คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 351 หากอารมณ์ไม่ดีก็ตีหลิงฉางเฟิง
ตอนที่ 351 หากอารมณ์ไม่ดีก็ตีหลิงฉางเฟิง
หลิงฉางจื้อยกแก้วชาขึ้นจิบ ไม่ยอมตอบรับเซียวอี้
เซียวอี้ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพูดขึ้น “ข้ารับปากทำงานให้ท่านสามงาน!”
หลิงฉางจื้อเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างมีนัย
เซียวอี้พูดอีกครั้ง “ทั้งสามงานแล้วแต่ท่านจะสั่ง”
หลิงฉางจื้อวางแก้วชาลงพลันหัวเราะร่า “เจ้าคิดว่าตระกูลหลิงขาดคนหรือว่าขาดเงิน หรือขาดเส้นสาย เจ้าคิดว่าเจ้าจะช่วยสิ่งใดข้าได้ เรื่องที่ข้าอยากทำ ตระกูลหลิงมีคนให้ข้าใช้มากมาย อีกทั้งพวกเขาไม่เพียงมีความสามารถเหนือผู้อื่น นอกจากนี้ยังภักดีอย่างมาก ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะทรยศ ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะแทงข้างหลัง ร่วมมือกับเจ้า ข้าไม่กลัวชีวิตจะยาวเกิน”
เซียวอี้ “…”
เมื่อถูกรังเกียจเช่นนี้ เขายังพูดสิ่งใดได้อีก
เขาลูบหน้า “พูดเถิด มีเงื่อนไขอย่างไร ท่านจึงจะยอมเลิกแทรกแซงเรื่องคู่ครองของเยียนอวิ๋นเกอ ท่านรู้หรือไม่ ท่าทางที่ท่านวิ่งไปจวนองค์หญิงสามวันทีสี่วันหนเพื่อเป็นพ่อสื่อให้นางช่างทำให้คนเกลียดยิ่งนัก”
หลิงฉางจื้อยิ้มได้ใจ “เจ้ารังเกียจข้า แต่องค์หญิงจู้หยางพึงพอใจต่อข้าอย่างมาก หากข้าอายุเท่าเจ้า ยังไม่แต่งงาน พวกเราสองคนไปสู่ขอที่จวนองค์หญิงจู้หยางในเวลาเดียวกัน องค์หญิงจู้หยางจะยกเยียนอวิ๋นเกอให้ผู้ใด ให้เจ้า หรือว่าให้ข้า คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ข้าชนะมาตั้งแต่แรก
ถึงแม้เจ้าจะรู้จักกับเยียนอวิ๋นเกอมาก่อน ลับหลังก็มีการไปมาหาสู่หลายครั้ง เสียดายใบหน้าของเจ้าไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้ เยียนอวิ๋นเกอไม่ใช่คุณหนูที่ตื้นเขิน ไม่มีทางถูกหลอกเพราะใบหน้า อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้อัปลักษณ์ไปกว่าเจ้า อีกทั้งยังศึกษามากกว่าเจ้าหลายปี สมควรดึงดูดคนมากกว่าเจ้า”
“พูดขนาดนี้แล้ว ท่านคิดจะหย่ากับภรรยาคนเดิมแล้วแต่งงานใหม่?”
“พูดจาเหลวไหล! ข้าบอกแล้วว่ายกตัวอย่าง”
เซียวอี้หัวเราะเยาะ พลันพูดเสียดสี “ถึงแม้ท่านไม่คิดที่จะหย่าแล้วแต่งงานใหม่ พูดไปมากมายจะมีประโยชน์อันใด ท่านร่ำเรียนมากก็ไม่อาจแต่งงานกับเยียนอวิ๋นเกอได้ ชาติตระกูลท่านดีกว่าข้าก็ยังคงไม่อาจแต่งงานกับเยียนอวิ๋นเกอได้อยู่ดี ท่านพูดจาเก่งกว่าข้า ทำให้คนอื่นชอบได้มากกว่า แต่ก็ยังคงไม่อาจแต่งงานกับเยียนอวิ๋นเกอเหมือนเดิม
ท่านต้องการความสามารถของนาง อยากให้นางแต่งงานกับคนที่ท่านยอมรับ แผนการของท่านไม่เลว! แต่ท่านเคยถามความเห็นของข้าหรือไม่ ข้าไม่พยักหน้า เหตุใดท่านจึงตัดสินอนาคตคู่ครองของเยียนอวิ๋นเกอ หลิงฉางจื้อ วันนี้ข้าให้เกียรติท่าน ไม่เท่ากับท่านจะทำอันใดก็ได้! หากทำให้ข้าโกรธ ข้าไม่อาจแต่งงานกับเยียนอวิ๋นเกอได้ ท่านก็อย่าคิดที่จะมีชีวิตที่สงบสุข”
หลิงฉางจื้อหัวเราะร่า “ขุ่นเคืองด้วยความอับอายหรือ เซียวอี้เอ๋ย น้องชายของข้า นิสัยของเจ้าต้องเปลี่ยนบ้าง! ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องมีการเจรจา เจ้าอยากแต่งงานกับเยียนอวิ๋นเกอ ได้ ข้าถอนตัว ข้าไม่ขัดขวางเจ้าอีก ไม่เป็นพ่อสื่อให้เยียนอวิ๋นเกออีก แต่เจ้าเอาสิ่งใดมาตอบแทนข้า”
“สามงานตามที่ท่านสั่ง ท่านยังไม่พอใจ?”
เซียวอี้รังเกียจอย่างมาก รังเกียจที่หลิงฉางจื้อโลภเกินไป
เป็นคนไม่อาจโลภเกินไปได้!
หลิงฉางจื้อกลอกตา พลันพูดขึ้น “คำสัญญาของเจ้าไม่มีค่านัก!”
เซียวอี้ชี้หน้าของตนเอง “มองข้า คำพูดที่พูดออกมาจากปากของข้า สิ่งใดย่อมเป็นสิ่งนั้น เรื่องที่รับปากท่านข้าย่อมจะทำให้สำเร็จ ข้อดีของข้ามีไม่มาก รักษาสัญญาถือเป็นหนึ่งในข้อดี”
หลิงฉางจื้อจ้องมองเขา ไตร่ตรองอีกครั้ง “ได้! สามงานตามที่ข้าสั่ง แต่ข้าไม่เป็นพ่อสื่อให้เจ้า ข้าเพียงแค่สัญญาว่าจะไม่แทรกแซงเรื่องคู่ครองของเยียนอวิ๋นเกอ ไม่แนะนำชายหนุ่มที่มีความสามารถให้องค์หญิงจู้หยางอีก”
“พูดได้ทำได้?”
“คนตระกูลหลิงไม่พูดโกหก!”
“คำพูดเหลวไหลที่ออกมาจากปากของหลิงฉางเฟิงมีเป็นระลอก” เซียวอี้หัวเราะ
หลิงฉางจื้ออัดอั้นตันใจยิ่งนัก!
หากหลิงฉางเฟิงผู้เป็นน้องชายยังอยู่ในเมืองหลวง วันนี้จะต้องโบยเขาสักครั้ง
คนเพียงคนเดียวกลับทำให้ชื่อเสียงของทั้งตระกูลเสื่อมเสีย
เวลานี้คนภายนอกต่างคิดว่าชายหนุ่มในตระกูลหลิงล้วนมีแต่คนเหลวแหลก ไม่รักษาสัญญา
แม้แต่การหมั้นหมายยังเป็นโมฆะได้ ตระกูลเช่นนี้ ไร้ซึ่งสัจจะ
เยียนอวิ๋นเกอก็ดูถูกชายหนุ่มในตระกูลหลิงเพราะอคตินี้
หลิงฉางจื้อกุมหน้าอกของตนเอง หัวใจของเขาช่างเจ็บปวด เจ็บปวดจนหายใจไม่ออก
มีน้องชายที่โง่เขลาคงต้องลดอายุขัยลงสามปี!
ถึงเวลาที่หลิงฉางเฟิงต้องโดนตีแล้ว!
…
ห่างไกลนับพันลี้!
ตระกูลหลิงในแคว้นหงหนง
เดือนหนึ่งยังไม่ทันผ่านพ้นไป หลิงฉางเฟิงก็ถูกบ่าวรับใช้ในจวนลากออกจากหอนางโลมไปยังโถงบรรพบุรุษของตระกูล
จากนั้นเขาก็ถูกท่านพ่อของเขากดอยู่บนเก้าอี้ยาว โบยอย่างหนัก
หลิงฉางเฟิงร้องไห้ด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม “เหตุใดจึงโบยข้า! ท่านแม่ ข้าเจ็บยิ่งนัก เจ็บเจียนตาย ท่านแม่ รีบมาช่วยข้าด้วย ข้าไม่ได้ทำผิด เหตุใดจึงโบยข้า ฮือๆ…”
เขาร้องไห้จนน้ำตาและน้ำมูกไหลออกมา น้อยใจอย่างมาก
ไปหอนางโลมก็ถูกโบย มันเรื่องอันใดกัน ยังจะให้คนมีชีวิตอยู่หรือไม่
บิดาที่เข้มงวดแต่ไม่อารมณ์ร้ายเหตุใดจึงกลายเป็นคนรุนแรงเช่นนี้
เหตุใดต้องโบยเขา
ฮือๆๆ…
เจ็บเหลือเกิน!
“เจ้าสมควรถูกโบยแล้ว! ให้เจ้าทำตัวเหลวไหล ทำลายชื่อเสียงของตระกูล! เจ้าลูกทรพี แต่ก่อนสั่งสอนเจ้าน้อยเกินไป นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้เจ้าก้าวเท้าออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียวเป็นเวลาครึ่งปี”
นายท่านใหญ่ตระกูลหลิงไว้หนวดเครา แม้อายุจะใกล้เลขห้า แต่รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ใบหน้ามีบารมียิ่งนัก น่าเกรงขามยิ่งนัก
หลิงฉางเฟิงหมอบตัวนอนร้องไห้อยู่บนเก้าอี้ยาว “แค่ไปหอนางโลมก็เกี่ยวข้องกับการทำลายชื่อเสียงของตระกูลหรือ อีกทั้งยังเป็นเดือนหนึ่ง ท่านพ่อท่านอยากโบยข้า อย่างน้อยก็หาเหตุผลที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่”
เมื่อนายท่านใหญ่ตระกูลหลิงได้ยิน เขาก็สะบัดแส้หนังทำท่าจะโบยเขาอีกรอบทันที
หลิงฮูหยินยืนออกมาได้ทันเวลา “พอแล้ว พอแล้ว! เขาได้รับการสั่งสอนพอแล้ว ท่านคิดจะตีเขาจนพิการจึงจะหายโกรธหรือ อีกอย่างเรื่องตั้งกี่ปีก่อนแล้ว จนถึงเวลานี้ยังจะมาคิดบัญชี ภายในเดือนหนึ่งลากเขาออกมาโบย ไม่รู้พวกท่านพ่อลูกมีความโกรธจากที่ใดนักหนา”
หลิงฮูหยินขุ่นเคือง ในใจมีความเห็นบางอย่าง
หลิงฉางเฟิงได้ยินจึงเข้าใจทุกสิ่ง
เขาตำหนิการกระทำอันโหดเหี้ยมของบิดาและพี่ชายเสียงดัง
เขาจะต่อต้าน
เขายืนกรานที่จะพูดความในใจ “พี่ใหญ่เขียนจดหมายกลับมาอีกแล้วใช่หรือไม่ อีกทั้งยังเป็นจดหมายด่วน ข้ารู้อยู่แล้ว ทุกครั้งที่ท่านพ่อโบยข้า ย่อมต้องเป็นเพราะท่านพี่อารมณ์ไม่ดี ท่านพี่มีความแค้นกับข้าหรือ เขาเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง เมื่อเจอเรื่องไม่ราบรื่นก็ระบายอารมณ์กับข้า มันเหตุผลใดกัน
ท่านแม่ ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้แก่ข้า! ท่านพ่อและพี่ใหญ่รังแกกันเกินไปแล้ว! เรื่องในตอนนั้น ช้ายอมรับผิดแล้ว นอกจากนี้ข้าก็กลับมาอยู่จวนอย่างเชื่อฟัง ยังจะให้ข้าทำอย่างไรอีก
พี่ใหญ่ทำเกินไปแล้ว ทุกครั้งที่เขาได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจจากเมืองหลวง เขาก็ส่งจดหมายด่วนกลับมา จากนั้นท่านพ่อก็โบยข้า ระบายความโกรธแทนพี่ใหญ่ ข้าโตมากับแม่เลี้ยงหรืออย่างไร!”
“พูดจาเหลวไหล! สมควรตี! ปากของเจ้าไม่มีหูรูดเอาเสียเลย!”
หลิงฮูหยินทำท่าจะตบปากเขา หลิงฉางเฟิงร้องไห้แสร้งทำตัวน่าสงสาร พลันร้องโอดครวญ
หลิงฮูหยิน “…”
ในฐานะมารดาของบุตรชายคนเล็กที่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็ต้องถูกโบย นางคุ้นชินกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้แล้ว
เสียงโอดครวญของบุตรชายไม่อาจทำให้นางสงสารได้อีก
ปล่อยให้เขาโอดครวญไปก่อน เมื่อเขาเหนื่อยก็จะหุบปากเอง
คราวนี้ ไต้ฟูกำลังอยู่ระหว่างทางแล้ว
รอไต้ฟูมาก่อน!
“เจ้าดูท่าทางเหลวไหลของเขา เขาไม่ได้ซึมซับบทเรียนแม้แต่น้อย เขาขาดการสั่งสอน!”
นายท่านใหญ่ตระกูลหลิงโกรธจัด
เขาไม่อาจทนดูท่าทางไม่สนใจสิ่งใดของหลิงฉางเฟิงได้ เพราะมันทั้งทำให้คนเกลียดทั้งทำให้คนอยากตี
มิน่าหลิงฉางเฟิงกลับแคว้นหงหนงมาหลายปี บุตรชายคนโตหลิงฉางจื้อยังเขียนจดหมายกลับมาให้เขาโบยฉางเฟิงเป็นประจำ
นายท่านใหญ่ตระกูลหลิงไม่ยอมปล่อยแส้ในมือแม้แต่น้อย
หลิงฮูหยินถลึงตาใส่เขาหลายที เขาก็ยังไม่ยอมวางลง
เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะโบยหลิงฉางเฟิงอีกรอบ
หลิงฉางเฟิง “…”
เวลานี้นอกจากร้องไห้อ้อนวอน ยังจะทำอย่างไรได้อีก
เขาเป็นหลิงฉางเฟิงที่ยืดได้หดได้ อีกทั้งยังยอมจำนนอย่างเด็ดเดี่ยว!
ยอมจำนนก็เป็นความสามารถ
ฮือๆๆ…
“ท่านแม่ ข้าจะตายแล้ว เจ็บเหลือเกิน! ข้าต้องถูกแส้ของท่านพ่อโบยจนตายในสักวัน รอข้าตายไป อย่าฝังข้าไว้ในสุสานตระกูล ข้ากลัวว่าหลังจากที่ตายไปแล้วยังต้องถูกโบย ท่านโยนข้าเอาไว้ที่เนินป่าช้า ถือว่าไม่มีบุตรอย่างข้าเถิด! อย่างไรข้ามีชีวิตอยู่ก็เป็นความผิด ข้าไม่คู่ควรที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้! อ้าก…”
เขาเปล่งเสียงร้องไห้ ร้องจนฟ้าดินสะเทือน ร้องอย่างโหยหวน
นายท่านใหญ่ตระกูลหลิงฟังเสียงร้องไห้ของเขาจนหงุดหงิดจึงยกแส้ขึ้นทำท่าจะตีอีก
หลิงฮูหยินขวางไว้ด้านหน้า “ท่านจะตีเขาให้ตายจึงจะพอใจหรือ ข้าไม่สนใจว่าท่านกับฉางจื้อกำลังโกรธเรื่องใด เหตุใดจึงโมโหเพียงนี้ แต่ท่านโบยเขาไปแล้วรอบหนึ่ง จะโบยรอบที่สองอีกไม่ได้แล้ว”
จากนั้นนางก็กดเสียงต่ำ กระซิบกับนายท่านใหญ่ตระกูลหลิงผู้เป็นสามี “อย่างน้อยรอแผลของฉางเฟิงหายดีค่อยโบย อย่างนี้โบยไม่ตาย ยังโบยได้อีกหลายสิบปี”
นายท่านใหญ่ตระกูลหลิงถูกฮูหยินโน้มน้าว “เจ้าให้คนจับตาดูเขาเอาไว้ ครึ่งปีนี้ไม่อนุญาตให้เขาออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว”
หลิงฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด! มีครั้งใดข้าทำเรื่องที่ท่านสั่งไม่ได้บ้าง! ข้าย่อมจะให้คนจับตาดูเขาเอาไว้ รับรองว่าเขาอย่าคิดจะเหยียบออกจากประตูเรือนแม้แต่นิ้วเดียว”
นายท่านใหญ่ตระกูลหลิงพยักหน้า ก่อนจะส่งแส้ให้บ่าวรับใช้แล้วเดินจากไป
หลิงฮูหยินรีบสั่งบ่าวรับใช้ “รีบยกนายน้อยกลับห้อง ไต้ฟูมาแล้วหรือไม่”
“มาแล้ว มาแล้ว! มาถึงประตูสองแล้ว”
“ให้ไต้ฟูไปรอที่ห้องนอนนายน้อย ทำเหมือนเดิม”
เมื่อได้ยินคำว่าเหมือนเดิม บ่าวรับใช้ก็เข้าใจทันที
คำว่าเหมือนเดิมก็คือต้องใช้ยารักษาแผลชั้นดี รับรองว่าจะไม่ทิ้งโรคเรื้อรังเอาไว้
แต่ก็ไม่อาจให้หลิงฉางเฟิงหายดีเร็วเกินไป เพื่อไม่ให้เขาลืมความเจ็บปวดเมื่อแผลหาย
ถ้าจะให้ดีคือตอนรักษาทำให้เขาเจ็บ ทำให้เขารู้ดีชั่ว
หลิงฉางเฟิงเอาแต่ร้องโอดครวญ ทั้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แต่ก็เพื่อความเห็นใจ
หลิงฮูหยินถอนหายใจพลันลูบหลังของเขาแผ่วเบา “เจ้าน่ะ หากเจ้ามีความขยันเอาเสียหน่อย ท่านพ่อเจ้าก็ไม่มีทางลงมือเต็มแรง อายุเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว บุตรก็เริ่มเรียนแล้ว เจ้าควรรู้เรื่องบ้างแล้ว อย่าเอาแต่เที่ยวเตร่ ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน”
หลิงฉางเฟิงพูดด้วยความน้อยใจ “ในจวนมีภรรยาร้าย ข้าไม่อยากเข้าห้องของนางเอาเสียเลย ไปพักในห้องอนุภรรยาไม่กี่วัน นางก็ร้องห่มร้องไห้ พร่ำบ่นไม่หยุด อีกทั้งยังต่อว่าข้าต่อหน้าบุตร ช่างทำเกินไปเสียจริง ข้าช่าง…เหตุใดตอนนั้นท่านพ่อจึงไม่ยอมให้ข้า…”
“เจ้าหุบปาก!”
เวลานี้ สายตาของหลิงฮูหยินไร้ความเมตตา มีแต่ความโหดเหี้ยม
นางกำลังตักเตือนหลิงฉางเฟิงผู้เป็นบุตรชายคนเล็ก เรื่องที่ไม่ควรพูดควรเก็บเอาไว้จนเน่าในใจ