คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 397 บีบบังคับให้สละราชบัลลังก์
ตอนที่ 397 บีบบังคับให้สละราชบัลลังก์
บรรดาขุนนางต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน
ในที่สุดก็มีคนยืนออกมา
“กระหม่อมบังอาจ ฝ่าบาทอาจไม่ทรงเป็นผู้มีบุญบารมี!”
“บังอาจ!” พระพันปีเถาตวาดเสียงดัง นางโกรธจนหน้าสั่น
แต่ในเมื่อเริ่มต้นขึ้นแล้วก็ไม่มีทางให้หันหลังกลับ
มีขุนนางจำนวนมากขึ้นยืนออกมา
“ทูลพระพันปี ลองนับเรื่องต่างๆ หลังจากที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องดีหรือไม่”
“หนึ่งถึงสองปีสุดท้ายของฮ่องเต้องค์ก่อน ราชสำนักก็ยากลำบากเหมือนกัน อีกทั้งยังเกิดภัยแล้งขนาดใหญ่ตั้งแต่เหนือจรดใต้อย่างหาพบได้ยาก เสบียงขาดแคลน โจรกบฏอาละวาด ซีหยงบุกลงใต้…ภัยธรรมชาติและภัยจากคนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เวลานั้นฮ่องเต้องค์ก่อนก็ทรงก้าวผ่านไปได้อย่างราบรื่น ซีหยงพ่ายแพ้ ภัยพิบัติได้รับการบรรเทา”
“แต่นับจากฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ ราชสำนักวุ่นวายไม่หยุด เรื่องก็ไม่เห็นจะดีขึ้น เรื่องร้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กองทัพเหนือพ่ายแพ้ โจรกบฏยังคงไม่ถูกปราบปราม สำนักเซ่าฝู่ขาดแคลนเงิน นอกจากนี้อวี้สื่อเหลียงโจวยังมาล้มป่วยในเวลาสำคัญของสงคราม ใต้เท้าชุยจำเป็นต้องละทิ้งพื้นที่ที่ยึดคืนได้…”
“เรื่องร้ายเกิดขึ้นต่อเนื่องทีละเรื่อง ไม่เคยมีหยุดหย่อนแม้แต่น้อย”
“เวลานี้เมืองหลวงมีคนไม่ต่ำกว่าร้อยต้องหนาวตายในแต่ละวันเพราะอากาศที่หนาวเย็น บรรดานักการต้องขนศพเป็นคันรถออกไปฝังที่นอกเมืองทุกวัน”
“เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นลางไม่ดี!”
“เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทไม่ทรงเป็นผู้มีบุญบารมี”
“กลัวเพียงฝ่าบาทจะทรงเป็นดวงแห่งความชั่วร้าย ตราบใดที่ยังทรงประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร แผ่นดินต้าเว่ยก็จะเกิดหายนะไม่ขาดสาย!”
“หุบปาก หุบปากให้หมด!”
พระพันปีเถาทนฟังต่อไม่ไหว พูดขัดเสียงวิจารณ์ของบรรดาขุนนางเสียงดัง
สีหน้าของนางดำทะมึน ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ
“ผู้ใดปล่อยคำพูดเหล่านี้ออกมา ผู้ใดกำลังกุเรื่องเท็จสร้างปัญหา บอกมา!”
“พระพันปีทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ไม่มีผู้ใดกุเรื่อง แต่มันล้วนเป็นคำพูดจากใจของพวกกระหม่อม ขอพระพันปีโปรดทรงพิจารณา!”
พระพันปีเถาโกรธจนตัวสั่น “พวกเจ้าพูดเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด พวกเจ้าคิดจะทำสิ่งใด ฝ่าบาททรงลำบากเพียงนี้แล้ว พวกเจ้าคิดจะบีบเขาให้เสียสติหรือ”
“ขอพระพันปีทรงตัดสิน!”
“ตัดสินอันใด พวกเจ้าพูดมาให้กระจ่าง ตัดสินอันใด”
พระพันปีเถาโกรธจนเขวี้ยงเหยือกชาทิ้ง
ภายในตำหนักใหญ่เกิดเสียงดัง ทำให้ข้าหลวงนอกตำหนักต่างตกใจ
บรรดาขุนนางเห็นพระพันปีเถาทรงโกรธเช่นนี้ จึงอดที่จะแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้
“กระหม่อมบังอาจ ทูลขอพระพันปีโปรดทรงเรียกคืนตราประทับในมือของฝ่าบาท ให้พระพันปีทรงดูแลราชสำนักแทนชั่วคราว!”
“เหลวไหล!”
พระพันปีเถาด่าออกมาโดยไม่สนใจฐานะ
นางชี้บรรดาขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์ “พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดรู้ตัวหรือไม่ พวกเจ้ากำลังบีบบังคับให้ฝ่าบาททรงสละราชบัลลังก์ กำลังก่อกบฏ กำลังเป็นโจรกบฏ! พวกเจ้ากำลังใส่ร้ายข้า บาดหมางความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและบุตรของข้ากับฝ่าบาท
ผู้ใดก็ได้ เชิญฝ่าบาทมา! นอกจากนี้เชิญท่านอ๋องผิงชิน และหัวหน้าตระกูลทั้งหลายมาด้วย วันนี้ต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ พวกเจ้ากล้าที่จะพูดสิ่งที่เคยพูดก่อนหน้านี้อีกครั้งหรือไม่ กล้าหรือไม่”
“อย่าว่าแต่ต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ ถึงแม้จะต้องพูดต่อหน้าคนทั่วแผ่นดิน พวกกระหม่อมก็ต้องพูดตามความจริง ฝ่าบาทไม่ทรงเป็นคนมีบุญบารมี พระองค์ทรงเป็นดาวร้าย พระองค์มีแต่จะทำลายราชวงศ์ต้าเว่ย ทำลายแผ่นดิน!”
“ขอพระพันปีทรงยึดแผ่นดินต้าเว่ยเป็นสำคัญ ยึดราษฎรในใต้หล้าเป็นสำคัญ!”
“พระพันปีย่อมไม่ทรงอยากเป็นคนบาปของราชวงศ์ต้าเว่ย! ขอพระพันปีโปรดทรงตัดสินพระทัยที่ถูกต้อง”
พระพันปีเถาชี้ไปที่ขุนนางที่กำลังพูด “พวกขุนนางต่ำทรามอย่างพวกเจ้าต้องไม่ตายดี! สิ่งใดคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง พวกเจ้ากำลังบังคับให้ข้าปลดฮ่องเต้รู้หรือไม่ ฝ่าบาททรงเป็นผู้สืบทอดที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงแต่งตั้ง พวกเจ้าจะล้มการตัดสินใจของฮ่องเต้องค์ก่อนหรือ พวกเจ้ากำลังก่อกบฏ สร้างความวุ่นวาย”
“ฮ่องเต้องค์ก่อนอาจทรงตัดสินพระทัยผิดพลาด! อีกทั้งพวกกระหม่อมไม่ได้ทูลขอให้ถอดถอนฮ่องเต้ เพียงแค่ขอให้พระพันปีทรงเรียกคืนตราประทับในมือของฝ่าบาท ดูแลราชสำนักแทนฝ่าบาทชั่วคราว”
“พวกเจ้าให้ข้าเป็นแกนนำในการยึดอำนาจฝ่าบาท มันไม่ใช่การบีบให้ฝ่าบาทสละราชบัลลังก์หรือ มันไม่ใช่การก่อกบฏหรือ ผู้ใดก็ได้ พวกเจ้าหูหนวกหรือ รีบไปเชิญฝ่าบาทมา เชิญเชื้อพระวงศ์มา ให้ราชองครักษ์เฝ้ารักษาการอย่างเข้มงวด องครักษ์จินอู่ออกตรวจตรา!”
พระพันปีเถาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีลังเล
บรรดาขุนนางต่างมองหน้ากัน ถึงแม้จะผิดหวังต่อปฏิกิริยาของพระพันปีเถาบ้าง แต่ก็ไร้ความหวาดกลัว
พวกเขาเป็นคนที่บ้าคลั่ง!
พวกเสียสติ!
บ้าระห่ำไม่กลัวตาย เหิมเกริมจนลืมแซ่ของตัวเอง
บรรยากาศภายในวังหลวงตึงเครียดขึ้นมาทันใด
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้เสด็จมายังตำหนักฉางเล่อด้วยสีหน้าดำทะมึน
ก่อนมา เขาได้รับรู้เนื้อหาการสนทนาในตำหนักฉางเล่อแล้ว
ช่างทิ่มแทงใจ!
บรรดาขุนนางกำลังทิ่มแทงใจเขาอย่างเห็นได้ชัด!
คิดจะใช้คำพูดฆ่าเขาให้ตาย!
ในท้องของฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้เต็มไปด้วยไฟโกรธ ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาต
เขาอยากจะประหารโจรกบฏเหล่านี้ทิ้งเสีย ไม่เพียงจะประหารพวกเขา ยังจะประหารตระกูลของพวกเขาด้วย
การมาถึงของเขา ไม่ทำให้ใบหน้าของบรรดาขุนนางแสดงออกถึงความละอายแม้แต่น้อย
อีกทั้งพวกเขายังจ้องมองฮ่องเต้ด้วยสายตาโกรธเคือง!
ราวกับหายนะทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเพราะฮ่องเต้!
ท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวินรวมทั้งบรรดาเชื้อพระวงศ์ต่างก็เดินทางมาถึง
ทั้งตำหนักฉางเล่อถูกราชองครักษ์ปิดล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา
ข้าหลวงถูกควบคุมเอาไว้ทั้งหมด รับรองว่าจะไม่มีเรื่องใดรั่วไหลออกไปแม้แต่น้อย
บรรดาพระสนมในวังหลังต่างมองหน้ากันเนื่องจากไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ก็สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ
ฮองเฮาจ้งซูอวิ้นรีบให้คนไปตามบิดา พระราชบุตรเขยจ้งเข้าวัง แต่ไม่คิดว่าจะถูกข้าหลวงรั้งเอาไว้ที่หน้าประตูวัง
ไม่มีรับสั่งของพระพันปี วันนี้ไม่มีผู้ใดเข้าออกได้
“ย่อมต้องเกิดเรื่องอย่างแน่นอน! เกิดเรื่องที่ใหญ่หลวง”
จ้งซูอวิ้นในฐานะฮองเฮาเพียบพร้อมด้วยความรู้ทางการเมืองพื้นฐาน
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ นางก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
“ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทไม่ทรงอยู่ในตำหนักซิงชิ่ง เวลานี้ทุกคนต่างอยู่ที่ตำหนักฉางเล่อ ตำหนักฉางเล่อถูกราชองครักษ์ปิดล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่แมลงก็บินเข้าไปไม่ได้เพคะ”
จ้งซูอวิ้นรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาทันที
“ส่งคนไปจับตาดูตำหนักฉางเล่อเอาไว้ หากมีการเคลื่อนไหวใด รีบมารายงานข้า”
“เพคะ!”
…
ภายในตำหนักฉางเล่อ บรรยากาศตึงเครียดและจริงจัง
อากาศราวกับกำลังเดือดดาล แต่ละคนล้วนเหงื่อตก
บรรดาขุนนางเหล่านี้ใจกล้าเพียงใด
บังอาจตำหนิฝ่าบาทว่าเป็นดาวร้าย ไม่ใช่ผู้มีบุญบารมี ทำลายแผ่นดินต้าเว่ย
“พวกเจ้าจะก่อกบฏหรือ”
“พวกเจ้ามีเจตนาอย่างไร ในสายตายังมีฮ่องเต้อยู่หรือไม่”
“ขอพระพันปีทรงรับสั่งให้ประหารขุนนางชั่วเหล่านี้เสีย ย่อมไม่อาจให้พวกเขาเดินออกจากตำหนักฉางเล่อได้!”
บรรดาเชื้อพระวงศ์ขุ่นเคือง พวกเขาต่างตำหนิบรรดาขุนนางแทนฮ่องเต้
บรรดาขุนนางหัวเราะเสียงเย็น
“ถึงแม้วันนี้ชีวิตของพวกข้าจะหาไม่ พวกข้าก็ไม่มีทางกลับคำ พวกท่านลองไตร่ตรองดู นับแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา แผ่นดินต้าเว่ยเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยอุปสรรค สถานการณ์ที่ดีขึ้นในเดิมทีย่ำแย่ลงอย่างกะทันหัน! มันไม่ใช่ลางร้าย แต่เป็นลางดีอย่างนั้นหรือ”
“เชื้อพระวงศ์ทุกท่านอย่าได้หลอกตัวเองอีกเลย! ข้าไม่เชื่อว่าพวกท่านไม่เคยพร่ำบ่นถึงหายนะที่เกิดขึ้นในสองปีนี้ลับหลัง ไม่เคยคิดว่าดวงชะตาของฝ่าบาทอาจขัดแย้งกับดวงชะตาของแผ่นดินต้าเว่ย!”
“พูดจาเหลวไหล! เคยได้ยินแต่ขัดแย้งกับคนในครอบครัว ขัดแย้งกับมิตรสหาย แต่ไม่เคยได้ยินว่าขัดแย้งกับดวงชะตาบ้านเมือง ดวงชะตาของแผ่นดินต้าเว่ยจะเปลี่ยนแปลงเพราะคนเพียงคนเดียวได้อย่างไร”
“ผู้อื่นไม่ได้ แต่ฝ่าบาทย่อมได้! ฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์ของแผ่นดินต้าเว่ย พระองค์เพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของแผ่นดิน มีอิทธิพลต่อสถานการณ์ของแผ่นดิน ส่งผลกระทบต่อดวงชะตาของบ้านเมือง”
“เหลวไหลสิ้นดี!”
พระพันปีเถาตวาด
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ใช้น้ำเสียงที่แหบพร่าถาม “นับแต่ข้าขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา ข้าเหน็ดเหนื่อยไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่วันเดียว เรียกได้ว่าขยันขันแข็ง พวกเจ้าบอกว่าข้าทำลายแผ่นดินต้าเว่ยนั้นมีหลักฐานหรือไม่ ข้าตัดสินใจใดผิดพลาดบ้าง ข้าเคยลุ่มหลงมัวเมาหรือไม่ ข้าเคยฟังคำยุยงหรือไม่ พวกเจ้าสร้างความเดือดร้อนเพื่อบีบบังคับให้ข้าสละราชบัลลังก์ พวกเจ้ากำลังก่อกบฏ! พวกเจ้าสมควรตาย!”
“พวกกระหม่อมสมควรตาย แต่ฝ่าบาททรงคิดว่าทุกสิ่งเป็นลิขิตสวรรค์จริงหรือ หายนะจากคนและธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์มักเลวร้ายลงในช่วงที่ดีขึ้น มันเป็นลิขิตสวรรค์จริงหรือ”
“ไม่ใช่ลิขิตสวรรค์ จะเป็นฝีมือมนุษย์อย่างนั้นหรือ ข้ากำลังทำลายแผ่นดินต้าเว่ยใช่หรือไม่ บังอาจ!”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้กุมคอด้วยความเจ็บปวดยากที่จะทนได้
“ฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์ก็คือดวงชะตาบ้านเมือง นับแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา ไม่เคยราบรื่นแม้แต่วันเดียว มันคล้ายคลึงกับดวงชะตาบ้านเมือง สองปีนี้ ดวงชะตาของต้าเว่ยตกต่ำอย่างเห็นได้ชัด ฝ่าบาทไม่ทรงสำนึกบ้างเลยหรือ”
“เจ้าสมควรตาย!” ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ชี้ไปที่ขุนนางที่พูด “เจ้าจะถูกประหารเก้าชั่วโคตร!”
“ถึงแม้จะทรงประหารกระหม่อมเก้าชั่วโคตร กระหม่อมก็จะพูดให้จบ! ฝ่าบาทไม่ทรงคิดมาก่อนหรือว่าดวงชะตาของพระองค์อาจส่งผลกระทบต่อดวงชะตาของบ้านเมือง ฝ่าบาททรงเป็นดาวร้าย ไม่ควรแปดเปื้อนราชสำนัก ไม่ควรชี้นิ้วปกครองแผ่นดิน!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า ข้า…”
พระพันปีเถากดมือของฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้เอาไว้แน่น เตือนเขาไม่ให้เสียสติ
เขามองพระพันปีเถาด้วยดวงตาแดงก่ำ
พระพันปีเถาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พระอาการของฝ่าบาทไม่ดี ไม่สะดวกในการพูด ฝ่าบาททรงฟังว่าทุกคนจะพูดอย่างไรก่อน!”
เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ได้!”
พระพันปีเถานั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตากวาดผ่านใบหน้าของทุกคน “พูดมา เรื่องเท็จเหล่านี้ถูกส่งออกมาจากที่ใด ผู้ใดกำลังกุเรื่องใส่ร้ายฝ่าบาท บอกว่าฝ่าบาททรงเป็นดาวร้าย ผู้ใดกันแน่ ไม่พูดใช่หรือไม่ ข้าย่อมมีวิธีสืบ”
“ไม่มีผู้ใดนินทาฝ่าบาท ยิ่งไม่มีผู้ใดกุเรื่อง ฝ่าบาททรงเป็นดาวร้ายเป็นความคิดที่ตรงกันของพวกกระหม่อม ขอพระพันปีโปรดทรงพิจารณา!”
“เหลวไหล!”
พระพันปีเถากวาดตาจ้องมองเซียวเฉิงเหวิน
“ท่านอ๋องผิงชิน เหตุใดเจ้าจึงไม่พูด”
เซียวเฉิงเหวินกระแอมไอหนึ่งที ก่อนจะพูดเสียงเบา “สร้างเรื่องหลอกลวง บีบเค้นฝ่าบาทให้ทรงสละราชบัลลังก์ สมควรตาย ประหารเก้าชั่วโคตร! บอกว่าฝ่าบาททรงเป็นดาวร้าย เรื่องนี้เป็นการกุเรื่องเท็จ เห็นได้ชัดว่ามีคนทะเยอทะยาน คิดจะสั่นคลอนรากฐานของต้าเว่ย ยิ่งสมควรตาย!”
พระพันปีเถาพยักหน้าระรัว “มีเหตุผล! พวกเจ้าล้วนสมควรตาย!”
“ท่านอ๋องผิงชินรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องดาวร้ายไม่เป็นจริง ท่านอ๋องผิงชินเคยให้คนทำนายดวงชะตาบ้านเมืองมาก่อนหรือ” บรรดาขุนนางซักถาม
เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเสียงเย็น “ข้าย่อมไม่เคยทำนายดวงชะตาบ้านเมือง ข้าขอถาม บนแผ่นดินนี้ ผู้ใดมีความสามารถทำนายดวงชะตาบ้านเมือง ผู้ใดกล้าทำนายดวงชะตาบ้านเมือง ดวงชะตาบ้านเมืองสัมพันธ์กับชีวิตของราษฎรนับพันนับหมื่น คนธรรมดาจะทำนายได้อย่างไร”