
หากล้มละลายจริง เขาสามารถนำเงินออกมาซื้อต่อได้
บุกเบิกมาหลายปี พื้นที่ร้างกลายเป็นแปลงนาดี
เวลานี้เป็นเวลาดีในการรับช่วงต่อ
เยียนอวิ๋นฉีพูด “ระยะนี้ด้านนอกวุ่นวาย ท่านแม่ไม่อยากให้นางออกจากจวน นางเองก็ไม่อยากมีเรื่อง ทั้งวันคิดค้นแต่อาหาร ได้ยินว่าปลาในบ่อน้ำของจวนท่านหญิงถูกกินจนเกือบหมดแล้ว”
เซียวเฉิงเหวินได้ยินจึงหัวเราะร่า “นางรู้จักหลีกเลี่ยงหายนะ ไม่เลว ระยะนี้วุ่นวายอย่างมาก ออกจากจวนให้น้อยเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
เยียนอวิ๋นฉีมองเขาด้วยความกังวล “สถานการณ์ราชสำนักวุ่นวายเพียงนี้ องค์ชายไม่ทรงกังวลหรือ”
เซียวเฉิงเหวินวางตำราในมือลง “กังวลก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ข้าถูกเสด็จพ่อตบมาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่อยากถูกตบอีกเป็นครั้งที่สอง”
“ได้ยินว่าองค์ชายสามทรงอยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวง ก่อนปีใหม่ย่อมกลับมาถึง คราวนี้ องค์ชายสามทรงมีความดีความชอบในการบรรเทาภัยพิบัติ ฝ่าบาทย่อมต้องทรงพระราชทานรางวัลให้เขา”
“เจ้าอยากพูดสิ่งใด”
เซียวเฉิงเหวินมองเยียนอวิ๋นฉี ยิ้มอย่างมีนัย
เยียนอวิ๋นฉีแสดงสีหน้าเปิดเผย “ด้านนอกมีคนจำนวนมากต่างถกเถียง รอองค์ชายสามเสด็จกลับมา สถานการณ์ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ฝ่าบาทอาจทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาท”
เซียวเฉิงเหวินได้ยินจึงหัวเราะออกมา “เสด็จพ่อทรงปะทะกับขุนนางราชสำนักอย่างสนุกสนาน เชื้อพระวงศ์ต่างเข้าร่วมการปะทะนี้ องครักษ์จินอู่ออกไปจับคนทุกวัน กองทัพเหนือออกจากเมืองหลวงไปสยบโจรกบฏ ในเมืองหลวงเหลือแต่กองทัพใต้เฝ้าระวัง ดูจากเวลานี้ ขุนนางราชสำนักเหมือนไม่สามารถต่อต้านเสด็จพ่อได้ แต่หารู้ไม่ว่า หายนะที่ใหญ่กว่ายังอยู่ด้านหลัง ข้าทูลเสนอเสด็จพ่อให้เรียกกองทัพเหนือกลับมา กบฏในท้องถิ่นให้แม่ทัพในท้องถิ่นจัดการ แต่เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะทรงฟังข้าหรือ”
เขาตอบไม่ตรงคำถาม หากแต่พูดถึงเรื่องการปะทะกับขุนนางราชสำนักขึ้นมาแทน
เยียนอวิ๋นฉีลังเลเล็กน้อย ครุ่นคิดพลางพูดขึ้น “ฝ่าบาททรงร้อนพระทัยในการสยบกบฏท้องถิ่นเพื่อจะได้รับมือกับตระกูลขุนนางอย่างเต็มกำลัง เกรงว่าก่อนโจรกบฏถูกกำจัด ฝ่าบาทไม่มีทางเรียกกองทัพเหนือกลับมา ฝ่าบาททรงไม่ฟังความเห็นขององค์ชายแม้แต่น้อยอย่างเห็นได้ชัด”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะร่า “เจ้าดู แม้แต่เจ้ายังเข้าใจเรื่องนี้ ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ ข้ากังวลหรือไม่ ไม่กระทบต่อราชสำนัก เสด็จพ่อทรงแน่วแน่ ทรงอนุญาตให้คนเชื่อฟังเท่านั้น ไม่ทรงอนุญาตให้มีคนคัดค้าน ลองคำนวณเวลาว่าไม่ได้มีการประชุมในท้องพระโรงมานานเท่าใดแล้ว การประชุมในท้องพระโรงขาดไปแล้วกี่ครั้ง พวกเราล้วนกังวลใจไปเสียเปล่า ส่วนน้องสามที่กลับเมืองหลวงในเวลานี้ จะดีหรือจะร้ายยังต้องรอดู”
เซียวเฉิงเหวินแสดงท่าทีไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
เยียนอวิ๋นฉีประหลาดใจเล็กน้อย
เขาท้อแท้ใจแล้วหรือ
ไม่สนใจเรื่องในราชสำนักอีกจริงหรือ
“องค์ชาย…”
นางเพิ่งเอ่ยปาก เซียวเฉิงเหวินก็พูดขัดนาง
“เรื่องในราชสำนักเจ้าไม่ต้องกังวลใจ เจ้าเพียงแค่อบรมบุตรสาวของพวกเราให้ดี เรื่องอื่นข้ามีแผนการ”
เยียนอวิ๋นฉีก้มหน้ายิ้มเยาะตนเอง “องค์ชายทรงพูดถูก เรื่องในราชสำนักหม่อมฉันกังวลไปก็เท่านั้น หม่อมฉันเป็นเพียงสตรี ไม่มีผู้ใดยินดีฟังความเห็นและความคิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่มีความคิดที่พิเศษใดพูดได้”
เซียวเฉิงเหวินไม่ตอบโต้ ไม่เอ่ยปากปลอบแม้แต่น้อย
ราวกับเห็นด้วยกับการเยาะเย้ยตนเองของเยียนอวิ๋นฉี
…
คุกหลวงที่ว่างเปล่าเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เต็มไปด้วยคน
มีทั้งบัณฑิต ขุนนาง และบุตรหลานตระกูลขุนนาง…
ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงตัดสินพระทัยจะปะทะกับตระกูลขุนนางจนถึงท้ายที่สุด
เชื้อพระวงศ์ต่างโบกธงตะโกน ทั้งสองฝ่ายต่างปะทะกันอย่างดุเดือด สามารถเกิดสงครามที่ใหญ่ยิ่งขึ้นได้ทุกเวลา
การประชุมในท้องพระโรง ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงเรียกเพียงขุนนางเชื้อพระวงศ์เข้าเฝ้า ไม่ยอมพบขุนนางราชสำนัก
บางครั้ง เขาจะเรียกพบขุนนางสำคัญเพียงจำนวนน้อย แต่สุดท้ายก็แยกย้ายกันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมถอย
ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงใช้อำนาจกดขี่คน
ตระกูลขุนนางอาศัยกำลังคน ทรัพยากรและกำลังทรัพย์ที่เพียงพอ…พยายามบีบเค้นให้ฮ่องเต้ยอมจำนน
เมื่อเข้าใกล้ช่วงสิ้นปี เมืองหลวงไม่สงบนัก พื้นที่นอกเหนือจากเมืองหลวง โจรกบฏยิ่งก่อความวุ่นวายหนักขึ้น
ผู้ลี้ภัยจำนวนมากขึ้นถูกรวมเข้าไปในขบวนของโจรกบฏ ก่อการจลาจลปล้นชิงแบบหลับหูหลับตา…
กองทัพเหนือกวาดล้างไปตลอดทาง กำลังในการต่อสู้ดุเดือด
เพียงแต่กำลังคนมีจำกัด
โจรกบฏมีข้อดีคือกำลังคนมาก คุ้นชินกับพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีคนส่งข่าว ลับหลังมีคนจัดหาเสบียงและอาวุธให้
กองทัพเหนือเพิ่งสยบโจรกบฏทางตะวันออก โจรกบฏทางตะวันตกก็ก่อความวุ่นวายขึ้นมาอีก
ทางตะวันตกยังไม่จัดการ ทางตะวันออกก็มีโจรกบฏอีกกลุ่มยกธงก่อกบฏปรากฏขึ้น
กองทัพเหนือเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทัพอย่างมาก
หากไม่มีตระกูลขุนนางแอบปั่นป่วนอยู่ลับหลัง ไม่มีตระกูลขุนนางจัดหาเสบียงและอาวุธให้โจรกบฏ จากกำลังการต่อสู้ของกองทัพเหนือ พวกเขาคงสามารถสยบโจรกบฏเหล่านี้จนไม่เหลือซากไปนานแล้ว
แต่สถานการณ์การปะทะระหว่างฮ่องเต้กับตระกูลขุนนางเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง
โจรกบฏไม่เพียงไม่ถูกกำจัด หากยังแข็งแกร่งขึ้นภายใต้การสนับสนุนของตระกูลขุนนาง
สถานการณ์มีโอกาสที่จะพลิกผันอย่างมาก
แต่สำหรับสถานการณ์เหล่านี้ ฮ่องเต้ทรงเห็นแต่ไม่สนใจ ไม่รับฟัง
เขามั่นใจว่าหากสยบขุนนางตระกูลใหญ่ได้ ปัญหาทุกอย่างย่อมสามารถคลี่คลายได้
เขาคิดเช่นนี้ก็ไม่ผิด
เพียงแต่การสยบขุนนางตระกูลใหญ่ต้องใช้เวลานานเพียงใด
แผ่นดินต้าเว่ยสามารถทนกับหายนะได้นานเพียงนี้หรือ
หากไม่สามารถ ขุนนางตระกูลใหญ่ควรจัดการอย่างไร
เมื่อถึงเวลานั้น อำนาจราชวงศ์ยังเหลือมากน้อยเพียงใด
ฮ่องเต้หย่งไท่อาจเคยคำนึงถึงปัญหานี้ แต่ก็อาจไม่เคยคำนึงถึงปัญหานี้
อย่างไรก็ตาม เขามุ่งไปด้านหน้าเพียงอย่างเดียว หากไม่หัวชนฝาไม่มีทางกลับตัว
เถาฮองเฮากลับดีใจอย่างมาก
นางต้องการให้ฮ่องเต้ปะทะกับตระกูลขุนนางจนถึงท้ายที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ย่อมต้องใช้ตระกูลเถาเพื่อไปรับมือกับขุนนางตระกูลใหญ่
ตระกูลเถาเป็นมีดที่แหลมคม ใช้ดี อีกทั้งยังเชื่อฟัง
ฮ่องเต้ชี้ไปทางใด พวกเขาก็ไม่กล้าตัดสินใจเอง
ฮ่องเต้ทรงเรียกใช้ตระกูลเถาเหมือนแขนของตนเอง สาแก่ใจอย่างมาก
ดังนั้นเขาจึงพระราชทานผ้าผืนและเงินทองนับคันรถให้ตระกูลเถาอย่างใจกว้าง
แต่นายท่านใหญ่ตระกูลเถากลับไม่ดีใจ
เขาวิ่งมายังตำหนักเว่ยยางด้วยท่าทางกังวล
“กระหม่อมกังวลใจ!”
เถาฮองเฮามองค้อนเขา “ดูท่าทางของท่าน ข้ายังไม่กังวล ท่านกังวลเรื่องใด”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาส่งเสียงไม่พอใจ “ฮองเฮาย่อมไม่ต้องทรงกังวล ไม่ว่าอย่างไรก็เดือดร้อนไม่ถึงพระองค์ แต่หากฝ่าบาททรงยอมจำนน ตระกูลเถาย่อมต้องถูกผลักออกมาเป็นเครื่องสังเวย”
เถาฮองเฮาทำหน้าบึ้ง “ยังไม่มีผู้แพ้ชนะ ท่านก็คิดว่าฝ่าบาทจะทรงยอมแพ้ ท่านคิดเรื่องดีไม่ได้หรือ”
“ฮองเฮาทรงคิดว่าฝ่าบาทจะทรงชนะอย่างนั้นหรือ”
คำถามนี้ทำให้เถาฮองเฮาชะงักไป
ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทจะทรงชนะหรือไม่ ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือตระกูลเถาต้องคว้าโอกาสที่หาได้ยากนี้เอาไว้ ข้าก็ต้องคว้าโอกาสเอาไว้ เมื่อสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา หากไม่เป็นผลดีกับพวกเรา ต้องรีบดำเนินแผนการพิเศษในทันที”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาใจกระตุก เขากดเสียงต่ำ “ฮองเฮาทรงพร้อมแล้วหรือ”
เถาฮองเฮายิ้มอย่างมีลับลมคมใน “ท่านทำตามที่ข้าสั่ง อย่าได้สงสัย หากประสบความสำเร็จในวันหน้า ข้าสัญญาว่าจะรักษาความมั่งคั่งของตระกูลเถาสามชั่วคน”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด “เมื่อมีคำพูดของพระองค์ กระหม่อมก็วางใจ พระองค์ต้องเตรียมการให้ดี กระหม่อมดูจากสถานการณ์นี้ เกรงว่าคงไม่สมดังปรารถนาของฝ่าบาท โจรกบฏในพื้นที่นับวันยิ่งก่อความรุนแรง ใกล้จะข้ามปีแล้วยังคงวุ่นวายอยู่ เจตนาไม่ให้คนมีปีใหม่ที่เงียบสงบ”
เถาฮองเฮาไม่กังวลแม้แต่น้อย “เพียงแค่แถบนครบาลไม่มีโจรกบฏย่อมไม่ต้องกังวล”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาขมวดคิ้ว เขาคิดว่าเถาฮองเฮาคิดง่ายเกินไป พระองค์ทรงดูถูกความสามารถของโจรกบฏมากเกินไป
“พระองค์อย่าทรงลืม เบื้องหลังของโจรกบฏมีการสนับสนุนของตระกูลขุนนาง พวกเขามีเสบียง มีอาวุธ พวกเขามีประสบการณ์เมื่อปะทะกันมาหลายครั้ง มีทหารเก่ากลุ่มหนึ่งเป็นแกนนำ ไม่นานก็จะเป็นรูปเป็นร่าง เมื่อถึงเวลาหากอยากสยบการจลาจลอีก คงไม่ง่ายเหมือนที่พระองค์ทรงคิด”
เถาฮองเฮาเม้มปากยิ้ม “ท่านคิดว่าข้าไม่เคยคำนึงถึงปัญหานี้หรือ ท่านจำไว้ เพียงแค่ฝ่าบาททรงมีมติเป็นเอกฉันท์กับตระกูลขุนนาง เมื่อถึงเวลานั้นไม่ต้องให้ราชสำนักเป็นกังวล ตระกูลขุนนางย่อมจะเป็นฝ่ายสยบโจรกบฏเอง เพียงแต่ตัดขาดเสบียงและอาวุธของโจรกบฏ คนเหล่านั้นก็ไม่อาจต้านทานกองทัพเหนือได้ไม่ใช่หรือ”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาถามจากใจ “ฝ่าบาทจะทรงมีข้อตกลงกับตระกูลขุนนางเมื่อใด หรือควรถามว่าฝ่าบาทจะทรงยอมจำนนเมื่อใด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฝ่าบาทอาจทรงใช้ประโยชน์ตระกูลเถาแล้วถีบหัวส่ง ให้ตระกูลเถาแบกรับความผิดจริงๆ ก็ได้”
เถาฮองเฮาพูดเสียงเบา “ปีนี้คงไม่ต้องคาดหวัง รอผ่านปีใหม่ไปก่อน ข้าคิดว่าภายในครึ่งปี ย่อมมีข้อสรุป”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาตอบรับ แต่ภายในใจยังคงไม่มั่นใจ
เถาฮองเฮาพูดอย่างเด็ดขาด “เจ้าสามกำลังกลับเมืองหลวง ท่านไม่เชื่อข้า ก็ควรเชื่อโชคของเจ้าสาม เขาเป็นโอรสที่สวรรค์คัดเลือก อีกทั้งยังสร้างความดีความชอบใหญ่ เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงย่อมต้องมีรางวัล เมื่อถึงเวลานั้น ท่านยังมีสิ่งใดต้องกังวลอีก”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาถามเสียงเบา “ฮองเฮาทรงมั่นใจว่าองค์ชายสามจะได้รับพระราชทานรางวัลหรือ ฝ่าบาทตรัสเองหรือ”
เถาฮองเฮาทำหน้าบึ้ง ตำหนิเสียงเบา “ฝ่าบาททรงมีเหตุผลใดขัดขวางการพัฒนาของเขา ท่ามกลางองค์ชาย มีผู้ใดเหมาะสมกว่าเจ้าสามหรือ”
“ฮองเฮาอย่าทรงมั่นใจเกินไป บนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่แน่นอน ระวังฝ่าบาททรงกลับใจ”
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาเตือนเถาฮองเฮา
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ได้ไร้สัจจะเป็นครั้งแรก
ถีบหัวส่งหลังจากหมดประโยชน์เป็นงานถนัดของฮ่องเต้หย่งไท่
นายท่านใหญ่ตระกูลเถาหลงกลไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่อยากหลงกลเป็นครั้งที่สอง
ระยะนี้ราชสำนักเกิดความวุ่นวายรุนแรง ในใจของเขาเริ่มท้อถอย
เขากังวลอย่างมาก!
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอ้างว่าป่วยไม่ออกจากจวน รอสถานการณ์ปีหน้าชัดเจนก่อน
*********艾琳小說***********