คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 278 โบยให้ตาย
ตอนที่ 278 โบยให้ตาย
ปัง!
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินวางแก้วชาลงบนโต๊ะเสียงดัง
สีหน้าเขาแสดงออกถึงความโกรธเคือง สายตาราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ
“เสด็จพ่อยิ่งชรายิ่งเลอะเลือน! พระองค์ทรงคิดจะมอบเมืองป๋อไฮ่ให้เยียนโส่วจ้าน มันเป็นการสร้างภัยคุกคามอย่างเห็นได้ชัด! กองทัพซีหยงเป็นเพียงภัยคุกคามขนาดเล็ก แม่ทัพท้องถิ่นอย่างเยียนโส่วจ้านต่างหากที่เป็นภัยของแผ่นดินอย่างแท้จริง สุดท้ายเสด็จพ่อกลับจะทรงยกเมืองป๋อไฮ่ให้เยียนโส่วจ้าน ช่างเหลวไหลสิ้นดี!”
สีหน้าของเฟ่ยกงกงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เขาอยากเอ่ยเตือน องค์ชาย เยียนโส่วจ้านเป็นพ่อตาของพระองค์
เพียงแต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก เขาก็เปลี่ยนใจ
“ดูจากความหมายของฝ่าบาท ราวกับทรงตัดสินพระทัยแล้ว อีกทั้งฝ่าบาททรงอคติต่อพระองค์ จะทำอย่างไรดี”
องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินส่งเสียงไม่พอใจ “ท่านหญิงจู้หยางเข้าวังเพียงครั้งเดียว เสด็จพ่อก็ทรงเปลี่ยนพระทัย ดูท่าทางข้าจะดูถูกท่านหญิงจู้หยางเกินไป ไม่คิดว่านางจะมีความสามารถเปลี่ยนการตัดสินพระทัยของเสด็จพ่อได้”
เฟ่ยกงกงกระแอมไอ “อย่าไรงท่านหญิงจู้หยางกับฝ่าบาทก็เป็นลูกพี่ลูกน้อง เติบโตมาด้วยกันแต้เด็ก…”
“หุบปาก! เรื่องในอดีตเหล่านี้ ข้ารู้ดีกว่าเจ้า”
เซียวเฉิงเหวินหงุดหงิดอย่างมาก เขานวดขมับด้วยความปวดหัว!
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน เขาจึงพูดขึ้น “ภายในใจของเสด็จพ่อทรงเกรงกลัวซีหยงอย่างมาก เพื่อปราบปรามกองทัพซีหยง พระองค์ทรงไม่สนพระทัยสิ่งอื่น ทั้งที่ปวดหัวรักษาหัว ปวดขารักาขา เหลวไหลสิ้นดี! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ปัญหาของตระกูลขุนนางยังไม่ทันแก้ไข แม่ทัพท้องถิ่นก็คงจะก่อเรื่องขึ้นต่อ เมื่อถึงเวลานั้นแผ่นดินต้าเว้ยคงวิกฤต!”
“จะทำอย่างไรดี มีทางเปลี่ยนแปลงการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทหรือไม่”
“นอกเสียจากมีกองทัพที่ไม่ด้อยไปกว่ากองทัพโยวโจวสามารถเดินทางไปยังตะวันตกเฉียงเหนือภายในครึ่งเดือน”
มันเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้
ถึงแม้จะเป็นกองทัพเหนือที่ได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุดก็ไม่มีทางเดินทางไปภายในครึ่งเดือน
กองทัพยังไม่ทันเคลื่อนไหว แต่เสบียงต้องเคลื่อนย้ายก่อน
กองทัพเดินทัพไม่ใช่เพียงออกคำสั่งก็สามารถเคลื่อนไหวได้ทันที
การรวบรวมกองกำลัง จัดเตรียมเสบียงและอาวุธ กำลังบำรุงทางทหารต่างๆ การเดินทัพของกองกำลังสำคัญ แม้จะเป็นกองทัพเหนือก็ต้องใช้เวลาหลายวัน
เพียงแค่การเตรียมตัวออกเดินทางก็ต้องใช้เวลานับวัน เวลาที่ต้องใช้ระหว่างทางยิ่งยาวนาน
เวลาครึ่งเดือนเพียงพอทหารส่งสารด่วนวิ่งไปกลับ นอกจากนี้ยังต้องมีม้าเหนื่อยตายไปหลายตัว หากร้ายแรงกว่านั้นคนก็ต้องเหนื่อยตาย
ถนนหนทางไม่สะดวก ระยะทางยาวไกล ยังต้องข้ามน้ำข้ามเขา มันเป็นเรื่องจริงที่เห็นกันอยู่
ถึงแม้จะเป็นกองทัพเร่งด่วนก็ต้องเคารพความจริง มิฉะนั้นย่อมต้องได้รับบทเรียน
ซึ่งหมายความว่า วิธีที่ดีที่สุดคือการพึ่งพิงกองกำลังโยวโจวของเยียนโส่วจ้านต่อต้านกับกองกำลังซีหยง
เพียงแต่ต้องสูญเสียมูลค่าที่มากเพียงนี้หรือ
“เยียนโส่วจ้านเป็นขุนนางราชสำนัก ออกทัพต่อต้านศัตรูเป็นหน้าที่ของเขา ถึงแม้จะให้รางวัลแก่เขาก็ไม่สมควรยกเมืองป๋อไฮ่ให้เขา มันไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ที่มาก แต่มันคือการแบ่งแยกที่ดินศักดินา ต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเกิดต้นแบบที่ไม่ดีนี้ขึ้น แม่ทัพท้องถิ่นด้านหลังย่อมต้องเลียนแบบ ทุกครั้งที่ออกทัพล้วนจะบีบบังคับราชสำนัก เมื่อถึงเวลาราชสำนักลำบากจะทำอย่างไรดี”
เซียวเฉิงเหวินแสดงสีหน้าเจ็บปวด มันเป็นการเดินหมากที่แย่มาก!
เขาสงสัยอย่างมาก
“ท่านหญิงจู้หยางคิดอย่างไรกันแน่ เหตุใดนางจึงต้องช่วยเยียนโส่วจ้านไขว่คว้าเมืองป๋อไฮ่ หรือนางอยากเห็นราชสำนักถูกข่มขู่ เห็นแผ่นดินต้าเว้ยถูกแบ่งแยก นางลืมไปแล้วหรือว่านางก็แซ่เซียว”
ปัง!
เซียวเฉิงเหวินทุบหมัดลงบนโต๊ะ
เฟ่ยกงกงสงสารอย่างมาก เกรงว่าเขาจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บ
“องค์ชายทรงระงับความโกรธ! ย่อมต้องมีวิธีจัดการเรื่องนี้”
เซียวเฉิงเหวินกลับส่ายหน้าระรัว “เมื่อเสด็จพ่อทรงสัญญาจะยกเมืองป๋อไฮ่ให้เยียนโส่วจ้าน ทุกอย่างก็สายไปแล้ว”
“เวลานี้ฝ่าบาทเพียงแค่ทรงมีความคิดนี้ แต่ยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหว ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลง”
เซียวเฉิงเหวินขมวดคิ้วครุ่นคิด
อยากจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากเขาจะสามารถเสกกองทัพขบวนหนึ่งออกมาปรากฏอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วยเสด็จพ่อจัดการปัญหา
“พระราชบุตรเขย หลิวเป่าผิงว่าอย่างไร”
“ทูลองค์ชาย พระราชบุตรเขยหลิวบอกว่าเขาพยายามแล้ว แต่ตัวเขาอยู่ในเมืองหลวง เรื่องที่ทำได้มีจำกัด ไม่สามารถช่วยองค์ชายได้ ขอองค์ชายโปรดทรงอภัย”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเสียงเย็น “เขามีแผนการของตนเอง ข้าไม่ยุ่งเกี่ยว แต่หากเขากล้ารุกล้ำราชสำนัก ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด”
คนสองคนล้วนเป็นหนอนบ่อนไส้ของต้าเว้ย แต่ละคนล้วนเอาแต่คิดจะทะลวงแผ่นดินต้าเว้ย
เหตุใดพวกเขาจึงไม่คิด หากแผ่นดินต้าเว้ยล่มสลาย ผู้ใดจะมั่นใจว่าตนเองย่อมต้องปลอดภัย
ผู้ใดกล้าบอกว่าตนเองเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายอย่างแน่นอน
มีแต่กลุ่มคนทะเยอทะยานที่ต้องการให้แผ่นดินล่มสลาย!
คนพวกนี้ล้วนสมควรประหาร!
…
เถาฮองเฮาเดินเข้าตำหนักซิงชิ่งอย่างแผ่วเบา
พระอาการของฮ่องเต้หย่งไท่ดีขึ้น แต่ยังคงไม่เดินออกมาจากตำหนักบรรทม
นางเดินตามข้าหลวงในตำหนักซิงชิ่งมายังตำหนักบรรทม
วันนี้ฮ่องเต้หย่งไท่อารมณ์ดี ยอมพบนาง
แสงแดดสาดเข้ามาจากหน้าต่าง ภายในตำหนักบรรทมสว่างมาก อีกทั้งยังร้อนเล็กน้อย
ฮ่องเต้หย่งไท่นั่งอยู่ที่โต๊ะทรงพระอักษร ริมหน้าต่างด้วยความสบาย!
บนขาของเขามีผ้าขนแกะ อบอุ่นอย่างมาก
เพิ่งเสวยชาสมุนไพรเข้าไป แก้มของเขาแดงระเรื่อ
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท! ฝ่าบาททรงดีขึ้นแล้วหรือไม่”
เถาฮองเฮาเป็นห่วงอย่างมาก
“อืม” ฮ่องเต้หย่งไท่บอกใหนางนั่งลง
“ฮองเฮามีใจแล้ว ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว หลายวันนี้ ฮองเฮาเหน็ดเหนื่อช่วยข้าแบ่งเบาหน้าที่ ลำบากเจ้าแล้ว!”
เถาฮองเฮาทำหน้าตื้นตัน ขอบตาเปียกชื้น
น้ำเสียงของนางสั่นเทา “สามารถช่วยฝ่าบาทแบ่งเบาหน้าที่ได้เป็นเกียรติของหม่อมฉัน ฝ่าบาทไม่ทรงรังเกียจข้า ข้าก็พอใจแล้ว”
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้ม “ระยะนี้เจ้าสามทำได้ไม่เลว ออกไปฝึกฝนมากว่าครึ่งปี มีการพัฒนาเสียจริง ไม่ว่าจะพูดหรือทำล้วนสุขุมกว่าแต่ก่อนอย่างมาก มีความคิดเห็นโดดเด่นต่อเรื่องบ้านเมือง ดีมาก!”
เมื่อเถาฮองเฮาได้ยิน ตื่นเต้นจนแทบจะลอยขึ้นมา
แต่ทันใดนั้นนางก็สงบลง พยายามข่มความตื่นเต้นภายในใจ
“เจ้าสามไม่เด็กแล้ว หากยังไม่พัฒนา เกรงว่าจะทรยศต่อการสั่งสอนของฝ่าบาท เจ้าสามมักบอกว่าจะแบ่งเบาหน้าที่แทนฝ่าบาท เสียดายที่ตนเองมีความสามารถจำกัด สิ่งที่ทำได้มีไม่มาก ฝ่าบาทไม่ทรงรังเกียจที่เขาโง่เขลาก็คือวาสนาของเขาแล้ว!”
ฮ่องเต้หย่งไท่เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าสามเป็นเด็กกตัญญู เจ้าอย่าให้เขาคิดมาก ทำงานอย่างสบายใจ”
“เพคะ! หม่อมฉันจะบอกเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
เวลานี้ ขุนนางฝ่ายในเดินโน้มตัวเข้ามาในตำหนักบรรทม “ทูลฝ่าบาท องค์ชายใหญ่ขอเข้าเฝ้า!”
เถาฮองเฮาก้มหน้ายิ้ม
เซียวเฉิงเย่มาได้ทันเวลาเสียจริง
ฮ่องเต้หย่งไท่ผงะไป ก่อนจะพูดกับขุนนางฝ่ายใน “เรียกเขาเข้ามา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขุนนางฝ่ายในรับคำสั่งพลันถอยออกไป ไม่นานนักเขาก็นำองค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่เดินเข้าตำหนักบรรทม
“กระหม่อมถวายบังคมเสด็จพ่อ! เสด็จพ่อพระวรกายแข็งแรง!”
“ไม่ต้องมากพิธี! เวลานี้เจ้าไม่ทำงานอยู่ที่สำนักหยาเหมิน เหตุใดจึงวิ่งเข้าวังหลวงมา หรือสำนักหยาเหมินเกิดเรื่องใดขึ้น”
คำพูดของฮ่องเต้หย่งไท่ตั้งใจประชดประชันอย่างมาก
เถาฮองเฮาก้มหน้ายิ้มเล็กน้อยด้วยความสาแก่ใจ
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่ยิ้มเก้อ “ทำให้เสด็จพ่อทรงกังวลพระทัยเป็นความผิดของกระหม่อม แต่สำหนักหยาเหมินไม่ได้เกิดเรื่องใดขึ้น กระหม่อมมาเมื่อถวายบังคมเสด็จพ่อโดยเฉพาะ กระหม่อมดีใจอย่างมากเมื่อรู้ว่าพระอาการของเสด็จพ่อดีขึ้น”
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้มบาง “เจ้ามีใจแล้ว! ร่างกายข้าดีขึ้น เจ้าล่ะ หากเจ้าอยากให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปีด้วยใจจริง เจ้าก็ทำงานให้ดี อย่าก่อปัญหาให้ข้า”
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่รู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างมาก เขารีบพูด “กระหม่อมไม่กล้าก่อปัญหา กระหม่อมแค่อยากช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบาหน้าที่”
“รู้แล้ว รู้แล้ว! พวกเจ้าต่างอยากช่วยข้าแบ่งเบาหน้าที่ แต่ล้วนเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ไม่มีผู้ใดช่วยข้าได้จริง”
ฮ่องเต้หย่งไท่พร่ำบ่น
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่กระอักกระอ่วน ตอบก็ไม่ใช่ ไม่ตอบก็ไม่ใช่ ไปก็ไม่ใช่ อยู่ต่อก็ไม่ใช่
ทันใดนั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรจึงจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้
ทำได้เพียงยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าเปล่งเสียง
ไม่คิดว่าเถาฮองเฮาจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เขา “เจ้าใหญ่ เจ้าอยากช่วยฝ่าบาทแบ่งเบาหน้าที่อย่างไร เจ้าลองพูดมา”
องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่ตกใจอย่างเห็นได้ชัด
เขาแอบเหลือบมองเสด็จพ่อ เห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อไม่ทรงคัดค้านต่อข้อเสนอของเถาฮองเฮา
ดังนั้นเขาจึงกัดฟันพูด “เสด็จพ่อ กระหม่อมรู้ว่าซีหยงบุกลงใต้ เผาฆ่าปล้นสะดม ก่อกรรมทำชั่ว โหดเหี้ยมอย่างมาก กระหม่อมทูลขอรับสั่ง นำทัพมุ่งหน้าไปยังตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อต้านซีหยงลงใต้ แบ่งเบาความกังวลแทนเสด็จพ่อ!”
สีหน้าของฮ่องเต้หย่งไท่ประหลาดเล็กน้อย เขาจ้องมองเซียวเฉิงเย่เขม็ง “เจ้าอยากไปตะวันตกเฉียงเหนือ?”
เซียวเฉิงเย่พยักหน้า
ฮ่องเต้หย่งไท่ถามอีก “เจ้าอยากนำทัพ ช่วยข้าแบ่งเบาความกังวล?”
เซียวเฉิงเย่ดีใจ พยักหน้ายอมรับอีกครั้ง
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเสียงเย็น
ปัง!
เสียงหนึ่งดังขึ้น!
ในขณะที่เซียวเฉิงเย่กำลังดีใจ ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะตีแสกหน้าเขา
ฮ่องเต้หย่งไท่หยิบที่ฝนหมึกเขวี้ยงไปที่หัวเขาทันที
เซียวเฉิงเย่งุนงง หลบหลีกตามสัญชาตญาณ
ที่ฝนหมึกลอยเฉียดหัวของเขาไป ปัง แตกละเอียด
พื้นถูกเขวี้ยงจนเป็นรอย
หน้าผากของเซียวเฉิงเย่เต็มไปด้วยเหงื่อ หากถูกเขวี้ยงโดน เขาคงต้องเลือดตกยางออกอย่างแน่นอน
เขาหวาดกลัวอย่างมาก
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงทรงกริ้ว
ทั้งที่นาทีก่อนยังยิ้มแย้ม แต่นาทีถัดมาก็กลายเป็นพายุโหมกระหน่ำ
เขาทำผิดเรื่องใดกันถึงต้องทำกับเขาเช่นนี้
คราวนี้ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงโกรธอย่างมาก “เจ้าคนเหลวไหล ไม่ทำสิ่งที่คนทำ เจ้ารู้เรื่องกองทัพหรือ เจ้าเคยไปแม้แต่ค่ายทหารเพียงแค่ไม่กี่วัน แม้แต่คำสั่งทหารยังไม่เข้าใจ เจ้าจะนำทัพอย่างไร! เจ้าไปออกรบ ผู้ใดเสนอความคิดนี้ให้เจ้า ใช่กุนซือทั้งหลายที่หลอกกินรอตายในจวนของเจ้าหรือไม่
เจ้านำทัพออกรบ ช่วยข้าแบ่งเบาความกังวล เจ้าบังอาจ! เจ้าไม่ได้กำลังแบ่งเบาความกังวลแทนข้า แต่เจ้ากำลังเอาชีวิตของทหารมาล้อเล่น เจ้ากำลังเอาแผ่นดินต้าเว้ยมาล้อเล่น เจ้าคนชั่วช้า ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจัด เขายกแก้วชาเขวี้ยงไปทางหัวของเซียวเฉิงเย่อีกครั้ง
เซียวเฉิงเย่รู้สึกน้อยใจอย่างมาก เขารีบหลบหลีกพลันตะโกน “เสด็จพ่อทรงไว้ชีวิต! กระหม่อมรู้ความผิดแล้ว กระหม่อมแค่อยากแบ่งเบาความทุกข์แทนเสด็จพ่อ ไม่มีความคิดอื่นแต่อย่างไร!”
ยังกล้าแก้ตัวอีก!
ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจัด “เจ้าเหลวไหล! แผนการในใจของเจ้า ข้าเพียงแค่มองก็สามารถมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เจ้าคนชั่วช้าไม่เอาไหน เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองกลายเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจของเจ้า ยังกล้ามาขอนำทัพออกรบ?
เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด เจ้าใช่สิ่งใดสู้รบ แม่ทัพเก่าแก่ยังไม้กล้ารับรองว่าจะช่วยข้าแบ่งเบาความทุกข์ได้ เจ้าเอาความกล้าจากที่ใดมาแบ่งเบาความทุกข์ให้ข้า วันนี้ข้าจะตีเจ้าคนชั่วช้าที่ไม่เอาไหนให้ตาย!”
——————-