คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 366 ข่าวลือ
ตอนที่ 366 ข่าวลือ
“พวกนางทั้งสองทะเลาะกันไม่น่าแปลกใจ แต่ที่น่าแปลกใจคือ พวกนางอดทนมาจนถึงวันนี้ถึงทะเลาะกัน สมกับเป็นคนที่อดทนในที่เรื่องที่คนทั่วไปทำไม่ได้!”
องค์หญิงจู้หยางเซียวฮูหยินพูด
พระพันปีเถาและองค์หญิงเฉิงหยางทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติอย่างมาก เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
พวกนางทั้งสองไม่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติแม้แต่วันเดียว
พวกนางเริ่มขัดแย้งกันตั้งแต่ยังเด็กจนถึงบัดนี้
แต่ก่อน ฮ่องเต้องค์ก่อนยังควบคุมทั้งสองคนได้
แต่เวลานี้ หากฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ต้องการจะควบคุมคนทั้งสอง เกรงว่าคงจะจนปัญญา
ด้านฐานะ คนหนึ่งเป็นมารดา อีกคนเป็นท่านอาและแม่ยาย ลำบากใจ!
เยียนอวิ๋นฉียิ้มขมขื่น “เมื่อวานเข้าวังไปถวายบังคม สีหน้าของฮองเฮาน่ากลัวอย่างมาก โชคดีที่นางไม่อยากเห็นข้า ข้าถวายบังคมเสร็จก็ทูลลา ไม่ได้ทนทุกข์ทรมานมากนัก ได้ยินว่าฝ่าบาททรงกริ้วมากเพราะเรื่องของพวกนางทั้งสอง ฮองเฮาก็ทรงแอบร้องไห้อยู่ในตำหนักเว้ยยาง”
เซียวฮูหยินพูดเสียงเบา “ข้าได้ยินว่าพระพันปีเถาทรงออกพระราชโองการกักบริเวณองค์หญิงเฉิงหยาง ไม่อนุญาตให้นางเหยียบเข้าวังหลวงแม้แต่ก้าวเดียว เรื่องนี้จริงหรือไม่”
“เป็นเรื่องจริง! หากไม่มีรับสั่งของพระพันปี องค์หญิงเฉิงหยางไม่อาจเหยียบเข้าวังหลวงแม้แต่ก้าวเดียว”
เซียวฮูหยินประหลาดใจ “ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงปลดรับสั่งกักบริเวณหรือ เห็นแก่หน้าของฮองเฮา อีกทั้งฮองเฮาเพิ่งแท้งบุตร ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ก็ควรทรงปลดรับสั่งกักบริเวณ”
เยียนอวิ๋นฉีส่ายหน้า “ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงปลดรับสั่งกักบริเวณองค์หญิงเฉิงหยาง ราวกับเป็นเพราะฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยองค์หญิงเฉิงหยางอย่างมาก หวังว่าจะใช้โอกาสนี้ทำให้องค์หญิงเฉิงหยางสงบลง”
เซียวฮูหยินเลิกคิ้ว “องค์หญิงเฉิงหยางยอมแลกทั้งชีวิตเพื่อสนับสนุนฮ่องเต้ พระราชบุตรเขยจ้งบรรเทาความกังวลแทนฮ่องเต้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ข้าไม่เข้าใจเหตุใดฮ่องเต้จึงไม่พอพระทัยองค์หญิงเฉิงหยางมากเพียงนั้น หรือว่าองค์หญิงเฉิงหยางควักหัวใจให้เขาเป็นความผิดหรือ”
เยียนอวิ๋นฉีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงเบา “ฮ่องเต้ราวกับทรงต้องการคิดบัญชีย้อนหลัง พระองค์ยังทรงแค้นเคียงพระทัยที่องค์หญิงเฉิงหยางบังคับให้พระองค์อภิเษกกับฮองเฮาในตอนนั้น”
เซียวฮูหยินตำหนิ “เหลวไหล! แต่งก็แต่งแล้ว กี่ปีผ่านไปแล้ว สามีภรรยาทั้งสองก็ถือว่าอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ยังจะถือสาเรื่องใด ทุกคนต่างบอกว่าฮ่องเต้ไม่คิดอาฆาต นี่เรียกไม่คิดอาฆาตหรือ เห็นได้ชัดว่าบุรุษแก้แค้น สิบปีก็ยังไม่สาย
เจ้าได้ยินผู้ใดพูดว่าฮ่องเต้ยังทรงแค้นเคืองพระทัยที่ถูกบังคับให้แต่งงานในตอนนั้น หรือว่าเขาลืมไปแล้ว ตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังทรงมีชีวิตอยู่ เขาออกจากเมืองหลวงไปบรรเทาภัยพิบัติ องค์หญิงเฉิงหยางเป็นผู้ช่วยเหลือเขา เขาจึงทำภารกิจได้สำเร็จ อีกทั้งมีชีวิตรอดกลับมา เนื่องจากความดีความชอบนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงได้ทรงแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท ผู้คนต่างบอกว่าดื่มน้ำย่อมไม่ลืมคนขุดบ่อ เขาลืมเร็วเกินไปหรือไม่”
เห็นได้ชัดว่าเซียวฮูหยินไม่พอใจการกระทำที่ลืมบุญคุณของฮ่องเต้อย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้เพิ่งขึ้นครองราชย์ราวหนึ่งปี จะลืมบุญคุณในเวลานั้นได้เร็วเพียงนี้เชี่ยวหรือ
สตรีที่แต่งงานกับผู้ชายเช่นนี้ช่างโชคร้ายเสียจริง
เยียนอวิ๋นฉีครุ่นคิดพลันพูด “ข่าวลือนี้แปลกประหลาดเสียจริง แต่ข้าได้ยินขุนนางฝ่ายในข้างตัวท่านอ๋องพูด คงจะไม่ผิด”
“ขุนนางฝ่ายในข้างตัวเซียวเฉิงเหวินชอบนินทาเหมือนสตรีลิ้นยาวตั้งแต่เมื่อใด บังอาจแต่งเรื่องที่ไม่มีหลักฐาน”
“เหตุใดท่านแม่จึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน มีคนแต่งเรื่องขึ้นมา”
เซียวฮูหยินนวดขมับ “ข้าเชื่อว่าฮ่องเต้ไม่ทรงปลดรับสั่งกักบริเวณเพราะต้องการสั่งสอนองค์หญิงเฉิงหยาง แต่เจ้าบอกว่าเพราะเรื่องที่ถูกบังคับให้แต่งงานในเวลานั้น ฮ่องเต้จึงไม่ทรงปลดรับสั่งกักบริเวณ เหตุผลนี้ไม่สมเหตุสมผล อีกทั้งยังเหลวไหล
คนที่สร้างข่าวลือนี้ต้องการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้และตระกูลจ้งบาดหมาง ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างตระกูลจ้งและตระกูลเถา กลอุบายชั้นต่ำ แต่ว่าก็ได้ผลไม่น้อย เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยที่เชื่อข่าวลืมนี้เหมือนเจ้า”
เยียนอวิ๋นฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดขุนนางฝ่ายในข้างตัวท่านอ๋องจึงต้องหลอกข้า หรือว่าขุนนางฝ่ายในข้างตัวท่านอ๋องก็ถูกผู้อื่นหลอก”
เซียวฮูหยินชี้แนะ “หาสาเหตุว่าเหตุใดขุนนางฝ่ายในจึงพูดข่าวลือนี้กับเจ้า สู้ถามเซียวเฉิงเหวินเสียดีกว่าว่าข่าวลือนี้ เขาเป็นคนให้คนเผยแพร่ออกไปหรือไม่ หากไม่ใช่ ถึงเวลาต้องกำจัดคนข้างตัวเขาเสียทีแล้ว”
เยียนอวิ๋นฉีรับคำสอน “ขอบพระคุณท่านแม่ที่ชี้แนะ ข้าจะกลับไปถามให้กระจ่างบัดนี้”
“ไม่รีบ! กินข้าวก่อนค่อยไป น้องสี่เจ้ารู้ว่าเจ้ากลับมา เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ อีกทั้งยังจะเข้าครัวด้วยตนเอง”
เยียนอวิ๋นฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคงไม่อาจทรยศต่อน้ำใจของน้องสี่ ย่อมต้องอยู่กินให้อิ่มก่อน”
“สมควรเป็นเช่นนี้!”
…
อยู่จนฟ้าใกล้จะมืด เยียนอวิ๋นฉีจึงเดินทางกลับจวนอ๋อง
ส่วนลึกในใจของนางเชื่อว่าเซียวเฉิงเหวินไม่ใช่คนเลวทรามที่จะแพร่กระจายข่าวลือลับหลัง
เขาอาจมีข้อเสียจำนวนมาก
แต่ไม่รวมถึงการแพร่กระจ่ายข่าวลือของพี่น้องอย่างแน่นอน
นางลงจากรถม้าที่ประตูสอง จากนั้นจึงถามหญิงรับใช้ “ท่านอ๋องอยู่ที่ห้องตำราด้านนอกหรือไม่”
“รายงานพระชายา ท่านอ๋องอยู่ที่ห้องตำราด้านนอกเจ้าค่ะ”
เยียนอวิ๋นฉีไม่ได้กลับห้องไปล้างตัว หากแต่มุ่งหน้าไปยังห้องตำราด้านนอก
สามีภรรยานั่งเผชิญหน้ากัน
เซียวเฉิงเหวินรักษาตัวกว่าครึ่งปี อาการดีขึ้นมาก เพียงแต่สีหน้ายังคงซีดเผือด
เขาชงชาดอกไม้ให้เยียนอวิ๋นฉีด้วยตนเอง “ลองชิมรสชาติดู หากชอบ ปีหน้าสามารถทำเพิ่มขึ้น”
เยียนอวิ๋นฉีถือแก้วชาด้วยจิตใจเหม่อลอย
เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างกระจ่าง “มีเรื่องใดก็พูดเถิด ข้ากับเจ้าเป็นสามีภรรยากัน ไม่ต้องลำบากใจเช่นนี้”
เยียนอวิ๋นฉีมองเขา “ข้าได้ยินข่าวลือหนึ่ง ฮ่องเต้ไม่ทรงยอมปลดรับสั่งกักบริเวณองค์หญิงเฉิงหยางเพราะต้องการแก้แค้นที่ถูกบังคับให้แต่งงาน ข่าวลือนี้ได้ยินจากขุนนางฝ่ายในของท่าน วันนี้กลับจวนองค์หยิง ท่านแม่กลับตำหนิข้า บอกว่าข้าเชื่อฟังข่าวลือ โง่เขลายิ่งนัก ข้าจึงคิดว่าเรื่องนี้ขุนนางฝ่ายในของท่านหลอกลวงข้า หรือเรื่องมันเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”
“เจ้ากังวลเพราะเรื่องแค่นี้หรือ”
เซียวเฉิงเหวินยิ้ม พลันกุมมือของนาง “เจ้าเชื่อว่าข้าเป็นคนแพร่กระจายข่าวลือหรือไม่ ขุนนางฝ่ายในที่เจ้าพูด ข้าจะจัดการ”
เยียนอวิ๋นฉีตื่นเต้นเล็กน้อย “หากพูดเช่นนี้ ขุนนางฝ่ายในผู้นั้นจงใจหลอกข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”
เซียวเฉิงเหวินนวดขมับ “ย่อมไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าดูร่างกายของข้า ก่อเรื่องไม่ไหว! สถานการณ์ในเวลานี้ มีคนต้องการจับปลาในน้ำขุ่น ต่อจากนี้ได้ยินข่าวลือใด หากไม่แน่ใจจริงเท็จ เจ้ามาถามข้าได้อย่างตรงไปตรงมา ข้าสามารถช่วยเจ้าไขข้อสงสัย แยกแยะข้อเท็จจริง”
เยียนอวิ๋นฉีโล่งใจในทันที นางดื่มชาพลันพูดด้วยรอยยิ้ม “รสชาติดีมาก ปีหน้าให้คนทำเพิ่มมากขึ้นได้!”
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “ข้าลองชิมดู! มีแค่ตอนที่เจ้าอยู่กับข้า ข้าจึงมีโอกาสชิมชาดอกไม้ ตอนที่เจ้าไม่อยู่ เฟ่ยกงกงปากพร่อย ข้าดื่มชาดอกไม้แค่คำเดียว เขาก็พร่ำบ่นได้ทั้งวัน”
ฮ่าๆ…
เฟ่ยกงกงที่ถูกต่อว่าว่าปากพร่อยก็อัดอั้นใจยิ่งนัก
เยียนอวิ๋นฉีจากไปด้วยความพึงพอใจ ผู้ชายของนาง นางดูไม่ผิด
…
ภายในห้องตำราด้านนอกเงียบอย่างมาก
เปลวไฟส่ายไปบน บนกำแพงแสงและเงาพันเกี่ยวกัน
ราวกับมารปีศาจกำลังเคลื่อนไหว ทำให้คนเกิดความหวาดกลัว
เซียวเฉิงเหวินรับสั่งกับมุมมืด “ข้างกายข้าถึงเวลาต้องกำจัดแล้ว ข้าสามารถแทรกสายสืบไว้ในจวนผู้อื่น ผู้อื่นก็ย่อมแทรกสายสืบข้างกายข้า หลอกลวงพระชายา ไม่รู้คนเหล่านั้นคิดได้อย่างไร เหตุใดจึงมีคนไร้เดียงสาจนคิดว่าข่าวลือหนึ่งสามารถสั่นคลอนรากฐานของต้าเว้ยได้”
สวีกงกงเดินออกมาจากที่มืด “ถึงแม้ข่าวลือยังไม่ถึงกับสั่นคลอนรากฐานของราชวงศ์ต้าเว้ย แต่สามารถยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้และตระกูลจ้งได้ เมื่อตระกูลจ้งเกิดความไม่พอใจ จะยังมีผู้ใดดูแลสำนักเส้าฝู่ได้กีว่าพระราชบุตรเขยจ้งอีก
เมื่อไม่มีกำลังทรัพย์จากสำนักเส้าฝู่ สงครามทางเหนือก็ไม่อาจดำเนินไปได้ เสบียงที่ต้องใช้ในแต่ละเดือนล้วนเป็นตัวเลขมหาศาล ดูเหมือนอากาศกำลังจะหนาวเย็นอีกครั้ง ต้องเตรียมชุดนุ่นและผ้าห่มอีก สำนักการคลังคงหวังพึ่งไม่ได้ ราชสำนักทำได้เพียงพึ่งสำนักเส้าฝู่”
เซียวเฉิงเหวินพยักหน้าเบาๆ “เจ้าส่งคนไปสืบ ข่าวลือนี้แพร่ออกมาจากที่ใด โดยเฉพาะทางเจ้าใหญ่ เจ้าสามขึ้นครองราชย์ เขาไม่เคยจะยอมใจแต่แรก”
“ท่านอ๋องวางพระทัย ข้าน้อยจะสืบเรื่องให้กระจ่าง”
ทันทีที่สิ้นเสียง สวีกงกงก็หายลับไปในความมืด ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
…
สืบไปสืบมา สุดท้ายสืบไปถึงภายในพระราชวัง
ซึ่งก็หมายความว่า ข่าวลือนี้แพร่กระจายออกมาจากในวัง
มันช่างน่าคิดเสียจริง
เซียวเฉิงเหวินถามสวีกงกง “รู้ว่าผู้ใดปล่อยข่าวหรือไม่”
สวีกงกงครุ่นคิดพลันพูด “ดูจากเวลานี้ หากไม่มีเรื่องผิดพลาด คงถูกปล่อยออกมาจากตำหนักฉางเล่อ”
เซียวเฉิงเหวินขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าหมายถึงพระพันปี?”
“ข้าน้อยไม่ได้พูดสิ่งใด! เรื่องนี้ยังต้องให้ท่านอ๋องตัดสินด้วยตนเอง”
เซียวเฉิงเหวินเคาะโต๊ะเบาๆ “คนข้างกายข้ากำจัดไปรอบหนึ่งแล้ว ซักถามได้ความใดหรือไม่”
“ขุนนางฝ่ายในที่หลอกลวงพระชายาเป็นสายสืบที่ผู้อื่นแทรกซึมไว้ในจวนอ๋อง แต่ว่าคนตายจากการกินยาพิษปลิดชีพไปแล้ว ไม่ได้ความแต่อย่างใด แต่ก็ไม่มั่นใจว่าเป็นคนของเหมยเส้าเจี้ยนหรือไม่”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มเย็น “ทางองค์หญิงเฉิงหยางมีปฏิกิริยาอย่างไร”
“องค์หญิงเฉิงหยางคงป่วยเพราะความโกรธ นางป่วยอยู่บนเตียงต่อเนื่องหลายวันแล้ว ส่วนพระราชบุตรเขยจ้งไม่มีการเคลื่อนไหวใด แต่ละวันยังคงเหมือนเคย ราวกับไม่รู้เรื่องข่าวลือแม้แต่น้อย”
“หาทางกดข่าวลือนี้เอาไว้ ผู้ใดก็ได้ ปรนนิบัติข้าล้างตัวเปลี่ยนชุด ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าพระพันปี!”
เฟ่ยกงกงถลึงตาใส่สวีกงกง เขาเป็นกังวลอย่างมาก “ท่านอ๋องจะเข้าวังไปซักถามพระพันปีจริงหรือ พระพันปีย่อมไม่ยอมรับ ไม่แน่อาจหันกลับมาตำหนิท่านอ๋อง บอกว่าท่านอ๋องมือยาวเกินไป ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“เรื่องนี้ ข้าไม่สนใจไม่ได้ ถึงเวลาต้องเปิดเผยกับพระพันปี ข้าไม่สนใจความขัดแย้งระหว่างนางกับองค์หญิงเฉิงหยาง แต่นางไม่ควรใช้เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองมาล้อเล่น ตระกูลจ้งในวันนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว ตระกูลจ้งในวันนี้ หากแตะต้องจะกระทบทั้งหมด จะทำตามใจตัวองได้อย่างไร”
“แต่พระพันปีไม่มีทางฟัง”
“ครั้งนี้ นางจะฟังคำเกลี้ยกล่อมของข้า” เซียวเฉิงเหวินพูดอย่างหนักแน่น เขามั่นใจอย่างมาก
สวีกงกงได้ยินจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านอ๋องคิดจะพูดความจริงกับพระพันปีหรือ นางรู้แล้วจะสบายใจได้หรือ”
“ความจริงใดกัน”
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งสามคน ราวกับมีเพียงเฟ่ยกงกงที่ถูกปิดบัง
เซียวเฉิงเหวินครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้าคิดว่าถึงเวลาต้องพูดความจริง อีกทั้งถึงเวลาต้องหาผู้สืบทอดแล้ว”