คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 337 ผู้ร้ายตัวจริง
ตอนที่ 337 ผู้ร้ายตัวจริง
การลอบสังหารในตำหนักจินหลวน!
เมื่อขันทีประตูเหลืองจู่โจมไม่สำเร็จ เขาก็ล้มเลิกในการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ หากแต่หันไปทางขุนนางที่ยืนอยู่ด้านข้างแทน
บรรดาขุนนาง “…”
พวกเขาทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองกัน ต้องมาประสบกับหายนะที่ไร้วี่แววมาก่อนเช่นนี้
ผู้ใดจะมาช่วยชีวิต!
อย่ามัวแต่สนใจที่จะปกป้องฮ่องเต้ เขาก็เป็นคนที่ต้องการการคุ้มกัน ต้องการการดูแลอย่างระมัดระวังเช่นเดียวกัน
“ช่วยด้วย!”
การลอบสังหารของขันทีประตูเหลืองบ้าคลั่งอย่างมาก สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวจนน่ากลัว
ทั้งตำหนักใหญ่ดังก้องไปด้วยเสียงตะโกน “คุ้มกันฮ่องเต้!”
เวลาสำคัญ หลิงฉางจื้อพุ่งตรงเข้ามาช่วยเหลือขุนนางใหญ่ที่โชคร้ายถูกขันทีประตูเหลืองไล่ล่าเอาไว้
เขาเตะขันทีประตูเหลืองอีกที คิดจะจับเป็น
แต่ไม่คิดว่า เมื่อขันทีประตูเหลืองเห็นว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฉางจื้อ เขาก็ตัดสินใจกัดยาพิษในปากแตกเพื่อปลิดชีพตัวเอง
ตำหนักจินหลวนที่โกลาหลเงียบสงบลงอย่างช้าๆ
เสื้อผ้าของบรรดาขุนนางต่างมีลักษณะยุ่งเหยิง
ตอนที่หนีเอาชีวิตรอด ไม่มีผู้ใดสนใจว่าหมวกของตนเองบิดเบี้ยวหรือไม่ เสื้อผ้ายับเยินหรือไม่ สีหน้าดูดีหรือไม่…
หนีตายก็คือหนีตาย ต้องเคารพการออกกำลังที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยอย่างการ ‘หนีตาย’
ราชองครักษ์รายล้อมตำหนักจินหลวนเอาไว้
หัวหน้าคุกหลวงจากสำนักเซ่าฝู่นำคณะตรวจดูศพของขันทีประตูเหลือง
บรรดาขุนนางต่างกลั้นหายใจรอผลอยู่ภายใต้ความเงียบ
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ชำระล้างร่างกายและแต่งตัวใหม่ ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในตำหนักจินหลวนด้วยสภาพปกติ
ไม่ว่าอย่างไร เกียรติยศของเขาก็ถูกรักษาเอาไว้แล้ว
สถานะของขันทีประตูเหลืองตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย
เพราะคนในวังที่รู้จักขันทีประตูเหลืองมีจำนวนไม่น้อย ในสำนักเซ่าฝู่ก็มีบันทึกเอาไว้
ในสายตาของทุกคนนั้น มือสังหารขันทีประตูเหลืองเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน มีฝีปากดี ประจบสอพลอเก่ง
มิฉะนั้น เขาไม่มีทางทำหน้าที่อยู่ในตำหนักจินหลวนในเวลาเพียงไม่กี่ปี
ไม่มีผู้ใดคิดว่าคนที่ประจบสอพลอไปวันๆ จะบ้าคลั่งจนลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้และบรรดาขุนนางใหญ่
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้กัดฟันแน่น พูดออกมาทีละคำ “สืบ! จับคนที่มีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้เอาไว้ให้หมด สืบสวนทีละคน”
หัวใจของหลัวเสี่ยวเหนียนบีบเค้น
หากจะบอกว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เขาก็คงเป็นหนึ่งในนั้น
เวลานี้ เขาไม่สามารถเปิดปากอ้อนวอนได้ แต่ก็ไม่มีทางทำให้ฮ่องเต้หายโกรธได้
มีขุนนางฝ่ายในเดินเข้ามาในตำหนักจินหลวนอย่างรีบร้อนเพื่อทูลรายงาน
เมื่อฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ฟังจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปทันที
หลัวเสี่ยวเหนียนตะโกนเสียงดัง “จบการประชุม!”
จากนั้นรีบเดินตามฮ่องเต้ไป
ตำหนักเว่ยยาง ตำหนักฉางเล่อต่างเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารขึ้นก่อนหลัง
โชคดีที่ไม่เป็นอันตราย มือสังหารต่างถูกกำจัด
ดูจากที่เกิดเหตุ การลอบสังหารเหมือนเป็นการเล่นตลก
เป้าหมายของมันไม่ใช่เพื่อการสังหารผู้คน หากแต่เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวาย
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้เสด็จไปยังตำหนักฉางเล่อเพื่อดูพระพันปีเถาก่อน
เขาโกรธมาก “สืบ! สืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง! กำจัดข้าหลวงในวัง ข้าไม่ต้องการให้มีคนที่น่าสงสัยอีกในวังหลวง”
สำนักเซ่าฝู่รับคำสั่ง หัวหน้าขุนนางฝ่ายในรับคำสั่ง
“เสด็จแม่ทรงได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ถามด้วยความห่วงใย
สีหน้าของพระพันปีเถาเผยให้เห็นความเหนื่อยล้า นางโบกมือ “ฮ่องเต้ไม่ต้องทรงกังวลข้า ข้าไม่เป็นอันใด ตัวตลกเพียงคนเดียวยังทำให้ข้าตกใจไม่ได้”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ถาม “มือสังหารนี้เป็นผู้ใด”
“เพียงแค่ขันทีประตูเหลืองที่ทำงานจิปาถะ ปกติแล้วไม่มีปากมีเสียง ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเจียมตัว ไม่คิดว่าจะเกิดความคิดที่จะลอบสังหารข้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน”
“ข้าหลวงพวกนี้ล้วนสมควรตาย!”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้กัดฟันกรอด ในใจทั้งหวาดกลัวทั้งโกรธอย่างเดือดดาล
พระพันปีเถากลับเกลี้ยกล่อมเขาในเวลานี้ “อย่าได้บุ่มบ่าม ยิ่งในเวลานี้ยิ่งต้องสงบ คิดถึงความเชื่อมโยงในนี้ให้ดี”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้สูดลมหายใจเข้า พลันพยักหน้า “ข้าจะควบคุมตัวเอง! แต่เรื่องในคราวนี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด!”
หลังจากคุยกับพระพันปีเถาเสร็จสิ้น ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้จึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักเว่ยยาง
ทุกคนต่างปลอดภัย
มีเพียงโอรสองค์โตของฮ่องเต้และฮองเฮา หรือองค์ชายใหญ่เซียวเฟิ่งในเวลานี้ได้รับความตกใจจนเป็นไข้สูง
ฮองเฮาจ้งซูอวิ้นร้อนใจจนอารมณ์หงุดหงิดอย่างมาก
นางกล้าตะคอกแม้แต่ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้
“พระราชวังเปรียบเสมือนตะแกรง ตำหนักจินหลวน ตำหนักเว่ยยางและตำหนักฉางเล่อถูกลอบสังหารแทบจะในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนไว้ล่วงหน้า แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เพียงพอที่จะเขย่าขวัญผู้คน เหตุระเบิดสองครั้ง องครักษ์จินอู่สืบหาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่มีเบาะแส ตอนนี้เกิดการพยายามลอบสังหารขึ้นอีก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นติดต่อกัน ฝ่าบาทไม่มีมาตรการป้องกันใดเลยหรือ”
“ข้าโกรธยิ่งกว่าเจ้า ไฟโกรธของข้าไม่เคยดับมอดลงไปแม้แต่น้อย”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้เตะเก้าอี้ด้วยความโกรธ
ฮองเฮาจ้งซูอวิ้นพูดพลันร้องไห้ “หากลูกไม่เป็นอันใดก็แล้วไป หากเขาเป็นอันใดไป ข้า ข้าก็ขอไม่มีชีวิตอยู่เหมือนกัน”
“เจ้าวางใจ ข้าย่อมจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้ากับลูก ไม่มีทางปล่อยให้ผู้บงการหนีรอดไปได้”
…
เมื่อฮ่องเต้รับสั่ง ทั้งเมืองหลวงก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นมา
เขานับวันยิ่งเห็นด้วยกับคำพูดของซุนปังเหนียน
เป้าหมายที่แท้จริงของผู้บงการนั้นก็เพื่อสั่นคลอนอำนาจของเขา โจมตีบารมีของเขา ทำให้ผู้คนสงสัยความถูกต้องในการขึ้นครองราชย์ของเขา…
เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ หากจะบอกว่าสร้างความเสียหายหนักหนาก็ไม่เชิง
แต่เหมือนเป็นการสร้างความเกลียดชังมากกว่า
เป้าหมายก็คือฮ่องเต้อย่างเขา
“พวกไร้ประโยชน์ ยังสืบหาเบาะแสไม่ได้อีกหรือ”
“ทูลฝ่าบาท หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังและซุนปังเหนียน ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ทั้งสองคนขอเข้าเฝ้าพร้อมกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้กัดฟัน หัวเราะเสียงเย็น “เรียกทั้งสองคนเข้ามา!”
ซุนปังเหนียนและหัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังเดินเข้าตำหนักเซวียนเจิ้งเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกัน
“ไม่ต้องพูดมาก ข้าถามพวกเจ้า การสืบสวนได้ความแล้วใช่หรือไม่ หากยังสืบหาผู้บงการไม่ได้อีก นับจากนี้ต่อไป พวกเจ้าไม่ต้องมาพบข้า”
คนตายไปแล้ว ย่อมไม่ต้องพบอีก
ฮ่องเต้เซียวเฉิงอี้เกิดความคิดที่จะกำจัดคนอยู่ก่อนแล้ว
เขาไม่อนุญาตให้คนที่ไร้ความสามารถครอบครองตำแหน่งสูง
หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังและซุนปังเหนียน ต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน
ซุนปังเหนียนพูดขึ้นก่อน “ทูลฝ่าบาท คดีระเบิดมีความคืบหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังพูดต่อทันที “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสืบหาแหล่งที่มาของข่าวลือ โชคดีที่ไม่ทรยศต่อความไว้วางใจ ในที่สุดก็สืบหาบุคคลสำคัญได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พูด! ผู้ใดวางแผนทั้งหมดนี้อยู่เบื้องหลังกันแน่ ผู้ใดต้องการให้ข้าตาย”
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันอีกครั้ง จากนั้นพูดอย่างพร้อมเพรียง “ทูลฝ่าบาท เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของท่านโหวเหิงอี้”
“อันใดนะ”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ตั้งตัวไม่ทันในเวลาแรก
หลัวเสี่ยวเหนียนรีบเอ่ยเตือนเสียงเบา “ฝ่าบาท ท่านโหวเหิงอี้คือน้องหกของฝ่าบาท องค์ชายหกของฮ่องเต้องค์ก่อน มารดาคือพระสนมเจี่ยซู”
ทันใดนั้น ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้จึงกระจ่าง
“เขาหรือ ทุกสิ่งเป็นฝีมือของเขา?”
“พ่ะย่ะค่ะ! รวมทั้งการลอบสังหารในวังหลวง หากไม่ผิดพลาด เขาก็คงเป็นผู้บงการเช่นเดียวกัน”
“ฮ่าๆๆ…”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้เปล่งเสียงหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหล
“เขาเองหรือ! ข้าดีต่อเขาไม่น้อย อีกทั้งยังพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้แก่เขา เขายังมีเรื่องใดไม่พอใจ เหตุใดจึงต้องก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ผู้ใดก็ได้ ไปจับท่านโหวเหิงอี้เซียวเฉิงหลี่มา อย่าปล่อยคนในจวนของเขาไปแม้แต่คนเดียว คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนจับมาให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์จินอู่เริ่มเคลื่อนไหวในการจับคน
ในเวลาหนึ่ง ทั้งเมืองหลวงแตกตื่น
บรรดาขุนนางต่างสืบข่าวด้วยความตระหนก
เมื่อพวกเขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของท่านโหวเหิงอี้เซียวเฉิงหลี่นั้น บรรดาขุนนางต่างก็ตกใจ จากนั้นก็กระจ่าง
“บอกได้ว่าพระสนมเจี่ยซูถูกฮ่องเต้องค์ก่อนประหารเพราะพระพันปีเถา ท่านโหวเหิงอี้กำลังแก้แค้น”
“ผิดแล้ว! ถึงแม้จะแก้แค้นก็ควรไปลงที่พระพันปีเถา เหตุระเบิดเกิดติดต่อกันสองครั้งไม่ใช่การแก้แค้นธรรมดา”
“ไม่คิดว่าท่านโหวเหิงอี้จะมีฝีมือเช่นนี้ มือยื่นออกมายาวเสียจริง แม้แต่ในวังหลวงก็ยังมีคนของเขา”
“นับแต่พระสนมเจี่ยซูสิ้นพระชนม์ ข้าก็คิดว่าท่านโหวเหิงอี้จะไม่อาจยืนขึ้นมาได้อีกแล้ว ไม่คิดว่าเขากลับมีความสามารถที่ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง”
…
ท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวินนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวง
ไม่ว่าด้วยเหตุหรือด้วยผล เขาก็ต้องเขาวังไปดู
เขาอารมณ์เสียเล็กน้อย สีหน้าจึงไม่ค่อยดีนัก “ข้าละเลยเซียวเฉิงหลี่ไป”
เฟ่ยกงกงยอมรับความผิด “ล้วนเป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมเห็นว่าท่านโหวเหิงอี้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมมาหลายปีแล้ว จึงได้ละเลย ไม่ได้สนใจสถานการณ์ของท่านโหวเหิงอี้เป็นพิเศษ อีกทั้งยังไม่ได้ใช้งานสายสืบในจวนของท่านโหวเหิงอี้ จึงได้เกิดหายนะในวันนี้ขึ้น”
เซียวเฉิงเหวินกระแอมไอเสียงเบา “ไม่โทษเจ้า! ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะมีความสามารถก่อปัญหาได้เพียงนี้ เวลานี้ดูท่าทางองครักษ์จินอู่คงต้องเสียเที่ยวอีกครั้ง ในเมื่อเขากล้าลงมือในวัง คิดว่าเขาคงแอบหนีออกจากเมืองหลวงไปก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว”
“ท่านโหวเหิงอี้แอบหนีออกจากเมืองหลวงแล้ว?” เฟ่ยกงกงตกใจ
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเสียงเย็น “เขาไม่หลบหนีออกจากเมืองหลวง จะรอให้องครักษ์จินอู่ไปจับเขาหรือ”
“แต่คนในจวนท่านโหวเหิงอี้มีมากมาย…”
“เพียงแต่ชีวิตของตัวเขารักษาเอาไว้ได้ แม้จะต้องเสียสละชีวิตของภรรยาและบุตร เขาก็ไม่สนใจ”
เซียวเฉิงเหวินก้มหน้า ภายในใจเต็มไปด้วยความโกรธ
เขากำลังโกรธตัวเอง
เขาชะล่าใจจนก่อให้เกิดความผิดพลาดอย่างมหันต์
ไม่สมควร!
เขามายังตำหนักฉางเล่อ ยังไม่ทันเดินเข้าประตูตำหนักก็ได้ยินเสียงก่นด่าของพระพันปีเถา
“ชั้นต่ำ! ข้าเคยบอกแล้วว่าตัดหญ้าต้องถอนโคน! เหลือหายนะทิ้งเอาไว้เสียจริง นางชั้นต่ำอย่างพระสนมเจี่ยซู บุตรชายของเขายิ่งชั้นต่ำ! แม่ลูกชั้นต่ำทำร้ายข้ายังไม่พอ ยังบังอาจทำร้ายฮ่องเต้ ข้าจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ประหารตระกูลเจี่ยเก้าชั่วโคตร!”
เซียวเฉิงเหวินกระแอมไอเสียงเบา พลันเดินเข้าตำหนักใหญ่
พระพันปีเถามองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าไม่พักรักษาตัวอยู่ในจวน เข้าวังมาทำอันใด”
“กระหม่อมเข้าวังก็ย่อมมาเพื่อเยี่ยมเยือนเสด็จแม่” สีหน้าของเซียวเฉิงเหวินเรียบเฉย ไร้ความดีใจหรือโศกเศร้า
พระพันปีเถาส่งเสียงไม่พอใจ “คน เจ้าก็เห็นแล้ว ข้าสบายดี ไม่ได้รับบาดเจ็บ เจ้ารีบกลับไปพักในจวน ไม่มีเรื่องใดก็อย่าออกจากจวน ระวังร่างกายของตนเอง เจ้ายังไม่มีทายาท ไม่อาจเป็นอันใดไปในเวลานี้”
เซียวเฉิงเหวินโน้มตัวเล็กน้อย “ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงเป็นกังวล! หากเสด็จแม่ไม่ทรงได้รับบาดเจ็บ กระหม่อมก็วางใจแล้ว ไม่ต้องให้เสด็จแม่กังวลพระทัย กระหม่อมจะกลับจวนบัดนี้ จริงด้วย องครักษ์จินอู่มุ่งหน้าไปจับคนในจวนท่านโหวเหิงอี้เกรงว่าจะเสียเที่ยว หากไม่มีเรื่องใดผิดพลาด เซียวเฉิงหลี่คงออกจากเมืองหลวงไปก่อนแล้ว”
“เหลวไหล! เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาออกจากเมืองหลวงไปแล้ว”
“หากเป็นกระหม่อม กระหม่อมจะหนีออกจากเมืองหลวงก่อนที่ทุกคนจะสังเกตได้ หากเสด็จแม่ไม่ทรงเชื่อ พระองค์ทรงให้คนไปดูในจวนท่านโหวเหิงอี้ก็จะรู้ว่ากระหม่อมพูดถูกหรือไม่”
น้ำเสียงของเซียวเฉิงเหวินราบเรียบ
พระพันปีเถาจ้องมองเขา “เซียวเฉิงหลี่หนีออกจากเมืองหลวงไปแล้วจริงหรือ”
เซียวเฉิงเหวินพูดอย่างจริงจัง “กระหม่อมมั่นใจอย่างมากว่าเขาไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะออกจากพื้นที่นครบาลไปแล้วด้วย ส่วนเขาจะไปที่ใด ยังต้องรอการสืบจากทางองครักษ์จินอู่”
เซียวเฉิงหลี่ไม่มีทางไปตระกูลเจี่ย
นอกจากตระกูลเจี่ย เขาก็ไม่มีทางไปตระกูลของพ่อตา
คำตอบที่ผู้คนสามารถคาดเดาได้เป็นเวลาแรกล้วนถูกเซียวเฉิงเหวินตีตก
เมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวเฉิงหลี่จะไปที่ใดควรค่าแก่การคาดเดาอย่างมาก
พระพันปีเถาให้คนเดินทางไปสืบถามสถาการณ์ที่จวนท่านโหวเหิงอี้ทันที
องครักษ์จินอู่ทำงานไม่สำเร็จ ล้มเหลวในมือของเซียวเฉิงหลี่ พวกเขาย่อมต้องทวงเกียรติยศคืน
ไม่ขุดพื้นสามฉื่อ องครักษ์จินอู่ไม่มีทางปล่อยมือ
ซึ่งหมายความว่าข่าวการหายตัวไปของท่านโหวเหิงอี้เซียวเฉิงหลี่นั้น องครักษ์จินอู่ไม่มีทางรายงานวังหลวงอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าอย่างไร องครักษ์จินอู่ก็ยังคงมีความมั่นใจของตนเอง ภายใต้การใช้ความรุนแรงในการเค้นถาม ไม่กลัวเค้นความจริงไม่ได้
กลัวแต่เพียงใช้วิธีการทั้งหมดแล้ว ยังหาเบาะแสของเซียวเฉิงหลี่ไม่ได้
เซียวเฉิงหลี่กล้าลอบสังหารในวังหลวง เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนเอาไว้หมดแล้ว
แต่ละขั้นตอน ปฏิกิริยาของราชสำนัก ปฏิกิริยาของฮ่องเต้ วิธีการขององครักษ์จินอู่ เขาล้วนคำนึงไว้หมดแล้ว
เขาย่อมไม่มีทางทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เวลาก่อนหน้านี้ หรืออาจเป็นปีที่พระสนมเจี่ยซูสิ้นพระชนม์ ท่านโหวเหิงอี้เซียวเฉิงหลี่ก็ได้เริ่มวางแผนเรื่องเหล่านี้เอาไว้แล้ว
สมกับเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น สามารถอดทนในเรื่องที่ผู้อื่นอดทนไม่ได้
เป็นศัตรูตัวฉกาจ!