คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 390 ใบหน้าไร้ประโยชน์
ตอนที่ 390 ใบหน้าไร้ประโยชน์
เยียนอวิ๋นถงเมา!
จากนั้นเขาทำเรื่องที่ขายหน้าเป็นอย่างมาก
เขากอดตู้ซินแส ร้องไห้โฮ
“น้องสี่จะแต่งงานแล้ว คนที่แต่งงานด้วยยังเป็นคนสารเลว ข้าเศร้า…หากน้องสี่แต่งงานไปแล้วไม่สนใจข้า ข้าจะทำอย่างไร…”
ฮือๆ…
เสียใจยิ่งนัก!
สองมือของตู้ซินแสไม่มีที่วาง เขาเบิกตาที่บริสุทธิ์มองไปทางท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ
เยียนโส่วจ้าน “…”
ฮ่าๆ…
เขาตลกอย่างมาก!
อยากรู้เสียจริง เมื่ออวิ๋นถงตื่นขึ้นมาจะมีสีหน้าอย่างไร
ดูว่าเขาจะกล้ายโสโอหังอีกหรือไม่!
“ท่านโหวไม่เกลี้ยกล่อม?” ตู้ซินแสกระซิบถาม
เยียนโส่วจ้านส่งเสียงไม่พอใจ “ปล่อยเขาร้องไป! ร้องพอแล้วก็จะหยุดเอง”
ดังนั้นตู้ซินแสพลางลวกเนื้อแพะ ในเวลาเดียวกันบนตัวก็มีเยียนอวิ๋นถงที่กำลังร้องไห้เกาะอยู่
ไม่ว่าผู้ใดเห็นเหตุการณ์นี้ก็อดหัวเราะไม่ได้
เยียนโส่วจ้านอารมณ์ดี จึงกินเนื้อแพะไปอีกสองจาน
บุตรสาวรีดไถเขา ขอเงินจากเขาทั้งวัน เขาก็ยังไม่ถือสา
มีเยียนอวิ๋นถงผู้ขี้แยก็เพียงพอที่จะปลอบประโลมหัวใจที่เจ็บปวดของเขา!
…
วันรุ่งขึ้น เยียนอวิ๋นถงตื่นขึ้นมาหลังจากสร่างเมา
เขาไม่ได้ลืมเรื่องหลังจากที่เมา เขาร้องไห้ อีกทั้งยังกอดคอตู้ซินแสร้องไห้ ปล่อยให้ท่านพ่อเห็นความน่าอายทั้งคืน
อ้าก…
เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!
อยากหารอยร้าวบนพื้นมุดเข้าไปเสียจริง!
น่าขายหน้าชะมัด
ดื่มสุราทำให้เสียแผนเสียจริง!
เขาหลบอยู่ในห้องกว่าครึ่งวัน ไม่ยอมออกไปพบคน
จนกระทั่งหลบต่อไปไม่ได้แล้ว จึงยอมออกจากประตูห้องมายังห้องสัญญา
เอ๊ะ?
สีหน้าของทุกคนเหมือนจะปกติอย่างมาก ไม่ได้ปรากฏเหตุการณ์ที่ทำให้เขาอับอายเหมือนที่จินตนาการ
มีเพียงตู้ซินแสที่ทำท่าเหมือนจะหัวเราะแต่ก็พยายามอดทนเอาไว้
เขากลอกตา คิดเสียว่าคนที่ขายหน้าเมื่อคืนไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นคนอื่น
เขา เยียนอวิ๋นถง นายน้อยรองของตระกูลเยียน เกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพ จะทำเรื่องขายหน้าเช่นนั้นได้อย่างไร
คนขี้แยเมื่อคืนไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน!
ย่อมต้องถูกวิญญาณตอนสองขวบเข้าสิงอย่างแน่นอน!
ตู้ซินแส “…”
ฮ่าๆ…
เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของนายน้องสอง ความสุขในอีกหนึ่งปีข้างหน้าก็มีแล้ว!
…
เมืองหลวง
เยียนอวิ๋นเกอมุ่งหน้าไปสำรวจงานที่เรือนพักร่ำรวย
เมื่อเซียวอี้ได้ข่าว ก็เดินทางตามไปยังเรือนพักร่ำรวย
อย่างไรเขาก็มีเวลาว่าง สู้ไปกับว่าที่สะใภ้ดีกว่า
ถึงแม้จะยุ่งมาก เขาก็ต้องหาเวลาว่างมาพบหน้า
สองปีนี้ เขาอยากพบอวิ๋นเกอสักครั้งเป็นเรื่องที่ยากมาก!
ระหว่างทาง เขาเดินทางมาถึงด่าน แต่กลับถูกกีดขวางเอาไว้
เหตุผลคือ เขาทั้งไม่มีป้ายคาดเอวสำหรับการผ่านทาง อีกทั้งยังเป็นคนแปลกหน้า
นอกจากนี้ แค่มองก็ดูเป็นบุคคลอันตราย
อาจเป็นคนที่ฝ่ายศัตรูคนใดส่งมาเพื่อสร้างความเสียหาย
ในฐานะองครักษ์ของเรือนพักร่ำรวย ลู่เฉินโจวตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยคนไม่ดีผ่านไปแม้แต่คนเดียว
ความคิดของเขาง่ายมาก ในเมื่อเขากินข้าวในเรือนพัก ก็ต้องแลกชีวิตเพื่อตอบแทนเรือนพัก!
อีกอย่าง เวลานี้เพียงแค่เฝ้าด่านเอาไว้ ยังไม่ต้องให้เขาใช้ชีวิตแลก
รับเงินเดือนสูง แต่ทำงานเพียงเท่านี้ หากยังทำได้ไม่ดี คงจะเสียเกียรติอย่างมากไม่ใช่หรือ
เขาเคยเป็นกบฏมาก่อน คนดีคนเลว ทั่วไปแล้วเขาสามารถแยกแยะออกด้วยการมอง
นายน้อยที่แต่งตัวดูดีตรงหน้าท่านดี เพียงแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี
เขาพึมพำเสียงเบากับหูเอ้อในกลุ่มเดียวกัน “ดูเอาไว้! อย่ามองว่าคนตรงหน้าแต่งงานสง่าเหมือนนายน้อย ความจริงแล้วล้วนเป็นการหลอกลวง เจ้าดูมือของเขา เต็มไปด้วยหนังด้าน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนที่ฝึกฝนการต่อสู้อยู่เป็นประจำ
ดูที่หน้าของเขา ใบหน้าขาวสะอาด แต่ดวงตากลับฉายแววดุร้าย หากข้ามองไม่ผิด มือของคนผู้นี้ย่อมแปดเปื้อนชีวิตคน คนประเภทนี้ก็คือบุคคลอันตรายที่เบื้องบนเน้นย้ำ จะให้เขาเข้าไปในเรือนพักไม่ได้เด็ดขาด”
หูเอ้อเป็นแค่มือใหม่ เขาไม่ได้รู้เรื่องมากนัก
เขาตื่นตระหนกเล็กน้อย “เขามองมาแล้ว มองมาแล้ว! พี่ลู่ พวกเราจะทำอย่างไร ต้องรายงานหัวหน้าเยียนหรือไม่”
“ไม่ต้อง! คนผู้นี้ ข้าจัดการเอง”
ลู่เฉินโจวส่งสัญญาณให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายต่างระมัดระวัง
เขาเผชิญหน้ากับเซียวอี้ “นายน้อยท่านนี้ ท่านทั้งไม่มีป้ายผ่านทางของเรือนพัก ทั้งบอกไม่ได้ว่ารู้จักผู้ใด ผู้ใดแนะนำท่านมา ขออภัยด้วย ปล่อยผ่ายไม่ได้! ท่านเชิญกลับไปเถิด!”
เซียวอี้ “…”
เขาอยากจะสบถออกมาเสียจริง
ใบหน้าของข้านี้ยังต้องการป้ายผ่านทาง?
มือใหม่จากที่ใดกัน ทำงานได้ตรงไปตรงมาเช่นนี้
เขากระแอมไอเสียงเบา “ข้ามาพบเถ้าแก่ของพวกเจ้า”
ลู่เฉินโจวยิ่งระมัดระวัง เขามองขึ้นลง พลันหัวเราะเสียงเย็นภายในใจ
คิดจะจับปลาในน้ำขุ่น นึกว่าเขาเขาจะกลัวเมื่อบอกว่ามาพบเถ้าแก่ คงจะดูถูกเขาเกินไป
เขาไม่ใช่มือใหม่ที่ไร้ประสบการณ์
สีหน้าของเขาดำทะมึน พูดเสียงดุ “ไม่มีป้ายผ่านทาง ไม่มีคนแนะนำ ปล่อยไปไม่ได้! นายน้อยเชิญกลับ! หากยังดื้อรั้นไม่ได้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ”
เซียวอี้ “…”
ช่างเป็นการเหยียดหยามเสียจริง
เขาเดินท่องอยู่ในยุทธภพมาหลายปี แม้แต่พระราชวังยังเข้าออกได้ แต่กลับถูกด่านเล็กๆ กีดขวางเอาไว้
หากแพร่กระจายออกไป เขาคงต้องขายหน้าอย่างมาก
จี้ซินแสที่นั่งอยู่บนรถม้าตลกอย่างมาก!
ไม่คิดว่านายน้อยของตนเองก็มีเวลาที่ไม่ประสบความสำเร็จ
เซียวอี้บีบนิ้วจนเสียงดัง
ฉึบ!
ลู่เฉินโจวชักอาวุธออกมา
เมื่อองครักษ์คนอื่นเห็นเข้า ก็ต่างชักอาวุธออกมาตามๆ กัน ทำท่าราวกับเผชิญศึกหนัก
เซียวอี้หัวเราะเสียงเย็น พร้อมทั้งกลอกตา พวกมือใหม่บังอาจชักอาวุธต่อหน้าเขา ไม่รู้คำว่า ‘ตาย’ เขียนอย่างไรเสียจริง
เขาพูดเสียงดัง “บอกเยียนหนานว่านายน้อยอี้มาเยือน! ให้เขาเปิดทาง!”
หูเอ้อรีบพูด “พี่ลู่ เขารู้จักหัวหน้าเยียน!”
“หุบปาก!”
ลู่เฉินโจวตำหนิ หูเอ้อจึงหุบปาก
เขาซักถามเซียวอี้ “คนในแถวนครบาลที่รู้จักหัวหน้าเยียนมีมากมาย อย่างไรแล้ว คนที่ไม่มีป้ายผ่านทางและไม่มีผู้แนะนำล้วนไม่อาจปล่อยผ่านได้ มันเป็นกฎของเรือนพัก ผู้ใดไม่ยกเว้น อีกอย่าง ท่านบอกว่ารู้จักหัวหน้าเยียน แต่หัวหน้าเยียนอาจไม่รู้จักท่านก็ได้”
เซียวอี้ “…”
เวลานี้ เขามีเพียงเสียงสบถ
เยียนอวิ๋นเกอไปหาคนพวกนี้มาจากที่ใดกัน แต่ละคนซื่อบื้อราวกับขอนไม้ ไม่รู้จักยืดหยุ่นแม้แต่น้อย
“หากเจ้าไม่เชื่อ ให้คนไปถามเยียนหนานว่าเขารู้จักข้าหรือไม่”
“หัวหน้าเยียนไม่ว่าง! ข้าให้เวลาท่านหนึ่งดอกธูป หากหลังจากหนึ่งดอกธูปท่านยังไม่ยอมจากไป อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
เซียวอี้หัวเราะ เขเริ่มโมโหแล้ว…
น่าโมโหยิ่งนัก!
พระราชวังยังเข้าได้ แต่กลับต้องถูกองครักษ์เล็กๆ รั้งเอาไว้
น่าอับอาย!
จี้ซินแสรูปลักษณ์ดี แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นซินแสที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ มีการศึกษา มีลักษณะของผู้เป็นใหญ่
เมื่อลู่เฉินโจวเห็นจี้ซินแส ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปหนึ่งร้อยแปดสิบองศา ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้ม
“ซินแสเดินทางมา เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยใช่หรือไม่! ไม่รู้ซินแสมาจากที่ใด มาเรือนพักร่ำรวยด้วยธุระอันใด”
จี้ซินแสหัวเราะ “น้องชายเกรงใจ! นายน้อยข้ายังเด็กไม่รู้ประสา หากพูดจาไม่เหมาะสม น้องชายโปรดอภัย พวกเรารู้จักกับเถ้าแก่และหัวหน้าเยียนหนานจริง นี่คือเทียบชื่อของข้า ขอให้น้องชายช่วยรายงานด้วย”
ลู่เฉินโจวยื่นสองมือออกไปรับเทียบชื่อด้วยควาเคารพ “ซินแสโปรดรอก่อน ข้าจะให้คนไปรายงานหัวหน้าเยียน หากตัวตนของซินแสไม่มีปัญหา รับรองว่าจะปล่อยให้เข้าไป”
“รบกวนน้องชาย!”
“ไม่รบกวน ไม่รบกวน! หากซินแสเหนื่อย ด้านข้างมีเพิงชา สามารถดื่มชาสักแก้ว ใบชาไม่ได้ดีมาก แต่ดีที่ดับกระหายได้”
ด้านขวาของด่านคือร้านน้ำชา
เอาไว้สำหรับบริการน้ำชาและอาหารให้พ่อค้าที่เดินทางผ่านไปมา
จี้ซินแสหัวเราะ “ข้าเดินท่องไปทั่วแผ่นดิน ไม่สนใจว่าน้ำชาจะดีหรือไม่ เดินทางมานานเพียงนี้ มีน้ำชาสักแก้วดับกระหายก็พอ นายน้อย ดื่มชาด้วยกันเถิด!”
เซียวอี้ “…”
มันคือการปฏิบัติที่แตกต่างกัน!
เพราะเหตุใดกัน ทั้งที่พูดด้วยความสุภาพเหมือนกัน เขาต้องถูกคงรังเกียจ ถูกคนสงสัย
แต่เมื่อจี้ซินแสปรากฏตัว ดูท่าทีเคารพของชายหนวดเฟิ้มตรงหน้า ช่างรังแกกันเกินไปแล้ว!
จี้ซินแสลากเซียวอี้เดินเข้าไปในเพิงชาอย่างอารมณ์ดี
หลังจากหัวเราะ เขาจึงพูดเสียงเบา “นายน้อยเกิดมาพร้อมกับรัศมีอำมหิต ผู้อื่นอาจไม่สังเกต แต่ชายหนวดเฟิ้มผู้นั้นมากประสบการณ์ เพียงแค่มองก็สังเกตได้ถึงความอันตรายของนายน้อย ถึงแม้ชายหนวดเฟิ้มจะมีท่าทีไม่ดีต่อนายน้อย แต่หากมองจากจุดยืนของเรือนพักร่ำรวย เขาก็ถือว่าทำตามหน้าที่!”
เซียวอี้ไม่สนใจว่าชายหนวดเฟิ้มนั้นทำตามหน้าที่หรือไม่
เวลานี้เขามีเพียงคำถามเดียว “ข้าหน้าตาโหดเหี้ยมหรือ”
ทั้งๆ ที่เขาก็เป็นนายน้อยที่สง่างาม เหตุใดแม้แต่คนแปลกหน้าก็รู้สึกว่าเขาเป็นบุคคลอันตราย
บนหน้าผากเขาไม่ได้สลักคำว่า ‘อันตราย’ แม้แต่น้อย!
จี้ซินแสหัวเราะ พลันพูด “คนทั่วไปมองคนจะมองเพียงภายนอก แต่คนที่ผ่านการฝึกฝนมานั้นย่อมจะมองพลัง! นายน้อยมีพลังความอาฆาตติดตัว อีกทั้งไม่ได้ชี้แจงตัวตน ชายหนวดเฟิ้มผู้นั้นย่อมระแวงนายน้อยเหมือนกับเผชิญศัตรู
อีกอย่าง ถึงแม้นายน้อยจะเปิดเผยตัวตน แต่องครักษ์ธรรมดาเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะรู้จัก คราวหน้า เรื่องแบบนี้นายน้อยอย่าได้ปรากฏตัวดีกว่า ระวังผู้อื่นจะตกใจกลัว ปล่อยให้บ่าวรับใช้จัดการเรื่องแบบนี้ ทั้งประหยัดเวลาประหยัดแรง!”
เซียวอี้ส่งเสียงไม่พอใจ
เขาถือว่าฟังเข้าใจแล้ว จี้ซินแสกำลังบอกว่าเขาโหดเหี้ยม ไม่ใช่คนดีแบบอ้อมค้อม
แต่มันก็โทษเขาไม่ได้
เนื่องจากนำทัพอยู่ตลอด บนตัวของเขาจึงมีพลังแห่งความอาฆาต ไม่อาจซ่อนเอาไว้ได้
แม่ทัพอย่างเยียนโส่วจ้านก็เช่นนี้
บนตัวมีพลังอำมหิตบางอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้!
ลู่เฉินโจวเป็นกบฏระยะหนึ่ง ถือได้ว่าเดินออกมาจากกองศพและทะเลเลือด เขาอ่อนไหวต่อคนประเภทเซียวอี้เป็นพิเศษ เพียงแค่มองก็สามารถแยกแยะได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีหรือไม่
…
ในขณะที่กำลังดื่มชา เยียนหนานก็ขี่ม้ามา
ทันทีที่ลงม้าเขาก็ถาม “นายน้อยอี้อยู่ที่ใด”
หูเอ้อชี้ไปที่เพิงชา เยียนหนานรีบเดินเข้าไป
ลู่เฉินโจวส่งเสียงจิ๊ปาก ปัดโธ่ เป็นนายน้อยจริงหรือ!
หูเอ้อกังวลอย่างมาก “พี่ลู่จะเดือดร้อนหรือไม่ ดูท่าทางนายน้อยท่านนั้นไม่ธรรมดา”
“ข้าไม่กลัวเดือดร้อน! ข้าแต่ปฏิบัติตามกฎ ข้าไม่ผิด”
ความจริงแล้วลู่เฉินโจวก็ไม่มั่นใจ เขาก็กลัวที่จะถูกคาดโทษ หักเงินรางวัล
เรือนพักร่ำรวยสวัสดิการสูง แต่เงื่อนไขก็สูงเช่นเดียวกัน
ไม่เคยใจอ่อนต่อการหักเงินเดือนหรือเงินรางวับ
หูเอ้อกังวลจนกระทืบเท้า “หรือไม่ รอเข้าผลัดเสร็จ ข้าไปหาหัวหน้าเยียนกับพี่ลู่ ชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
“ค่อยว่ากันเถิด! อย่างไรข้าก็ไม่ผิด!”
เขาไม่มั่นใจ แต่ก็ไม่ยอม
หากเบื้องบนกล่าวโทษ เขาย่อมไม่ปิดปากเงียบ!