คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 160 มารเอ้อฝูปรากฏตัว
ตอนที่ 160 มารเอ้อฝูปรากฏตัว ให้ผู้มีความสามารถปวดหัวไป
ในยามที่ฉีเชียนออกมาจากประตูเมืองหลีพลันดึงบังเหียนเอาไว้ มองกลับไปด้านหลังขณะที่อยู่บนหลังม้า
“นายท่าน”
ฉีเชียนไม่ได้เอ่ยถึงความรู้สึกในใจ ลางสังหรณ์บอกกับเขา เขาไม่ควรไปไม่ลา การไปครั้งนี้ มีบางอย่างอาจไม่สามารถเอ่ยถึงได้อีกต่อไป
เงียบไปชั่วครู่ เขายกแส้ขึ้น เสียงม้าดังขึ้น วิ่งตรงไปข้างหน้า ไม่นานก็หายไปท่ามกลางความมืด
เวลาเดียวกัน ฉินหลิวซีเดินหาวออกมาจากห้องเก็บยา ยืดเส้นยืดสาย คล้ายสัมผัสถึงบางอย่าง หันกลับไป มองเห็นผีชายหญิงคู่หนึ่งเกาะอยู่บนผนังกำลังดูดปราณวิญญาณภายในเรือน
มองเห็นฉินหลิวซี ผีสองตนก็ลอยเข้ามาอยู่ตรงหน้านาง ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ใต้เท้า”
“กลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”
ผีผู้หญิงเอ่ย “ตามความต้องการของใต้เท้า นำข่าวที่เรารู้ทั้งหมดรายงานต่อเจ้าอาวาสอารามชิงหลาน”
“ตาเฒ่านิสัยไม่ดีจากบ้านข้าคนนั้นเล่า เขาอยู่ด้วยหรือไม่”
ผีผู้ชายเอ่ย “เจ้าอาวาสชื่อหยวนอยู่ด้วยกันกับเจ้าอาวาสชิงหลาน ตอนพวกเราไปถึง ทั้งสองกำลังนั่งย่างเนื้อร่ำสุรากันอยู่ขอรับ”
ผีผู้หญิงเหลือบมองเขาเล็กน้อย เจ้ารายงานเรื่องเล็กเรื่องน้อยนี้ไม่กลัวทั้งสองท่านนั้นจะมาคิดบัญชีกับเจ้าหรือ
ฉินหลิวซีหัวเราะด้วยความโกรธ “…ย่างเนื้อ หึหึ”
นางทำงานเหน็ดเหนื่อย ตาเฒ่านั่นกลับกินดีอยู่ดี น่าโมโห
เห็นรอยยิ้มทะมึนของนาง ผีทั้งสองตนก็ก้าวถอยหลัง รักษาระยะปลอดภัย
ฉินหลิวซีกัดฟัน เอ่ยถาม “หลังจากนั้นเล่า”
“หลังได้รับข่าว เจ้าอาวาสชิงหลานก็ทำนายอยู่ชั่วครู่ ตรงดิ่งไปยังสุสานกับเจ้าอาวาสชื่อหยวน เกิดการต่อสู้ขึ้น จากนั้นจับมารร้ายตนหนึ่งมีนามว่าเทียนอี เขาต้องการฝึกผีให้ไปสู่เส้นทางของผีร้าย”
“เทียนอีหรือ”
ผีชายหญิงทั้งสองเอ่ย “เขาเคยเป็นคนในอารามซังเซิงที่รุ่งเรืองเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ไม่รู้ไยจึงมาเดินในเส้นทางสายมารเอาได้”
อารามซังเซิงเมื่อห้าสิบปีก่อน
นิ้วมือของฉินหลิวซีเคาะน้ำเต้าหยกที่เอวเบาๆ ในหัวนึกย้อนไปถึงลัทธิต่างๆ ที่เคยได้ยินตลอดหลายปีมานี้ ได้ยินมาว่าอารามซังเซิงเป็นอารามอันดับหนึ่งในใต้หล้า เชี่ยวชาญเบญจศาสตร์ อู่ซู[1]ของเสวียนเหมิน รุ่งเรืองถึงขีดสุด แม้แต่บรรพกษัตรย์เหลียนยังไว้วางใจอย่างยิ่ง กระทั่งขอร้องให้อารามซังเซิงปรุงยาอายุวัฒนะ ยังแต่งตั้งเจ้าอาวาสในตอนนั้นเป็นไท่อี่ เจินเหริน เป็นพระภิกษุชั้นสูงคอยปัดเป่าภัยร้ายให้แผ่นดิน
เพียงได้ยินว่าหลังจากไท่อี่ เจินเหรินจ่ายยาอายุวัฒนะ บรรพกษัตรย์ก็สลบไสลไม่ฟื้นขึ้นมาอีก อดีตฮ่องเต้ที่เป็นองค์รัชทายาทในตอนนั้นได้นำกำลังทหารไปปิดล้อมอารามซังเซิงเอาไว้ สังหารนักพรตเต๋าที่อยู่ในอารามทั้งหมด ได้ฉายาว่าอารามอัปมงคล พังทลายลง
ตอนนั้นนักพรตในอารามซังเซิงมีอยู่กว่าห้าสิบคน ไม่ว่าจะอยู่ในอารามหรือคนที่ท่องไปทั่วยุทธภพ ทั้งหมดต่างถูกจับและสังหาร แม้แต่นักพรตน้อยที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบก็ไม่ปล่อยเอาไว้
หลังจากนั้นบรรพกษัตรย์ก็สิ้นพระชนม์ อดีตฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ ประณามลัทธิเต๋ามัวเมาผู้คน ทำให้คนไม่กล้าเอ่ยถามถึงอีก และอารามซังเซิงที่อยู่แนวหน้าก็เปลี่ยนไป แต่เป็นตอนนั้นเอง ปรมาจารย์ต่างๆ ก็เข้าสู่จุดตกต่ำ นักพรตไม่สลายตัวก็ออกจากอารามกลับมาใช้ชีวิตฆราวาส ตกต่ำกว่าพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะอดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ แม้ไม่ได้กำจัดลัทธิเต๋าจนสิ้น แต่ก็ไม่ได้กลับมารุ่งเรืองดังเดิม ประชาชนมากมายนับถือศาสนาพุทธมากกว่าลัทธิเต๋า
อารามชิงผิงค่อยๆ ตกต่ำลงหลังจากอารามซังเซิงเกิดความวุ่นวายในครานั้น จากนั้นจึงปิดอารามไปกว่ายี่สิบปี กระทั่งสิบปีก่อน นักพรตชื่อหยวนพาฉินหลิวซีกลับมาอาศัยอยู่ในอารามชิงผิง
ดังนั้นเอ่ยได้ว่า เหตุที่ชื่อเสียงของอารามชิงผิงจึงไม่เป็นที่รู้จัก ทั้งฉินหลิวซีที่มีความสามารถนั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ และเพราะลัทธิเต๋าไม่อาจสู้พระพุทธศาสนาได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงอารามชิงผิงที่อยู่ในสภาพปรักหักพังรอการฟื้นฟู มิเช่นนั้นร่างทองของท่านปรมาจารย์จะยังไม่ปรากฏออกมาหรือ
และเพราะนอกจากจะนำเงินทำบุญมาปรับปรุงอาราม ก็ยังนำไปทำการกุศล จึงดูมีความรุ่งเรืองขึ้นมาบ้าง
เอ่ยถึงความยากลำบากของอารามเต๋าตลอดสิบปีที่ผ่านมา ฉินหลิวซีก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาตก ช่างยากลำบากเสียจริง
“ชีวิตยากเข็ญนี้นำเข้าสู่วิถีชั่วร้าย ก็ไม่ใช่เพราะอยากยืนยันถึงอารามซังเซิงหรืออย่างไร” ฉินหลิวซีเอ่ย
เดิมอารามซังเซิงเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง แต่กลับฝึกวิชามารแล้วเรียกตนเองว่าเป็นนักพรตเต๋า นั่นคือการทำลายตนเอง ยืนยันถึงชื่อเสียงของอารามซังเซิงในทางชั่วร้ายไม่ใช่หรือ
“พวกข้าน้อยเองก็ซุ่มดูอยู่ไกลๆ มารตนนี้บอกว่าเป็นชาวบ้านหรือเชื้อพระวงศ์ก็บอกไม่ได้ สีขาวกลายเป็นสีดำ ตอนนั้นอาจารย์ของเขาปรุงยาอายุวัฒนะแม้ไม่อาจมีอายุวัฒนะได้ แต่การมีอายุยืนยาวหลายปีแน่นอนว่ามีผล เป็นเชื้อพระวงศ์ที่ทำผิดเอง ยังมาทำให้อารามซังเซิงกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย เช่นนั้นเขาจึงทำให้ตนเองเข้าสู่เส้นทางมาร ก่อกวนแผ่นดินแห่งนี้”
ฉินหลิวซีส่งเสียงตอบรับ “เจ้าอาวาสทั้งสองตอบไปอย่างไร”
“เจ้าอาวาสชิงหลานต้องการเกลี้ยกล่อม แต่เจิ้งอีผู้นั้นเซ่นวิญญาณของตนในยามพระจันทร์เต็มดวงพอดี”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว พอดีอย่างนี้ เซ่นไหว้ผู้ใดกัน
นางมีลางสังหรณ์แปลกๆ ขึ้นมา
โอ๊ย ปวดหัว
ช่างเถิด นางไม่รู้อะไรทั้งนั้น ปล่อยให้เจ้าอาวาสทั้งสองปวดหัวไปเถิด อย่างไรก็ได้กินเนื้อแล้ว เหล้าก็ดื่มแล้ว
ฉินหลิวซีโบกมือ “เอาล่ะ นักพรตมารผู้นี้ตายก็ช่างเถิด ก็ให้หายไปเถิด”
“ขอรับ” ผีผู้ชายก้าวถอยหลัง เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้า เจ้าอาวาสชื่อหยวนฝากข้อความมาให้ท่านขอรับ”
“ว่ามา”
ผีผู้ชายกระแอมไอ ชี้ไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “ศิษย์เนรคุณ อาจารย์ท่องกำจัดมารอยู่ข้างนอก เจ้ามีชีวิตดีสกัดน้ำหอม ห้ามขี้เกียจ มิเช่นนั้นอาจารย์จะ จะไม่กลับมาอีก”
ฉินหลิวซีสีหน้าทะมึน
ผีผู้ชายเอ่ยจบ ก็เก็บมือแล้วหายวับไปทันใด
ใต้เท้าโมโห จะทำให้เขาร้อนจนตัวอ่อนระทวย
ฉินหลิวซีส่งเสียงหยันหนักๆ สะบัดแขนเสื้อกลับเข้าไปในห้องเก็บยา
ณ อารามชิงหลานที่ไกลออกไป นักพรตชราชื่อหยวนจามสองครั้ง แคะหู ดีดนิ้ว ขี้หูหนึ่งก้อนก็ลอยออกไป
เจ้าอาวาสชิงหลานทนดูไม่ได้ เอ่ย “ไยเจ้าจึงหยาบคายเยี่ยงนี้ เสี่ยวซีตุ๊กตาตัวน้อย ทนเจ้ามากว่าสิบปีได้อย่างไร”
นักพรตชราชื่อหยวนยิ้มพลางเอ่ย “แน่นอนว่าใช้ความรักความเมตตาของข้าหล่อหลอมนางมา”
เจ้าอาวาสชิงหลานกรอกตาอย่างอดไม่ได้ เอ่ย “กลับมาเข้าเรื่อง หาวิญญาณของเจิ้งอีไม่เจอแล้ว เขาเซ่นไหว้อีกฝ่าย ยิ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร”
นักพรมชราชื่อหยวนเอ่ย “ข้าจะถามดู”
เจ้าอาวาสชิงหลานย่นคิ้ว “เดี๋ยวข้าเอง ข้ามีความอดทนกว่าสักหน่อย”
นักพรตชราชื่อหยวนลุกขึ้นยืนแล้ว ท่องบทสวดต่อหน้าปรมาจารย์ลัทธิ ลุกจากแท่นบูชาและเดินสวดไปรอบๆ กัดปลายนิ้ววาดยันต์ขึ้นมาหนึ่งแผ่น จากนั้นนั่งลง ดวงตาสองข้างปิดลง สองมือเคลื่อนไหวพัลวันเป็นวิชาซับซ้อน
“หลิงเป่าเทียนจุน ผ่อนคลายร่างกาย จิตวิญญาณของศิษย์ อวัยวะทั้งห้า…”
บทสวดดังออกมาจากปากของเขา สายลมพัดมาหมุนวนอยู่ตรงหน้า
เมื่อเทียนดับลง นักพรตชราชื่อหยวนจึงลืมตาขึ้น อ้าปาก กระอักเลืดออกมา ร่างกายล้มลงไปด้านข้าง
เจ้าอาวาสชิงหลานรีบเข้าไปประคองเขา ยัดยาหนึ่งเม็ดเข้าปากเขาไป สีหน้ากังวล “เป็นอย่างไร บอกแล้วว่าอย่าดื้อดึง”
นักพรตชราชื่อหยวนกลับกุมมือเขาเอาไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำ “เป็นเขา”
ซื่อหลัว
ผีร้ายที่หนีออกมาจากนรกทั้งเก้า กลับชาติมาเกิดเป็นมารเอ้อฝู
เจ้าอาวาสชิงหลานเม้มริมฝีปาก
เคร้ง เสียงระฆังหนักๆ ดังขึ้น
ห่างออกไปในวัดพันปีบนเขาเทียน พระภิกษุหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเดินออกมาจากวัดโบราณ มองไปยังท้องฟ้ามืดสนิทไม่มีแม้ดวงดาวสักครึ่งดวงทางทิศเหนือ มารเอ้อฝูปรากฏตัวขึ้นบนโลก ใต้หล้านี้จะไม่ใสสะอาดอีกแล้วหรือ
[1] เบญจศาสตร์ อู่ซู มี 5 แขนงวิชา คือ ภูเขา (เซียน), การแพทย์, ชีวิต, การทำนาย, การดู (山(仙)、医、命、卜、相 ). ในแต่ละแขนงวิชาประกอบด้วย หลักวิชาสาขาต่างๆ มีประเภทและวิธีการมากมายหลายอย่าง ทั้งอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้