คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 291 เรื่องที่เสียใจ
ตอนที่ 291 เรื่องที่เสียใจ
เวลาผ่านพ้นไปทีละน้อย
ฮ่องเต้หย่งไท่บอกว่าเหนื่อยแล้ว ในที่สุดภายในตำหนักบรรทมก็เงียบสงบลง
เถาฮองเฮาพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา นางถามเรื่องที่ซ่อนอยู่ภายในใจมาเป็นเวลานานออกมา “ฝ่าบาททรงเสียพระทัยหรือไม่”
ฮ่องเต้หย่งไท่ถามนางกลับ “เสียใจเรื่องใด”
เถาฮองเฮาครุ่นคิด “ราวกับฝ่าบาทไม่มีเรื่องที่ต้องเสียพระทัย”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะร่า “ไม่! เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าก็เคยทำเรื่องที่เสียใจ เรื่องที่เสียใจที่สุดก็คือการปลงพระชนม์บรรดาท่านอ๋อง!”
เถาฮองเฮาเงยหน้ามองเขา “แต่หม่อมฉันมองไม่ออกว่าฝ่าบาททรงเสียพระทัย”
“ฮ่าๆๆ …เพราะว่าข้าพยายามโน้มน้าวตัวเองอยู่ตลอดเวลา เรื่องที่ทำลงไปแล้วจะเสียใจไม่ได้ ถึงแม้ด้านหน้าจะเต็มไปด้วยขวากหนาม ข้าก็ต้องเหยียบจนมันกลายเป็นทาง แต่อย่างไรสวรรค์ก็โหดร้าย ไม่ยอมให้โอกาสข้าได้เดินต่อไป เฮ้อ…”
เสียงถอนหายใจแสดงถึงผู้กล้าถึงคราวไม้ใกล้ฝั่ง คือแสงสายัณห์ของตะวันรอน หรือคือความเลอะเลือนของคนชรา
เถาฮองเฮาพูดเสียงเบา “หม่อมฉันเสียใจที่ตอนนั้นรับปากให้เจ้าสองอภิเษกกับบุตรสาวของจู้หยาง นับจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าสองนับวันยิ่งเด็ดเดี่ยว ร่างกายไม่ดี แต่อารมณ์กลับรุนแรงขึ้น”
ฮ่องเต้หย่งไท่ลูบหลังของนางแผ่วเบา “ต่อจากนี้ให้คนดูเจ้าสองให้ดี โชคดีที่ร่างกายเขาไม่แข็งแรง หากร่างกายเขาแข็งแรง ไม่รู้จะเกิดเรื่องขึ้นมากน้อยเท่าใด”
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่รู้จักองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินหรือ
ไม่!
ฮ่องเต้ทรงรู้จักเซียวเฉิงเหวินอย่างดี
ไม่ต้องรู้จักลึกซึ้ง เพียงแต่เห็นสายตาของเซียวเฉิงเหวิน เมื่อเห็นความร้อนแรงในดวงตาคู่นั้น ฮ่องเต้ก็ทรงรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร
เขาเคยเห็นคนที่คล้ายคลึงกันกับตา
มันช่างบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าสิ่งใด!
คนที่บ้าคลั่งย่อมต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวดก่อนที่เขาจะมีอำนาจขึ้นมา!
มิฉะนั้น หากให้เขาไขว่คว้าโอกาสเอาไว้ได้ ย่อมจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ดังนั้น ฮ่องเต้จึงทรงกดขี่องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินอย่างสุดความสามารถ กดขี่ความปรารถนาของเขา ตัดขาดปีกของเขา
ฮ่องเต้ไม่ทรงให้โอกาสเซียวเฉิงเหวินได้เติบโต
เพราะหากเขาเติบโตขึ้นมา ไม่มีผู้ใดคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปยังทิศทางใด
เถาฮองเฮาเผยสีหน้าสงสัย “ฝ่าบาททรงรู้เรื่องใดหรือเพคะ”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเสียงเบา “ข้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องใด ข้าเพียงต้องรู้ว่าเจ้าสองเป็นคนอย่างไรก็พอ! ต่อจากนี้ เจ้าพยายามอย่าพบเขา ระวังถูกเขาหลอกลวง”
เถาฮองเฮาร้อนตัวเล็กน้อย
องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินหลอกนางเป็นประจำ
ฮ่องเต้หย่งไท่ราวกับรู้สิ่งที่นางกำลังคิด “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป สิ่งสำคัญคืออนาคต เจ้าต้องคิดแทนเจ้าสาม พื้นที่นอนด้านข้างจะปล่อยให้คนอื่นนอนหลับใหลได้อย่างไร ข้างกายเจ้าสามจะมีเจ้าสองไม่ได้ ขังเขาไว้ให้ดี อย่าให้เขาออกมา”
เถาฮองเฮาตกใจ “จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ ขังเขาเอาไว้ ไม่เหมาะสมหรือไม่!”
อย่างไรก็เป็นบุตรของตนเอง ถึงแม้จะอันตราย แต่เถาฮองเฮาไม่เคยคิดจะกักขังเซียวเฉิงเหวินเอาไว้
อย่างมากก็แค่คิดว่าจะกดขี่เขาอย่างไร ให้เขาไม่ยโสโอหังเพียงนั้น ไม่ว่าการลงมือทำสิ่งใดก็ต้องมีมโนธรรมเสียบ้าง
หากเซียวเฉิงเหวินมีมโนธรรมเพียงเล็กน้อย เถาฮองเฮาก็คงไม่ลังเลเพียงนี้
ฮ่องเต้หย่งไท่กลับส่ายหน้า “เจ้าไม่เข้าใจ!”
คนที่บ้าคลั่งจำเป็นต้องกักขังเอาไว้
มิฉะนั้นตัวเขาเองก็คงไม่รู้ว่าจะทำเรื่องที่บ้าคลั่งได้เพียงใด
เถาฮองเฮาถอนหายใจ “เจ้าสองจะเสียใจ”
“เขาไม่มีหัวใจ เขาไม่เสียใจ” ฮ่องเต้หย่งไท่มองเซียวเฉิงเหวินอย่างทะลุปรุโปร่ง
เถาฮองเฮาอยากจะแก้ตัวแทนเซียวเฉิงเหวิน แต่ก็ไม่รู้จะแก้ตัวเรื่องใด
นางสามารถบอกว่าเซียวเฉิงเหวินเป็นคนที่มีหัวใจได้หรือ
ไม่ได้!
นางรู้ดีว่าเซียวเฉิงเหวินไม่มีหัวใจ
เขาเป็นคนที่ไม่มีหัวใจ มีแต่ร่างเปล่า
สุดท้าย นางทำได้เพียงพยักหน้าเชื่อฟังฮ่องเต้ “หม่อมฉันเชื่อฟังฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าสอง! รับปากข้า อย่าได้ให้ความสำคัญกับตระกูลเถา อย่าได้ให้ความสำคัญกับคนตระกูลจ้ง เจ้าทำได้หรือไม่”
เถาฮองเฮาตะกุกตะกัก พูดตามความจริง “หม่อมฉันไม่รู้เพคะ!”
“เจ้าถามตัวเอง สามารถทำได้หรือไม่”
เถาฮองเฮากังวลอย่างมากในทันที นางกุมมือของฮ่องเต้เอาไว้แน่น “หากหม่อมฉันทำไม่ได้ ฝ่าบาทจะทรง…”
ฮ่องเต้หย่งไท่พยักหน้า “หากเจ้าทำไม่ได้ ข้าจะทำแทนเจ้า”
เฮ้อ!
เสียงถอนหายใจอีกครั้ง
เถาฮองเฮารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากในทันที นางเอนพิงอยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ “บางครั้งอยากจะนอนลงโดยไม่ต้องคิดเรื่องใด เพียงแค่พักผ่อนเท่านั้น”
ฮ่องเต้หย่งไท่ปลอบนาง “เจ้าทำตามที่ข้าสั่งย่อมจะบรรลุความปรารถนา สิ่งที่ข้าพูดออกมานี้ล้วนได้มาจากประสบการณ์ในหลายปีนี้ เจ้าอย่าคิดว่าไม่สำคัญ”
เถาฮองเฮาส่ายหน้าระรัว “หม่อมฉันจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร บางครั้งหม่อมฉันก็มักจะทำบางเรื่องด้วยอารมณ์ แต่ไม่เท่ากับหม่อมฉันแยกแยะผิดชอบไม่ได้ หม่อมฉันรู้ว่าสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำล้วนดีต่อหม่อมฉันดีต่อเจ้าสาม แต่ภายในใจหม่อมฉันรู้สึกเสียใจเท่านั้น! พระองค์ทรงวางพระทัย หม่อมฉันจะปรับอารมณ์ ไม่นานก็จะดีขึ้น!”
“ข้าเชื่อเจ้า! หลายปีนี้ เจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง หวังว่าครั้งนี้เจ้าก็จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
เถาฮองเฮามองเขา “ทรงบอกความจริงกับหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ หมอหลวงพูดเรื่องใดกัน ให้หม่อมฉันได้เตรียมตัวไว้บ้างได้หรือไม่”
ฮ่องเต้หย่งไท่ยิ้ม “หมอหลวงบอกว่าข้ามีเวลาเหลืออย่างมากแค่ครึ่งปี”
เถาฮองเฮาเผยสีหน้าตกตะลึง
กว่านางจะดึงสติกลับมาได้ก็เป็นเวลานาน
ทันใดนั้น นางรู้สึกจุกอกราวกับถูกบางอย่างบีบเอาไว้ อึดอัดจนหายใจไม่ออก
นางไม่รู้ว่าเวลานี้ น้ำตาของนางได้ไหลนองเต็มหน้าแล้ว
นางมองเขาอย่างเหม่อลอย สองมือพยุงใบหน้าของเขาเอาไว้ “หม่อมฉันมองหน้าของพระองค์ไม่ชัด!”
ฮ่องเต้หย่งไท่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาของนาง “เวลานี้เห็นชัดแล้วหรือไม่”
นางพยักหน้า นิ้วเลื่อนจากหน้าผากไปถึงคาง “หม่อมฉันเพิ่งสังเกตว่าพระองค์ทรงชราภาพเพียงนี้แล้ว เหตุใดกัน สองวันก่อนเจ้าสามยังบอกว่าเขาจะไปขอพรที่วัด ขอให้พระองค์พระชนมายุยิ่งยืนนาน แผ่นดินเกิดความวุ่นวายยังต้องการให้ฝ่าบาททรงกอบกู้ เหตุใดสวรรค์จึงโหดร้ายเพียงนี้! เป็นไปได้หรือไม่ว่าหมอหลวงวินิจฉัยผิด”
ฮ่องเต้หย่งไท่เลิกคิ้วยิ้ม “เรื่องแบบนี้จะผิดพลาดได้อย่างไร หมอหลวงพนันด้วยชีวิตแล้ว ไม่มีทางเป็นเรื่องเท็จ”
เถาฮองเฮาเสียใจอย่างมาก ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง
แต่ก่อน นางเคยภาวนาให้ฮ่องเต้รีบตายไป
แต่เมื่อความตายกำลังคืบคลานเข้ามา นางถึงได้พบว่านางไม่อยาก
นางไม่อยากให้เขาตาย!
นางอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนาน
หัวใจของนาง เหตุใดจึงเจ็บปวดเช่นนี้
“อย่าร้องเลย! ยิ่งร้องยิ่งน่าเกลียด!”
เถาฮองเฮาพูดเสียงสะอื้น “หม่อมฉันเป็นยายแก่แล้ว เดิมทีก็น่าเกลียดอยู่แล้วเพคะ”
“คนมักพูดว่าคนอัปลักษณ์มักสร้างเรื่อง เจ้าอย่าสร้างเรื่องลับหลังข้า”
“เวลานี้แล้ว ฝ่าบาทยังทรงพูดเช่นนี้อีก พระองค์ไม่ทรงกลัวหม่อมฉันเสียใจ ไม่ทรงกลัวหม่อมฉันน้อยใจหรือ”
“มีเพียงอยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าจึงจะพูดเช่นนี้ เจ้ารังเกียจหรือ”
เถาฮองเฮาหัวเราะออกมา
นางส่ายหน้าระรัว “ไม่รังเกียจ! ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงเป็นเช่นไร หม่อมฉันก็ไม่รังเกียจ ตอนเด็ก พระองค์พูดจารุนแรง ยิ่งไม่น่าฟังกว่าเวลานี้ หม่อมฉันยังทนพระองค์มาได้ เวลานี้หม่อมฉันก็ยังทนได้”
“ตอนข้ายังเด็ก ถึงแม้จะพูดไม่เก่งนัก แต่ก็ไม่ร้ายแรงเหมือนที่เจ้าพูด”
เถาฮองเฮาเช็ดน้ำตา พลางยิ้มพลางพูด “หากฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ พระองค์ทรงลองถามจู้หยาง ถามองค์หญิงเฉิงหยาง พวกนางย่อมไม่มีทางลืมท่าทางการพูดของพระองค์เมื่อทรงเยาว์ รุนแรงเสียเหลือเกิน!”
“จริงหรือ” ฮ่องเต้หย่งไท่ตกอยู่ในห้วงแห่งความสงสัย
หรือว่าความทรงจำของเขาเกิดความผิดพลาดหรือ
เขารู้สึกว่าตอนเด็ก ตนเองเป็นที่โปรดปรานไม่น้อย มิฉะนั้นเหตุใดเสด็จพ่อจึงทรงให้เขาสืบทอดบัลลังก์
บอกว่าเขาพูดจาไม่น่าฟัง เป็นไปไม่ได้!
เถาฮองเฮามองท่าทางครุ่นคิดของเขาจึงหัวเราะออกมา
“อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงพูดจารุนแรงเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรี”
ฮ่องเต้หย่งไท่ได้ยินจึงหัวเราะออกมา
“เวลานั้น สตรีมากมายเข้าใกล้ข้า เวลานั้นข้ากำลังหงุดหงิด เมื่ออารมณ์ไม่ดี อาจพูดจาไม่ดีอย่างมากในบางครั้ง ไม่คิดว่ามันจะไปถึงหูของเจ้า”
เถาฮองเฮาตำหนิ “พระองค์พูดจาไม่ดีกับหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ย่อมต้องเป็นเพราะเจ้ามาไม่ถูกเวลา เข้ามาในช่วงที่ข้ากำลังอารมณ์เสีย”
“ฮึ ไม่ใช่เสียหน่อย!”
อายุของฮ่องเต้และฮองเฮารวมกันเกือบร้อยปี แต่เวลานี้ทั้งสองกลับถกเถียงเรื่องในตอนนั้นเหมือนเด็ก
ระลึกถึงตอนวัยเยาว์ อายุน้อย มีพลังเหลือล้น หุนหันพลันแล่น…
ความงดงามจากไปไม่คืนกลับ ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพินาศในวันนี้
เถาฮองเฮาพิงอยู่บนตัวของฮ่องเต้ “วันที่เหลือ พวกเราอยู่ดีๆ ไม่ทะเลาะกัน ได้หรือไม่เพคะ”
“ได้! ข้ารับปากเจ้า!”
…
เถาฮองเฮาอยู่ในตำหนักซิงชิ่งเพื่อดูแลชีวิตประจำวันของฮ่องเต้ พูดคุยกับฮ่องเต้เพื่อคลายความเบื่อหน่าย
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้เข้ามาถวายบังคมในพระราชวังทุกวัน
ทุกครั้ง ฮ่องเต้หย่งไท่มักจะกวักมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ
ทั้งหมดนี้ทุกคนต่างเห็นและจดจำไว้ในใจ
บางคนบอกว่าตระกูลเถากำลังจะพลิกฟื้น!
แต่บางคนก็บอกว่าเถาฮองเฮากลายเป็นที่โปรดปรานอีกครั้ง ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนได้
เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ
สิ่งสำคัญคือดูเหมือนองค์ชายสามเซียวเฉิงอี้จะกลายเป็นองค์รัชทายาทโดยปริยาย
ท่าทีของขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่มีต่อเขานั้นต่างแตกต่างกันไป
องค์หญิงเฉิงหยางดีใจ นางรู้สึกภูมิใจกับการลงทุนที่ใกล้จะสำเร็จของตนเอง
“วิสัยทัศน์ข้าดี ไม่เลวๆ !”
นอกจากนี้นางยังวิ่งไปในวังหลวงโดยใช้ข้ออ้างเยี่ยมเยือนฮ่องเต้เพื่อแสดงตัวตน
แต่ไม่คาดคิดว่านางจะโดนฮ่องเต้หย่งไท่ดุ
“ไม่อยู่ในจวนองค์หญิงให้ดี เอาแต่วิ่งเข้ามาในวังได้อย่างไรกัน ต่อจากนี้หากข้าไม่ได้เรียกพบเจ้า เจ้าก็อย่าได้เข้าวัง”
องค์หญิงเฉิงหยางรู้สึกน้อยใจ “เสด็จพี่จะทรงเข้มงวดกับหม่อมฉันเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ”
“ข้าคือฮ่องเต้ ข้าเข้มงวดกับเจ้าผิดหรือ”
“ผิดก็คงไม่ผิด เพียงแต่หม่อมฉันตั้งใจเข้าวังมาเยี่ยมเสด็จพี่ หวังว่าพระวรกายของเสด็จพี่จะทรงดีขึ้นในเร็ววัน เสด็จพี่จะทรงดุหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันเข้าวังมาเยี่ยมเสด็จพี่มีความผิดด้วยหรือ”
“น้ำใจของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว ถอยออกไปเถิด!”
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่อยากถือสานาง จึงโบกมือไล่ให้นางออกไป
แม้องค์หญิงเฉิงหยางจะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้เพียงถอยออกไป
ระยะนี้เถาฮองเฮาพักอยู่ในตำหนักซิงชิ่ง ทางตำหนักเว่ยยางจึงไม่มีคนอยู่ องค์หญิงเฉิงหยางก็ไม่อาจเข้าไปได้
พระสนมอื่นไม่เข้าตาขององค์หญิงเฉิงหยาง
นางหมดหนทาง จึงทำได้เพียงออกจากวังหลวงก่อน
เมื่อคนจากไปแล้ว ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงกำชับเถาฮองเฮาอีกครั้ง “ภายหน้า อย่าให้เฉิงหยางแทรกแซงการเมือง จำไว้! จำไว้!”
“ฝ่าบาททรงพักผ่อนให้ดี เรื่องนี้พระองค์ทรงตักเตือนหม่อมฉันหลายครั้งแล้วเพคะ หม่อมฉันล้วนจำขึ้นใจ”
“หากเฉิงหยางแทรกแซงราชสำนักและวังหลังย่อมจะเป็นหายนะ! เรื่องนี้อย่าชะล่าใจเป็นอันขาด!”
“หม่อมฉันทราบเพคะ!”