คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 392 คุณหนูมีความสามารถ
ตอนที่ 392 คุณหนูมีความสามารถ
จี้ซินแสรู้สึกสนใจต่อทุกสิ่งในเรือนพักร่ำรวย
โดยเฉพาะ เมื่อเขารู้ว่าเรือนพักร่ำรวยใช้การทดสอบความสามารถและวัฒนธรรมในการเลื่อนขั้นนั้น เขายิ่งอดตกตะลึงไม่ได้
“มันไม่ได้คล้ายคลึงกับการสอบคัดเลือกขุนนางเลยหรือ”
“ซินแสมีความสามารถ! ข้าได้รับบทเรียนจากการสอบคัดเลือกขุนนาง จึงนำมาใช้ในการบริหารเรือนพัก เรือนพักร่ำรวยเล็ก ข้าคนเดียวก็ตัดสินใจได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนนอกมาแทรกแซง”
เยียนอวิ๋นเกอหุงชาด้วยตนเอง พลันเชิญจี้ซินแสลิ้มลอง
จี้ซินแสยกแก้วชาขึ้นเป่าเล็กน้อย ไม่รีบร้อนที่จะดื่มชา
“นายน้อยข้าได้แต่งงานกับคุณหนู ช่างเป็นเรื่องที่โชคดีเสียจริง”
เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้วยิ้ม “ซินแสพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไร ท่านกับข้าต่างรู้ดีว่าการแต่งานมาได้อย่างไร ทำให้ท่านพ่อโกรธจนกล่าวโทษฝ่าบาท เสียทั้งหน้าเสียทั้งเกียรติ เรือนพักร่ำรวยไม่รู้จะถูกแก้แค้นจากภายในวังเมื่อใด”
“คุณหนูสี่กังวลมากไปแล้ว! ไม่ว่าอย่างไร นายน้อยข้ารับรองว่าเรือนพักร่ำรวยจะไม่ถูกแก้แค้น นอกจากนี้ เรื่องแต่งงาน หากข้าดูไม่ผิด คุณหนูไม่ได้คัดค้าน ไม่ใช่หรือ”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “ข้าไม่คัดค้านการแต่งงานก็จริง แต่ไม่เท่ากับข้ายอมรับวิธีการของเขาได้ ซินแสอยู่ข้างนายน้อยเป็นเวลานาน สมควรชี้แนะให้เขาทำเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสม”
“ข้าหมดปัญญา!”
จี้ซินแสรู้สึกไม่เป็นธรรม
“คุณหนูก็รู้ นายน้อยมีการตัดสินใจที่แน่วแน่ มีความคิดมาก สถานการณ์ส่วนใหญ่ เขาย่อมไม่เลือกวิธีการเพื่อบรรลุจุดประสงค์ เวลานี้ข้าก็ไม่ปกป้องเขา พูดตามความจริง บนตัวเขามีปัญหามาก ทำให้คนอยากจะทุบเขาเสียที แต่สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือเขามีความจริงใจ เมื่อเขาเจาะจงคุณหนูแล้ว ก็ย่อมจะไม่นอกใจ เรื่องนี้ คุณหนูวางใจได้!”
น้ำเสียงของจี้ซินแสจริงใจ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องสร้างภาพจำที่ดีแทนเซียวอี้
เยียนอวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม “ถึงแม้วันหนึ่งเขาจะนอกใจ ข้าคิดว่าข้าก็ไม่ต้องกังวลนัก เขาต่างหากที่ต้องกังวล”
จี้ซินแสผงะไป จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา หัวเราะจนหนวดเคราสั่น
เขาพยักหน้าระรัว “คุณหนูพูดถูกต้องยิ่งนัก! ข้าดูถูกคุณหนูเกินไปเอง กิริยาท่าทางของคุณหนูแตกต่างตจากกุลสตรีนางอื่น ความคิดก็แปลกประหลาดกว่า แต่เมื่อลองไตร่ตรองดูก็รู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง ยกตัวอย่างวิธีการคัดเลือกพ่อบ้านของท่าน ข้าคิดว่ามันสมควรนำมาเป็นแบบอย่างมาก แต่ข้ายังมีข้อสงสัยหลายอย่าง ไม่รู้คุณหนูจะไขข้อสงสัยให้ข้าได้หรือไม่!”
“ซินแสเชิญถาม! เพียงแค่ข้าตอบได้ ข้าย่อมบอกกล่าวทั้งหมด!”
“ขอบพระคุณคุณหนู! ข้าจะไม่ถามคำถามต้องห้าม เรื่องนี้คุณหนูวางใจ!”
จี้ซินแสลูบเครา กลั่นกรองคำถามก่อนจะเอ่ยถามออกมา “เรือนพักร่ำรวยคงจะไม่แตกต่างจากเรือนพักอื่นนัก นอกจากบัญชีและพ่อบ้านบางคนที่รู้หนังสือ คนส่วนใหญ่แม้แต่ชื่อของตัวเองยังอ่านไม่ออก ข้าพูดถูกหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “ซินแสพูดถูก เรือนพักร่ำรวยไม่ได้แตกต่างจากเรือนพักอื่น บ่าวรับใช้ องครักษ์ ช่างฝีมือส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่พิการทางหนังสือ ไม่รู้จักหนังสือแม้แต่ตัวเดียว!”
“คำว่าพิการทางหนังสือใช้ได้ดี คุณหนูคิดจะผลักดันผู้มีความสามารถท่ามกล่างพวกเขา ราวกับไม่ว่าจะเป็นช่างฝีมือหรือองครักษ์ ล้วนต้องผ่านการทดสอบความสามารถและวัฒนธรรม”
“ความจริงแล้วการทดสอบไม่ได้มีเพียงสองสาขา เพียงแค่การทดสอบความสามารถก็แบ่งแยกออกเป็นหลายประเภท อาทิช่างฝีมือในโรงงานถักทอ ต้องสอบทั้งการทอด้าย การทอผ้า อีกทั้งยังต้องมีความสามารถในการซ่อมแซมเครื่องทอพื้นฐาน รองลงมาจึงจะเป็นการทดสอบวัฒนธรรม นอกจากนี้ งานที่แตกต่างกัน เนื้อหาการสอบวัฒนธรรมก็แตกต่างกัน”
“ข้าขอดูเนื้อหาการสอบวัฒนธรรมได้หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “ซินแสมาได้เวลาพอดี ข้าขอให้ซินแสช่วยข้าออกข้อสอบที่เข้าใจง่ายสักสองสามข้อได้หรือไม่”
เอ๊ะ?
“พูดเช่นนี้ เนื้อหาการสอบวัฒนธรรมยังไม่ได้กำหนด?”
“ใช่แล้ว! หารือกันมาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากพื้นฐานวัฒนธรรมของทุกคนอ่อนแอมาก ไม่อาจทดสอบยากเกินไป ซินแสมีความสามารถมาก ขอให้ซินแสโปรดชี้แนะ”
จี้ซินแสสนใจอย่างมาก “คุณหนูเกรงใจ! คุณหนูไม่รังเกียจที่ข้าโบราณคร่ำครึ ข้ายอมยินดีที่จะช่วยคุณหนูบรรเทาความทุกข์ เพียงแต่สิ่งที่ข้าร่ำเรียนมา แตกต่างจากเนื้อหาในห้องเรียนสอนหนังสืออย่างมาก กลัวแต่ข้อสองที่ออกมาจะไม่เหมาะสม มิหนำซ้ำยังจะเป็นอุปสรรคต่อการทดสอบวัฒนธรรม!”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “ซินแสไม่ต้องถ่อมตน! ข้าคิดว่าข้อสอบความรู้ทั่วไป ซินแสย่อมไม่มีปัญหา”
“ข้อสอบความรู้ทั่วไปประเภทใด” จี้ซินแสรู้สึกสนใจอย่างมาก เขาอยากรู้เกี่ยวกับการทดสอบของเรือนพักร่ำรวยยิ่งนัก
หากสามารถมีส่วนร่วมด้วย ย่อมเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม พลันพูด “อาทิของจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิการเดินทางออกไปข้างนอกควรระวังเรื่องใด แผ่นดินต้าเว้ยกว้างใหญ่ไพศาล เพียงแค่แถบนครบาลก็มีเนื้อหาที่คุณค่าแก่การเขียนมากมาย สามารถสอบเรื่องสินค้าและผลผลิตในแต่ละแค้วนของนครบาง หรือสอบเรื่องชื่อสถานที่ เหล่านี้ข้าล้วนจำแนกเป็นจ้อสอบความรู้ทั่วไป”
จี้ซินแสลูบเครา “เมื่อได้ยินคุณหนูพูดเช่นนี้ ข้าก็มีแนวทางบ้างแล้ว ตามที่ข้ารู้ ห้องเรียนหนังสือต้องรู้จักตัวหนังสืออย่างต่ำคือหนึ่งร้อยยี่สิบตัว หากต้องการทดสอบความรู้ทั่วไปของบรรดาช่างฝีมือและองครักษ์ภายในอักษรหนึ่งร้อยยี่สิบตัว คุณหนูให้โจทย์ที่ยากแก่ข้ายิ่งนัก!”
เยียนอวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม “ปัญหาเล็กเพียงนี้ ย่อมไม่ลำบากซินแส”
จี้ซินแสถามด้วยความอยากรู้ “ไม่รู้ว่าการทดสอบวัฒนธรรมระยะสองต้องรู้จักหนังสือมากน้อยเท่าใด”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “ว่าการทดสอบระยะสองต้องรู้จักหนังสืออย่างน้อยสามร้อยตัว พร้อมทั้งเขียนอ่านได้ นอกจากนี้ยังต้องคำนวณเลขได้”
“อ๋อ? ยังต้องสอนการคำนวณ?”
“ใช่แล้ว! ในชีวิตของทุกคนไม่อาจห่างจากการคำนวณได้ สอนพวกเขาคำนวณ ถึงแม้อนาคตจะออกจากเรือนพักร่ำรวยไปแล้ว แต่เมื่อไปถึงด้านนอก อย่างน้อยก็ไม่ถูกคนหลอก สามารถบริหารชีวิตในครอบครัวได้ดี!”
จี้ซินแสพูด “คุณหนูต่างหากที่มีความสามารถอย่างแท้จริง! ยอมเชิญซินแส สอนหนังสือและการคำนวณให้บรรดาช่างฝีมือและองครักษ์อย่างไม่แบ่งแยก มันคือบุญคุณอันใหญ่หลวง! ในพื้นที่ชนบท บุตรหลานชาวนาต้องการเรียนหนังสือ มันช่างเป็นเรื่องที่ยากนัก
ไม่มีเงินสามห้าก้วน อย่าได้คิดที่จะถูกอาจารย์ของสำนักเรียนแรกเริ่มรับเข้าไปเรียน ถึงแม้จะมีเงินสามห้าก้วน ก็รับรองว่าจะเรียนได้แค่ปีเดียว ปีหน้ายังต้องเสียเงินเพื่อขอเรียน! แต่เรือนพักร่ำรวยกลับสอนทุกคนเรียนหนังสือและคำนวณอย่างไม่คิดค่าตอบแทน บุญบารมีเช่นนี้ คุณหนูเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตหรือ”
จี้ซินแสชื่นชมอย่างมาก
เยียนอวิ๋นเกอก้มหน้ายิ้ม เขินอายเล็กน้อย
“ซินแสชื่นชม ข้าไม่อาจรับคำชมของซินแสเช่นนี้ได้ คนส่วนมากต่างคิดว่าการสอนหนังสือและการคำนวณให้ช่างฝีมือและองครักษ์อย่างไม่มีค่าตอบแทน ไม่เพียงสิ้นเปลืองทรัพยากรคนและทรัพย์ ทำให้คนเรียนหนังสือแปดเปื้อน อีกทั้งยังไร้ประโยชน์ มันช่างไร้วิสัยทัศน์ยิ่งนัก!”
“คุณหนูพูดมีเหตุผล! แต่ข้ายังอยากฟังความเห็นของคุณหนู!”
เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างจริงจัง “ยกตัวอย่างคำสั่งกองทัพที่ง่ายที่สุด ตามที่ข้ารู้ ภายในกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหมู่ หัวหน้ากอง หรือสูงถึงหัวหน้าทัพ หรือแม้แต่แม่ทัพที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่รู้หนังสือ
ผลเสียที่ใหญ่ที่สุดของการไม่รู้หนังสือก็คืออ่านคำสั่งกองทัพไม่เข้าใจ บนสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อ่านคำสั่งกองทัพไม่ออกอาจไม่เป็นอันใดชั่วคราว แต่ไม่เท่ากับจะปลอดภัยทั้งชีวิต รองลงมา แม่ทัพระดับล่างจำนวนมากมีความอาจหาญในการสู้รบ มีประสบการณ์การต่อสู้ที่พวกเขาซึมซับมาจากสนามรบ
บางทีอาจไม่เหมาะกับการทำสงครามขนาดใหญ่ แต่ก็สามารถมอบคุณค่าในการศึกษาอย่างดีให้แก่การต่อสู้ในระยะใกล้ชิดที่เป็นการทำสงครามขนาดเล็ก แต่เนื่องจากไม่รู้หนังสือ พวกเขาไม่อาจสืบทอดประสบการณ์การทำสงครามของตนเองต่อไป ไม่อาจทำให้ผู้คนรู้จักคนอย่างพวกเขานั้นก็เป็นคนที่มีความคิดมีแนวคิด เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังเช่นเดียวกัน
แต่ละยุคแต่ละสมัย ความเจริญรุ่งโรจน์มากน้อยเพียงใด ล้วนเป็นเพราะไม่รู้หนังสือ ประสบการณ์และความสำเร็จของบรรพบุรุษหลายสิบปีหรือนับร้อยปีจึงหายลับไปท่ามกลางแม่น้ำ ไม่มีผู้ใดรู้ คนรุ่นหลังคิดจะเดินตามเส้นทางของคนรุ่นก่อนอีกครั้ง ยังต้องเสาะหาสั่งสมประสมการณ์ใหม่ มันคือการสิ้นเปลืองอย่างมากรูปแบบหนึ่ง!”
จี้ซินแสพยักหน้าระรัว จากนั้นเขาก็พูดต่อ “คุณหนูพูดมีเหตุผล แต่สาเหตุที่คุณหนูมีความคิดเช่นนี้ ก็เพราะคุณหนูให้ความสำคัญกับความคิดของประชาชน ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา แต่คนอย่างคุณหนู ข้าคิดว่ามีเพียงจำนวนน้อย
คนทั่วไป หากพูดให้ถูกต้องคือตระกูลขุนนางนั้น ไม่เคยสนใจความคิดของประชาชนตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา คิดว่าประสบการณ์ของประชาชนไม่คุณค่าแก่การเอ่ยถึง ไม่คู่ควรแก่การเขียนเป็นตำรา สืบทอดไปยังคนรุ่นหลัง”
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยความเคร่งขรึม “มันเป็นเพราะตระกูลขุนนางมุ่งมั่นต่อการผูกขาดวัฒนธรรมและความรู้เสมอมา ความคิดของประชาชนไม่สำคัญในสายตาของพวกเขา เพียงแค่ใช้ชีวิตตามประเพณีที่พวกเขาเผยแพร่ก็ย่อมจะเป็นประชาชนที่ดี มิฉะนั้นก็จะเป็นประชาชนที่ไม่ดี เป็นโจร!”
จี้ซินแสมองเยียนอวิ๋นเกอ “ความคิดของคุณหนูอันตรายอย่างมาก! หากให้ตระกูลขุนนางรู้ความคิดของคุณหนู เรือนพักร่ำรวยจะอันตราย!”
เยียนอวิ๋นเกอเผยยิ้ม “ดังนั้น ข้าไม่เคยปริปากเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก มีความคิดใดก็แค่ดำเนินการภายในเรือนพักร่ำรวย บทสนทนาวันนี้ ขอให้ซินแสเก็บเป็นความลับ”
“ปากของข้าสนิทอย่างมาก เรื่องนี้คุณหนูวางใจได้ เพียงแต่ความคิดเหล่านี้ของคุณหนูเคยได้เอ่ยกับนายน้อยหรือไม่ พวกท่านต้องเป็นสามีภรรยากัน ข้าคิดว่าคุณหนูต้องพูดคุยกับนายน้อยบ้าง”
“ขอบพระคุณซินแสที่ตักเตือน! ความจริงแล้ว ความคิดเหล่านี้ นายน้อยอี้รู้ดี”
“อ๋อ?”
จี้ซินแสประหลาดใจอย่างมาก
เขาไม่รู้มาก่อนว่าทั้งสองคนเคยพูดคุยกันแล้ว
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม พลันพูด “บางครั้งปากไม่มีหูรูด พูดรั่วไหลออกไปต่อหน้าเขา เขารู้ดีแก่ใจ แต่ไม่เคยเปิดโปง ในเมื่อเขาไม่เอ่ยขึ้นเอง ข้าก็ไม่บังคับ ซินแสลองคุยกับเขาได้ ถามความเห็นของเขา”
“ข้าคิดว่า คุณหนูควรจะคุยกับนายน้อย ถามความคิดของเขาด้วยตนเอง พวกท่านสองคนเปิดเผยต่อกัน พูดคุยความคิดเห็นของตัวเอง หากมีขอขัดแย้ง เวลานี้ยังสามารถปรับปรุงได้! ข้าจะออกข้อสอบแทนท่าน พยายามถามคำถามที่ชัดเจนภายในตัวอักษรหนึ่งร้อยยี่สิบตัว”
“ลำบากซินแส!” เยียนอวิ๋นเกอโน้มตัวเล็กน้อย คำนับตามพิธีของผู้น้อยกว่า
“คุณหนูเกรงใจ! สามารถช่วยเหลือคุณหนู มีส่วนร่วมในการทดสอบวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้าเป็นเกียรติยิ่งนัก! หวังว่าข้าจะสามารถรับหน้าที่นี้ ไม่ทำให้บรรดาผู้สอบรู้สึกว่าคำถามของข้าเข้าใจยาก”
ฮ่าๆ…
การออกข้อสอบให้ผู้สอบกลุ่มหนึ่งที่เฉลี่ยแล้วรู้จักหนังสือเพียงร้อยกว่าตัวช่างเป็นบททดสอบเสียจริง!