คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง - ตอนที่ 409 ท่าทีแข็งกร้าว
ตอนที่ 409 ท่าทีแข็งกร้าว
หลิงฉางจื้้อไม่เคยทำให้คนผิดหวัง
ภายใต้การจัดระเบียบของเขา กองทัพใต้มีภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น พลทหารเดินออกมาจากความหมองมัวแห่งการพ่ายแพ้สงคราม ฟื้นคืนกำลังใจ
เมื่อมีกำลังในการสู้รบแล้ว หลิงฉางจื้้อจึงทูลขอพระราชโองการออกรบ
ไม่อาจปล่อยให้โจรกบฏยโสโอหังเช่นนี้ ย่อมจะต้องดับความฮึกเหิมของโจรกบฏเสียหน่อย
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ลังเลอย่างมาก
“เฝ้าเมืองไว้ไม่ดีหรือ โจรกบฏไม่มีทางบุกเข้ามาได้อย่างแน่นอน การออกไปสู้รบนอกเมือง แพ้ชนะยากที่จะคาดเดา!”
หลิงฉางจื้้อทูลเสียงดัง “ฝ่าบาททรงปรีชา! โจรกบฏอวดดีอยู่หน้ากำแพงเมืองมาเกือบเดือนแล้ว หากไม่ออกไปสู้รบนอกเมืองจะทำลายขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร! ผู้คนต่างจะคิดว่ากองทัพใต้ถูกโจมตีจนไม่เหลือกำลังการต่อสู้ ทุกคนต่างจะคาดหวังให้กองทัพอวี้โจวมาช่วยเหลือ คาดหวังให้โกดังหลวงสนับสนุนเสบียง
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป กระหม่อมเกรงว่าจะมีเรื่องที่ไม่อาจบรรยายได้เกิดขึ้น มีเพียงการปล่อยให้กองทัพใต้ออกไปเผชิญหน้ากับศัตรู แสดงถึงความมุ่งมั่นของราชสำนักเท่านั้นจึงจะสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนในเมืองหลวงได้อย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งยังสามารถใช้โอกาสนี้ในการกดราคาสิ่งของ! กระหม่อมวิงวอนฝ่าบาทให้คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมก่อน ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้กระหม่อมนำกองทัพออกไปเผชิญข้าศึก!”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ยังคงลังเล
“หากออกไปสู้รบนอกเมืองแล้วพ่ายแพ้ขึ้นมา จะยิ่งทำให้พลทหารเสียขวัญกำลังใจไม่ใช่หรือ”
“แต่หากชนะ ก็จะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ถึงแม้จะไม่ชนะ แต่หากรบเสมอกันได้ ก็ถือเป็นชัยชนะ”
“เจ้าให้ข้าไตร่ตรองดูก่อน!”
“ฝ่าบาท เวลาไม่คอยท่า ขอฝ่าบาทโปรดทรงตัดสินพระทัยโดยเร็ว!”
หลิงฉางจื้้อเพิ่มระดับเสียงให้สูงขึ้น ท่าทีไม่ยอมแพ้หากไม่บรรลุเป้าหมาย ทำให้ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้กลัวเล็กน้อย
บีบเค้นฮ่องเต้หรือ
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา
เวลานี้ คนที่เขาสามารถพึ่งพาและเชื่อใจได้มีไม่มาก
ความประพฤติหลายปีนี้ของหลิงฉางจื้้อ ทุกคนต่างเห็นกับตา
เขาไม่อาจทำให้ขุนนางเสียใจในเวลานี้
ดังนั้นเขาจึงถาม “ใต้เท้าหลิงมั่นใจว่าจะชนะหรือไม่ หากไม่มั่นใจ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ยังต้องหารือกันระยะยาว อาทิ รอแม่ทัพท้องถิ่น รวมไปถึงกองทัพอวี้โจวมาสนับสนุน หากทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันต่อต้านโจรกบฏ จะยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะชนะ”
“ฝ่าบาท การรบ แพ้ชนะมีโอกาสเพียงครึ่งต่อครึ่งเสมอ ไม่เคยมีการสู้รบที่จะชนะได้เต็มร้อย”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้พูดเสียงเบา “แต่กองทัพเหนือแต่ก่อนก็ทำสงครามได้ชนะอย่างเต็มร้อย”
หลิงฉางจื้้อพูดเสียงดัง “ดังนั้น เมื่อกองทัพเหนือพ่ายแพ้จึงพ่ายแพ้ทั้งหมด ไม่มีแม้แต่โอกาสจัดระเบียบกองทัพใหม่ เมื่อทำสงครามตามลมจนเคยชิน เมื่อพ่ายแพ้ขึ้นมา ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรงกว่ากองทัพขบวนอื่น
กองทัพขบวนอื่นอย่างน้อยยังมีประสบการณ์ในการพ่ายแพ้สงคราม รู้ว่าต้องจัดการอย่างไรจึงจะลดการสูญเสียได้หลังพ่ายแพ้สงคราม แต่กองทัพเหนือชนะจนเคยชิน รู้แต่เพียงการสู้รบจนตัวตาย
กองทัพเหนือที่ราชสำนักเสียเงินและเสบียงจำนวนมากเลี้ยงเอาไว้จึงถูกโจมตีจนล่มสลาย
ดังนั้น ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลว่ากองทัพใต้จะแพ้ ถึงแม้จะแพ้ กระหม่อมก็มีวิธีกอบกู้ความเสียหาย จัดระเบียบกองทัพใหม่! ไม่มีทางสู้จนตัวตายเหมือนแม่ทัพเซวียเสวีย”
เซวียเสวียเดิมทีเป็นรองแม่ทัพกองทัพเหนือ ต่อมารับตำแหน่งแม่ทัพกองทัพใต้ต่อจากเซียวอี้
ประสบการณ์การทำสงครามของเซวียเสวียล้วนเลียนแบบกองทัพเหนือ
ข้อดีคือทำสงครามอย่างกล้าหาญ!
ข้อเสียคือ ตราบใดที่แพ้สงคราม ผลที่ตามมาจะร้ายแรงอย่างยิ่ง
การสู้รบจนตัวตาย บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องดี!
การรบจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงวิธีการรับมือ ไม่ใช่แค่การปะทะอย่างเดียว!
เพียงแค่เป็นคนก็มองออก ท่าทีของหลิงฉางจื้้อแข็งกร้าวอย่างมาก
ไม่บรรลุเป้าหมาย ย่อมไม่ยอมแพ้!
เห็นได้ชัดว่ากำลังบีบบังคับ
บรรดาข้าหลวงต่างตกตะลึง
ขุนนางราชสำนักคนอื่นต่างก้มหน้า แต่ไม่โต้แย้ง
ยิ่งไม่มีผู้ใดยืนออกมาตำหนิหลิงฉางจื้้อ
ท่ามกลางขุนนางวัยกลางคน เห็นได้ชัดว่าหลิงฉางจื้้อเป็นผู้นำ
หากผ่านไปอีกสิบยี่สิบปี ไม่มีเรื่องใดผิดพลาด เขาย่อมจะเป็นอัครมหาเสนาบดีของราชสำนัก ใช้วาจาตัดสินการอยู่หรือตายของคน การอยู่หรือล่มสลายของแผ่นดิน
สองมือของฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสองมือของเขากำลังจับพนักบัลลังก์มังกรเอาไว้แน่น เส้นเลือดบนมือปูดโปน แต่ใบหน้ายังคงต้องรักษาความสงบเอาไว้
เขาโกรธอย่างมาก แต่ก็สมควรโกรธ
แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกหวาดกลัว
เรื่องราวเสมือนกำลังหลุดออกจากการควบคุม
ในฐานะฮ่องเต้ เขารู้สึกได้ว่าการควบคุมของเขาที่มีต่อราชสำนักกำลังถูกบั่นทอนลง
ปีที่แล้ว มีขุนนางบีบเค้นให้ฮ่องเต้ทรงสละราชบัลลังก์ กุข่าวลือใส่ร้ายว่าเขาเป็นดาวแห่งหายนะ กำลังทำลายราชวงศ์ต้าเว่ย
เรื่องนั้นดูเหมือนจะจัดการแล้ว
ขุนนางที่เกี่ยวข้องล้วนถูกประหาร
ทว่า…
อิทธิพลของเรื่องนั้นยังคงอยู่!
เกรงว่าเวลานี้จะมีขุนนางราชสำนักคิดว่าเขาเป็นดาวแห่งหายนะ เป็นบ่อนทำลายแผ่นดินต้าเว่ยอยู่ในใจมากยิ่งขึ้น!
สีหน้าของฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ซีดเผือด ร่างกายเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
หลัวเสี่ยวเหนียนร้อนใจ ทำได้เพียงทูลถามเสียงเบา “พระวรกายของฝ่าบาทไม่ดีนักหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงแค่ฮ่องเต้พยักหน้าบอกว่าร่างกายไม่สบาย เขาก็จะประกาศจบการประชุมภายใต้ความเสี่ยงที่จะถูกบรรดาขุนนางตีตาย
แต่ฮ่องเต้ไม่ได้ตอบเขา
หากพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าหลิงคิดว่าสมควรต้องออกไปเผชิญหน้าจริงหรือ ไม่รบไม่ได้หรือ”
หลิงฉางจื้้อพูดเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะ! กองทัพใต้จำเป็นต้องออกไปเผชิญหน้า สร้างขวัญและกำลังใจขึ้นมา!”
“หากแพ้ขึ้นมา…”
“กระหม่อมเตรียมตัวที่จะพ่ายแพ้สงครามแล้ว! แน่นอน กระหม่อมจะพยายามสู้จนชนะ มีข่าวดีให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เช่นนั้น…ใต้เท้าหลิงตัดสินใจเองเถิด! เจ้าเป็นคนรู้เรื่องกองทัพ ย่อมไตร่ตรองได้รอบครอบมากกว่าข้า!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! กระหม่อมย่อมไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง!”
หลิงฉางจื้้อรับบัญชา นำทัพเตรียมตัวทำสงคราม
…
ในค่ำคืนหนึ่ง ในขณะที่โจรกบฏกำลังทำอาหาร ประตูเมืองเปิดออก กองทัพใต้เคลื่อนไหว โจมตีโจรกบฏอย่างไม่ทันตั้งตัว
หลังจากการเข่นฆ่าที่ผ่านไปหนึ่งวัน โจรกบฏที่เหนื่อยล้ากำลังรอกินข้าวก็ถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน ทำให้ขบวนของพวกเขาเกิดความวุ่นวาย
กองทัพใต้ขี่ม้าบุกเข้าค่ายของโจรกบฏ วางเพลิงฆ่าคน เป้าหมายคือเสบียงของอีกฝ่าย!
ศีรษะของคนผู้หนึ่งลอยขึ้นสูง
ชายชุดดำหลายสิบคนฉวยโอกาสโกลาหลถอยไป
อีกทั้งยังตะโกนเสียงดัง “ซือหม่าโต่วตายแล้ว! ซือหม่าโต่วตายแล้ว!”
เสียงตะโกนยิ่งส่งยิ่งไกล ส่งเข้าไปในโสตประสาทของคนจำนวนมาก
โจรกบฏเกิดความว้าวุ่นใจ
…
เปลวเพลิงลุกลามไปตลอดหนึ่งคืน!
ในที่สุดโจรกบฏก็ล่าถอย ปักหลักอยู่ห่างออกไปอีกห้าสิบลี้
กองทัพใต้ถอยเข้าเมืองหลวง!
ด้านนอกกำแพงเมืองเต็มไปด้วยแขนขาที่ขาด ฝุ่นควันโขมง พื้นดินชุ่มโชกไปด้วยเลือด
มันเป็นชัยชนะครั้งหนึ่ง!
เป็นชัยชนะที่ไม่คาดการณ์มาก่อน
ตัวของหลิงฉางจื้้อเปื้อนฝุ่น ใบหน้ายังไม่ทันชำระล้างก็เรียกพบผู้ใต้บังคับบัญชา
เขาต้องการทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
ซือหม่าโต่วตายแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่
“ราวกับมีคนฉวยโอกาสบุกรุกเข้าไปในกองทัพของโจรกบฏ ตัดศีรษะของซือหม่าโต่ว”
“มั่นใจแล้วหรือ คนที่ตายเป็นซือหม่าโต่วตัวจริง?”
“ยังไม่แน่ใจ! เมื่อวานเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ ศพจำนวนมากถูกเผาจนเละ ไม่อาจแยกแยะได้”
“รีบให้คนไปตรวจสอบ!”
“ขอรับ!”
“คนชุดดำที่บุกเข้ากองทัพเมื่อคืนเป็นฝีมือของใต้เท้าหรือ”
“ย่อมไม่ใช่ฝีมือข้า”
หลิงฉางจื้้อยังฉงน ครุ่นคิดถึงคนชุดดำที่โผล่ออกมาว่าเป็นผู้ใด ถึงกะเวลาได้แม่นยำเช่นนี้
โอกาสที่เป็นไปได้ที่สุด…
ในใจของเขามีผู้ต้องสงสัยแล้ว เพียงแต่ต้องการพิสูจน์
แน่นอน คนชุดดำก่อความโกลาหลทำให้โจรกบฏไร้ทิศทาง มันเป็นกุญแจสำคัญแห่งชัยชนะ
เขาถอดชุดเกราะลง อาบน้ำแต่งตัว ไม่รีบร้อนที่จะไปทูลรายงานภารกิจที่วังหลวง หากแต่ปลอมตัวไปจวนท่านอ๋องตงผิง
เขาเคาะประตูของจวนท่านอ๋องตงผิง
“ข้าต้องการพบท่านอ๋องของพวกเจ้า!”
คนเฝ้าประตูของจวนท่านอ๋องตงผิง “นายน้อยใหญ่เชิญเข้ามา!”
เขาเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของจวนท่านอ๋องเชียว!
คนเฝ้าประตูต้อนรับอีกฝ่ายเข้าจวนโดยไม่รายงาน จากนั้นจึงไปรายงานท่านอ๋องตงผิงเซียวกั้ว
พี่น้องสองคนพบหน้าที่ห้องตำรา
เซียวกั้วยกมือทักทาย “ยินดีที่เจ้าเอาชนะโจรกบฏ แก้ไขสถานการณ์อันยากลำบากของเมืองหลวงได้! นับจากนี้คงไม่มีผู้ใดคัดค้านไม่ให้เจ้านำทัพทำสงคราม!”
หลิงฉางจื้้อราวกับไม่ให้ความสำคัญกับชัยชนะนี้นัก “โจรกบฏเพียงแค่ล่าถอยไปชั่วคราว ไม่นานย่อมกลับมาอีกครั้ง”
โจรกบฏหลายแสนคนไม่อาจจัดการด้วยเพลิงไหม้เดียวภายในชั่วค่ำคืน
“ข้าจะพบเซียวอี้! เจ้าให้เขาออกมาพบข้า!”
ท่านอ๋องตงผิงเซียวกั้วผงะไปอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าจะพบเจ้าหก เจ้าหกไม่อยู่ในจวน”
หลิงฉางจื้้อพูด “เจ้าติดต่อเขา บอกว่าข้าจะพบเขา ให้เร็ว”
เซียวกั้วรีบพูด “แต่เวลานี้ข้าติดต่อเขาไม่ได้ นอกจากนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด ระยะก่อน คุณหนูสี่แห่งจวนองค์หญิงจู้หยางก็ขอให้ข้าติดต่อเจ้าหก ผ่านไปนานเพียงนี้ยังไม่มีข่าวคราว ข้าสงสัยว่าเขาออกจากเมืองหลวงไปแล้ว”
หลิงฉางจื้้อขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ายังติดต่อเขาไม่ได้?”
เซียวกั้วยิ้มขมขื่น “ในนาม เขาเป็นคนของจวนอ๋อง เป็นพี่น้องของข้า แต่เรื่องของเขา ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้ อีกทั้งไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว เขาไม่มีทางให้ผู้อื่นแทรกแซงเรื่องของเขา
พูดเช่นนี้ดีกว่า เขาเพียงแค่แขวนชื่อไว้ในจวนอ๋อง เพียงเพื่อรับฐานะของเขาคืนไปเท่านั้น นอกจากนี้ เขาแบ่งแยกกับจวนอ๋องอย่างชัดเจน คราวก่อน ข้าบอกจะให้เงินเดือนเขา ให้ร้านค้าเขา เขาก็ไม่รับ ยังหาว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง!”
หลิงฉางจื้้อครุ่นคิด พลันถาม “เยียนอวิ๋นเกอให้เจ้าติดต่อเขา ได้บอกว่าเรื่องใดหรือไม่”
เซียวกั้วครุ่นคิด “ข้าจำได้ว่านางให้คนมาส่งจดหมายตอนที่โจรกบฏลอบโจมตีแคว้นชี เป็นตอนที่เรือนพักร่ำรวยประสบอันตรายพอดี หากไม่ผิดพลาด คงเป็นเพราะเรื่องของเรือนพักร่ำรวยนางจึงติดต่อเจ้าหก แต่ข้าติดต่อเจ้าหกไม่ได้เลย”
หลิงฉางจื้้อไม่วางใจ “ข้าจำได้ว่าข้างกายของเซียวอี้มีจี้ซินแสอยู่ เขาอยู่ที่ใด”
เซียวกั้วรีบพูด “จี้ซินแสก็ไม่อยู่ในจวน! นับจากจี้ซินแสติดตามเจ้าหก นอกจากเจ้าหกมาจวน มิฉะนั้นเขาไม่เคยมาเยือนด้วยตนเอง!”
หลิงฉางจื้้อ “…”
เซียวอี้หลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่?
คนเป็นๆ ทั้งคน หามานานเพียงนี้กลับหาไม่เจอ
เซียวกั้วครุ่นคิด พลันกดเสียงต่ำ “บางทีท่านอ๋องผิงชินอาจรู้ที่ไปของเจ้าหก”
“อย่างไร”
เซียวกั้วยิ้มเก้อ จากนั้นจึงพูดขึ้น “เจ้าหกกับท่านอ๋องผิงชินเป็นพี่เขยกับน้องเขย ส่วนงานแต่งของเจ้าหกก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านอ๋องผิงชิน พวกเขาสองคนดูจากภายนอกเหมือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่พวกเขาอาจมีการติดต่อกันลับหลังก็เป็นได้ มิฉะนั้นท่านอ๋องผิงชินคงไม่มีเหตุผลเข้าวังทูลขอพระราชโองการแทนเจ้าหก!”
หลิงฉางจื้้อลังเลเล็กน้อย!
เขาไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวิน
อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะรับมือด้วยง่าย
อีกทั้งหากเรื่องนี้เหมือนที่เซียวกั้วพูด ความสัมพันธ์ระหว่างเซียวอี้กับท่านอ๋องผิงชินมีแต่จะซับซ้อนเกินกว่าที่จะจินตนาการได้