คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 130 ตอนที่ 131
ตอนที่ 130 ข้าเป็นนักพรตเต๋า แบบที่มีใบรับรองด้วย / ตอนที่ 131 ผู้เชี่ยวชาญออกโรง
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 130 ข้าเป็นนักพรตเต๋า แบบที่มีใบรับรองด้วย
อวี๋ชิวไฉเจ้าเมืองหลีดูเศร้าใจมากในชั่วไม่กี่วันที่ผ่านมา เหตุเป็นเพราะอวี๋อวิ๋นเตี๋ยบุตรสาวสุดที่รักของอวี๋ชิวไฉหมดสติล้มลงกับพื้น เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งดูเหมือนกับว่านางเสียสติไปแล้ว เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะแม้กระทั่งถอดเสื้อผ้าวิ่งอยู่ที่ลานอย่างบ้าคลั่งทำเอาทุกคนตกใจ ต่างก็เอ่ยกันว่าคุณหนูถูกวิญญาณร้ายครอบงำ
ฮูหยินอวี๋โกรธมาก ระงับข่าวไม่ให้คนในจวนเผยแพร่ออกไป อีกทั้งยังไปเชิญหมอมาวินิจฉัย เปลี่ยนหมอไปแล้วสามคนแต่ก็ตรวจไม่พบอะไร อย่างไรเสียคุณหนูอวี๋ผู้นี้สุขภาพแข็งแรงดี จึงพูดได้เพียงว่าสตรีร่างกายอ่อนแอจึงสั่งยากล่อมจิตและบำรุงร่างกายให้ทานแล้วจากไป
ได้ใบสั่งยาแล้ว ยาก็กินแล้ว แต่คุณหนูอวี๋ก็ไม่ดีขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งนางหยิบกรรไกรมาตัดผมตัวเอง อวี๋ชิวไฉและภรรยาต่างตกใจมาก แอบไปวัดอย่างเงียบๆ เพื่อไปขอยันต์วิญญาณมาแขวนให้นาง แล้วอาศัยตอนกลางคืนไปอารามจิ้งอันเพื่อเชิญแม่หมอมารำอัญเชิญเทพ
อย่างไรเสียคนที่เกิดเรื่องก็เป็นเด็กสาว การเชิญแม่หมอเข้าจวนนั้นย่อมไม่ดีต่อชื่อเสียงสตรี หากข่าวแพร่ออกไปจะเป็นอุปสรรคต่อการแต่งงาน ทั้งสองจึงไม่กล้าทำเป็นเรื่องใหญ่
ทำมาขนาดนี้ คุณหนูอวี๋ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย นางผอมแห้งอย่างรวดเร็ว ฮูหยินอวี๋เป็นกังวลจนน้ำตานองหน้า เซ้าซี้ให้อวี๋ชิวไฉไปหาหมอเทวดามาทั้งวันทั้งคืน
อวี๋ชิวไฉผู้น่าสงสาร หนวดหลุดร่วงเป็นกระจุก ออกจากจวนด้วยใบหน้าอึมครึม ได้ยินมาว่าหมอหลวงตำหนักอายุวัฒนะฝีมือไม่เลวจึงไปเชิญมารักษา
“ใต้เท้า”
ทันทีที่อวี๋ชิวไฉขึ้นหลังม้ากำลังจะออกไปก็มีคนมาขวางอยู่ด้านหน้า เป็นชายหนุ่มรูปงามในชุดสีเขียว
หากเป็นเวลาปกติแล้วอวี๋ชิวไฉอาจจะหันมามองสักครู่หนึ่ง แต่บุตรสาวของเขายังคงทรมานอยู่ที่เรือน เด็กคนนี้กล้าดีอย่างไรมาหยุดเขาไว้
“เจ้าจะทำอะไร กล้าดีอย่างไรมาขวางข้า ไปให้พ้น” อวี๋ชิวไฉหยิบแส้ต้องการจะควบม้าออกไป
“บุตรสาวสุดที่รักของใต้เท้าป่วยหรือ” ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าสามารถคลายความทุกข์ร้อนของใต้เท้าได้”
อวี๋ชิวไฉตกตะลึง หรือว่าข่าวที่ว่าบุตรสาวของเขาถูกวิญญาณชั่วร้ายครอบงำได้แพร่กระจายออกไปแล้ว
สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม ใบหน้าที่เดิมทีแข็งกร้าวยิ่งดูมีอำนาจขึ้นกว่าเดิม ตะโกนด้วยความโกรธว่า “เจ้าเด็กสารเลวที่ไหนกล้าเอ่ยเรื่องไร้สาระต่อหน้าข้า ข้าเห็นแก่ที่เจ้ายังเด็กอยู่ ดังนั้นรีบถอยออกไปซะ มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ฉินหลิวซีกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย เอ่ยว่า “นายท่าน ชีวิตของคุณหนูอวี๋ตกอยู่ในอันตราย ไม่ว่าท่านจะปกปิดอย่างไรก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่สู้ให้ข้าลองตรวจดู อ้อ จริงสิ ข้าเป็นนักพรตเต๋าแห่งอารามชิงผิงที่ผ่านการรับรองแล้ว”
ทุกวันนี้การเป็นนักพรตเต๋าไม่ใช่ว่าแค่เข้าสำนักก็เป็นได้ ผู้ที่มีความสามารถจริงๆ เท่านั้นจึงจะได้การรับรองจากอารามเต๋า
อวี๋ชิวไฉชะงักไปครู่หนึ่ง นักพรตเต๋าหรือ
เหอะ ก่อนหน้านี้แม่หมอจากอารามจิ้งอันผู้นั้นก็เต้นรำอะไรไม่รู้มั่วไปหมด ก็ไม่เห็นว่าบุตรสาวจะดีขึ้น เห็นได้ชัดว่าสำนักเต๋าเป็นแค่พวกหลอกเอาเงิน
ไม่รอให้เขาเอ่ยค้าน ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “ใต้เท้ากำลังออกไปเชิญหมอไม่ใช่หรือ ข้าสามารถรักษาอาการป่วยของคุณหนูอวี๋ได้ เหตุใดไม่ให้ข้าลองล่ะ นอกจากนี้ใต้เท้าอย่าได้ไปเลย เกรงว่าฮูหยินของท่านคงเป็นลมอยู่” นางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แต่ว่าก็เป็นเรื่องดี ยินดีกับใต้เท้าด้วย”
น่ารำคาญ!
เจ้าเด็กผู้นี้ไม่เพียงแต่พูดจาไร้สาระ ซ้ำยังสาปแช่งฮูหยินของเขา แล้วยังมาบอกว่าเป็นเรื่องดีพร้อมทั้งแสดงความยินดีอีกด้วย?
อวี๋ชิวไฉยกแส้ขึ้นกำลังจะฟาด มีบ่าวรับใช้วิ่งออกมาจากประตูจวน เมื่อเห็นว่าเขายังอยู่หน้าประตูจวนก็ประหลาดใจและดีใจในขณะเดียวกัน วิ่งมาตรงหน้าม้าพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้า ท่านกำลังจะออกไปหรือกลับมาแล้ว ได้เชิญหมอมาหรือไม่ขอรับ ใต้เท้ารีบเข้าจวนเถิด ฮูหยินเป็นลมไปแล้วขอรับ!”
อวี๋ชิวไฉพลันหน้าเปลี่ยนสี มองไปที่ฉินหลิวซี เจ้าเด็กผู้นั้นยิ้มกว้างราวกับดอกเบญจมาศ!
ตอนที่ 131 ผู้เชี่ยวชาญออกโรง
ในช่วงชีวิตที่เหลือของอวี๋ชิวไฉ คงไม่ได้โชคดีเหมือนในวันนี้ เขาได้พบกับฉินหลิวซีที่มาเสนอการรักษาด้วยตัวเอง จึงพาอีกฝ่ายเข้าจวน
ใครจะคิดว่าเด็กที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ซ้ำยังอายุน้อยพอที่จะเป็นบุตรชายของเขา จะสร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ให้กับเขาได้
“เจ้าว่าอะไรนะ” อวี๋ชิวไฉคิดว่าตัวเองป่วยเป็นโรคประสาทหลอนเหมือนกับบุตรสาว มิเช่นนั้นเขาจะได้ยินว่าเด็กคนนี้พูดว่าเขากำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้งได้อย่างไร
ฉินหลิวซียิ้มพลางยกมือคำนับ “ข้าแสดงความยินดีกับใต้เท้าไปตั้งนานแล้ว”
อวี๋ชิวไฉกะพริบตาปริบๆ มองไปที่ฮูหยินอวี๋ที่อยู่บนเตียงไม้ เหม่อลอยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่แม่นมกับสาวใช้ข้างกายฮูหยินทั้งสองกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ “ยินดีด้วยเจ้าค่ะนายท่าน ยินดีด้วยเจ้าค่ะนายท่าน”
พระเจ้า ที่แท้ฮูหยินก็มีครรภ์อีกแล้ว สิบเอ็ดปีแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็มีนายน้อยคนใหม่เพิ่มขึ้นมาในจวนแล้ว
“ข้าจะได้เป็นพ่อ ข้าอยากเป็นพ่ออย่างนั้นหรือ” สมองของอวิ๋ชิวไฉมึนงงไปหมด ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา กระโดดโลดเต้นอยู่กับที่ แล้วรีบวิ่งไปที่เตียงไม้ราวกับหมาป่าผู้หิวโหย
แม่นมกับสาวใช้หน้าซีดด้วยความตกใจ รีบเข้าไปห้ามพลางเอ่ยด้วยความกลัว “นายท่าน ไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้นะเจ้าคะ ร่างกายฮูหยินมีสองคน อยู่ในช่วงที่กำลังอ่อนแอเจ้าค่ะ!”
“อา ใช่ๆๆ ดูข้าสิ ลืมไปเสียได้” อวี๋ชิวไฉยิ้มพลางเกาศีรษะ จากนั้นก็หันไปมองฉินหลิวซี เอ่ยว่า “เจ้าหนู ไม่ใช่ ท่านอาจารย์? ท่านบอกว่าท่านเป็นนักพรตเต๋าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงวินิจฉัยโรคเป็นด้วย หรือว่าที่ท่านรู้ว่าฮูหยินของข้ามีครรภ์ เพราะท่านทำนายไว้แล้ว”
“ใต้เท้า สิบเต๋าเก้าวิชาแพทย์ เสวียนเหมินก็มีคนที่รู้วิชาแพทย์ หากไม่มีความสามารถนี้ มีหรือข้าจะกล้าแนะนำตัวเองต่อหน้าท่าน แต่เมื่อดูจากโหงวเฮ้งของใต้เท้า ถุงใต้ตาดูอวบอิ่มแดงระเรื่อเป็นสัญญาณของการมีบุตรจริงๆ ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าข้าดูไม่ผิด ฮูหยินอวี๋ตั้งครรภ์ได้มากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว เพียงแต่อายุครรภ์ยังน้อยก็เท่านั้น”
“ตายแล้ว อ่างอาบน้ำของฮูหยินเลยกำหนดเปลี่ยนมาหลายวันแล้ว คุณหนูไม่สบาย บรรดาสาวใช้จึงไม่ทันได้สังเกต ขอนายท่านโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ” แม่นมทำท่าทางคุกเข่าลงกับพื้น
อวี๋ชิวไฉเอ่ยว่า “ช่างเถิด หลายวันมานี้ฮูหยินเองก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน ในจวนก็วุ่นวาย จะละเว้นโทษประมาทเลินเล่อของพวกเจ้าให้ แต่หลังจากนี้จะต้องปรนนิบัติฮูหยินอย่างละเอียดรอบคอบ หากปรนนิบัติไม่เพียบพร้อม ข้าจะขายพวกเจ้าทิ้งให้หมด”
“เจ้าค่ะ นายท่าน”
จากนั้นอวี๋ชิวไฉก็มองไปที่ฉินหลิวซี ยกมือประสานพลางเอ่ยว่า “คือว่า ท่านอาจารย์ ท่านก็เห็นว่าฮูหยินของข้าเป็นลมไป เช่นนั้นร่างกาย…?”
ฉินหลิวซีโบกมือ จากนั้นก็กดที่ตัวของฮูหยินอวี๋เล็กน้อย อีกฝ่ายค่อยๆ ตื่นขึ้น ถามด้วยความมืนงงว่า “ข้า ข้าเป็นอะไรไปหรือ”
“ฮูหยิน ยินดีด้วยเจ้าค่ะฮูหยิน ท่านมีเรื่องมงคลเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยด้วยความดีใจ
ฮูหยินอวี๋ตกใจ มีเรื่องมงคล?
นางมองท้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว มีเรื่องมงคล หมายความว่านางตั้งครรภ์อีกแล้วหรือ
ฮูหยินอวี๋กำลังจะลุกขึ้นนั่ง แต่รู้สึกวิงเวียนศีรษะไปหมดจึงส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ
“ฮูหยิน เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ระวังหน่อย” อวี๋ชิวไฉเข้าไปพยุงนางด้วยตัวเอง เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์บอกแล้วว่าอายุครรภ์ของเจ้ายังน้อย อย่าทำอะไรหักโหม”
ท่านอาจารย์?
ฮูหยินอวี๋พึ่งเห็นว่าในห้องมีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนเป็นเด็กหนุ่มที่อายุน้อยมาก นี่คือท่านอาจารย์หรือ
“ฮูหยิน ท่านนี้เป็นนักพรตเต๋าแห่งอารามชิงผิง ข้าพบกับเขาตอนที่ออกจากจวน… ” อวี๋ชิวไฉเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
มือทั้งสองข้างของฮูหยินจับที่หน้าท้อง มองไปที่ฉินหลิวซี ขยับริมฝีปากเอ่ยถามว่า “ข้า ข้ามีครรภ์จริงๆ หรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งเดือนกว่าแล้ว อายุครรภ์ยังน้อย หากฮูหยินไม่เชื่อข้า รอให้ผ่านไปสักหน่อย พออายุครรภ์มากขึ้นค่อยเชิญหมอมาตรวจชีพจรอีกที”
“รออะไรอีก ไปตอนนี้เลย เจี๋ยเกิ่ง เจ้าไปบอกให้ผู้ดูแลอวี๋ไปเชิญหมอที่ตำหนักอายุวัฒนะมาตรวจชีพจรให้ฮูหยิน” อวี๋ชิวไฉเอ่ยเสียงดัง
ฮูหยินอวี๋โกรธมาก ตีมือเขาพลางเอ่ยว่า “รีบร้อนทำไม ท่านอาจารย์ก็บอกอยู่ว่าอายุครรภ์ยังน้อย รอให้ผ่านไปสักหน่อยค่อยตรวจก็ได้”
ช่างไร้มารยาทเสียจริง ฉินหลิวซียังยืนอยู่ตรงนี้ เจ้าก็ไปเชิญหมออีกคนมา คิดจะตบหน้าเขาอย่างนั้นหรือ
นางมองไปที่ฉินหลิวซี เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ท่านอาจารย์โปรดอย่าได้ถือสา นายท่านของพวกเราไม่ใช่คนพิธีรีตอง ไม่เข้าใจความยืดหยุ่น เขาเพียงแค่เป็นห่วงร่างกายของข้า ไม่ได้มีเจตนาสงสัยความสามารถของท่าน”
“ไม่เป็นไร ใต้เท้าอวี๋เพียงแค่เป็นห่วงฮูหยิน” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “หลายปีก่อนหน้านี้ฮูหยินเคยแท้งมาก่อน แล้วก็ไม่ได้ตั้งครรภ์มานานแล้ว ตอนนี้มีครรภ์อีกครั้งนับว่าเป็นเรื่องดี แต่ช่วงนี้ฮูหยินมีอาการซึมเศร้า กระสับกระส่ายไม่เป็นสุข ส่งผลเสียต่อการดูแลครรภ์ ขอให้ฮูหยินผ่อนคลายด้วยจึงจะดี”
ฮูหยินอวี๋ตกใจที่เขารู้เรื่องทั้งหมด นางมองไปที่แม่นมคนสนิท เมื่อเห็นว่าแม่นมส่ายหน้า ในใจก็เริ่มเชื่อฉินหลิวซีไม่น้อย เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ คิดว่าท่านคงได้ยินที่นายท่านเอ่ยแล้ว อาการป่วยของบุตรสาวข้า…ข้าที่เป็นแม่ทั้งปวดใจและตกใจ ไร้หนทางจะช่วยได้ ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยบุตรสาวของข้าด้วย หากนางเป็นอะไรไป เกรงว่าข้าคงไม่มีกระจิตกระใจดูแลครรภ์นี้ให้ดีแล้ว”
นางพูดพลางน้ำตาไหลด้วยความกังวล
“ฮูหยิน เจ้าอย่าร้องไปเลย ในเมื่อท่านอาจารย์มาแล้ว ย่อมมีวิธีแน่นอน” เมื่ออวี๋ชิวไฉเห็นนางร้องไห้ก็เป็นกังวลจนทำอะไรไม่ถูก มองฉินหลิวซีแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ข้ามีตาหามีแววไม่ ขอท่านอย่าได้ถือโทษ บุตรสาวของข้า…”
ฉินหลิวซียิ้มพลางตัดบทสนทนาของเขา “นำทางไปเถิด”
หมายความว่าให้พาไปพบคุณหนูอวี๋
อวี๋ชิวไฉรีบพยุงฮูหยินลุกขึ้น ทั้งสองคนเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องปีกด้านข้าง นั่นคือห้องส่วนตัวของบุตรสาวพวกเขา
ปรากฏว่ายังไม่ทันได้เดินเข้าไปก็มีเสียงตะโกนคล้ายอาการคลุ้มคลั่ง ราวกับลมกระโชกแรงพุ่งออกมา
“เตี๋ยเอ๋อร์” ฮูหยินอวี๋เข่าอ่อนทรุดอยู่ในอ้อมอกของสามี นางย่อมจำเสียงนั้นได้ ลูกสาวของนางอาการกำเริบอีกแล้ว
คนผู้นั้นวิ่งออกมาด้วยสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ฉินหลิวซียื่นมือไปจับแขนของอีกฝ่ายไว้ได้แล้วใช้แรงดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน
คุณหนูอวี๋กรีดร้องและดิ้นไปมาไม่หยุด น้ำลายไหลออกมาตลอด
“เตี๋ยเอ๋อร์” ฮูหยินอวี๋เรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เสียดายที่อีกฝ่ายไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย
ฉินหลิวซีกดจุดที่ข้อศอกคุณหนูอวี๋ อีกฝ่ายก็ตัวอ่อนจนจะล้มลง ไม่ได้ดิ้นไปมาอีก
บ่าวรับใช้หญิงที่ร่างกายแข็งแรงเดินเข้าไปรับคุณหนูอวี๋
ฉินหลิวซีเห็นว่าเด็กสาวผู้นี้สีหน้าล่องลอยน้ำลายฟูมปากก็เอ่ยว่า “อุ้มเข้าไปเถิด”
เมื่อผู้เชี่ยวชาญออกโรง ก็จะรู้เองว่ามีหรือไม่มี
เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีสามารถทำให้บุตรสาวที่บ้าคลั่งของตัวเองสงบลงได้ อวี๋ชิวไฉกับฮูหยินจึงเริ่มมีความหวังเลือนรางขึ้นมา ก่อนจะเดินตามเข้าไปในห้อง
คุณหนูอวี๋ถูกวางลงบนเตียงไม้ มองเพดานอย่างเหม่อลอย ไม่ขยับเขยื้อน
“ท่านอาจารย์ นี่?” ฮูหยินอวี๋เป็นกังวลเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ข้าขอตรวจดูชีพจรก่อน”
เมื่อเห็นว่าท่าทางน่าเกียจของคุณหนูอวี๋ถูกฉินหลิวซีเห็นหมดแล้ว เวลานี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีฉากกั้นป้องกันระหว่างชายหญิงแล้ว
สาวใช้เพียงแค่เอาผ้าเช็ดหน้ามาคลุมไว้บนข้อมือคุณหนูอวี๋
ฉินหลิวซีเหลือบมองนาง ไม่คิดถือสา ยังคงจับชีพจรต่อไปพลางมองดวงตาของนางอย่างละเอียด ก่อนจะถามถึงเวลาตกฟากแปดตัวอักษร
อวี๋ชิวไฉสงสัยเล็กน้อย เอ่ยว่า “ยังต้องถามเวลาตกฟากอีกหรือ หรือว่าบุตรสาวข้าจะถูกมนต์ดำจนวิญญาณร้ายครอบงำจริงๆ”
ฮูหยินอวี๋ถลึงตาใส่เขา แล้วบอกเวลาตกฟากของบุตรสาว
ฉินหลิวซีนับข้อนิ้วคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ยว่า “ถูกมนต์ดำ ก็นับว่ามีส่วนอยู่เล็กน้อย แต่ไม่ได้ถูกวิญญาณร้ายครอบงำ”