คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 168 ติดฉินหลิวซีไว้บนกำแพง
ตอนที่ 168 ติดฉินหลิวซีไว้บนกำแพง
จบเรื่องของเถียนเอ้อร์ ฉินหลิวซีรู้สึกมีความสุข นางที่เดิมไม่ให้ความสนิทสนมกับคนไข้พึงพอใจอวี้ฉังคงขึ้นเรื่อยๆ
คนผู้นี้หน้าตาดีใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล จิตใจยังดีด้วย
อวี้ฉังคงสัมผัสได้ถึงความยินดีของฉินหลิวซี ในใจก็มีความสุขตามไปด้วย เอ่ย “ท่านอาจารย์ดีใจมากเลยหรือ”
“ใช่” ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านคงยังไม่คุ้นเคยกับเมืองหลีกระมัง ข้ารู้จักร้านทำเกี๊ยวอร่อยมาก ข้าเลี้ยงท่านดีหรือไม่”
เฉินผีที่อยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้นมามองสำรวจนาง หาได้ยากจริงๆ คนตระหนี่จะเลี้ยงข้าวคนด้วย
อวี้ฉังคง “จะให้ท่านออกเงินได้เยี่ยงไร ท่านช่วยรักษาข้าต้องทุ่มเทกำลังความสามารถไปมาก หากจะเลี้ยง ต้องเป็นฉังคงเลี้ยงถึงจะถูก”
“ท่านจ่ายค่ารักษาแล้ว ไม่ต้องจ่ายค่าอย่างอื่นหรอก” ฉินหลิวซีโบกมือ “ไปกันเถิด เรารีบไปตอนนี้ ไปช้ากลัวไส้กุ้งจะหมดเสียก่อน”
อวี้ฉังคงเห็นเช่นนั้นก็ไม่ลังเล มององครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างเสา ออกคำสั่ง “ต้าฉยง ไปเตรียมรถ[1]”
ร้านเกี๊ยวที่ฉินหลิวซีบอกอยู่ในตรอกถนนทางทิศตะวันตก เป็นเพียงร้านเล็กๆ คนเฝ้าร้านคือคนแก่สองคนกับหลานสาวยังเด็กคนหนึ่ง ระหว่างทางไปร้านเกี๊ยว มีผู้คนเอ่ยทักทายฉินหลิวซีไม่น้อย มีกระทั่งคนเดินเข้ามาถามว่าช่วงนี้ตนเองไม่สบายที่ใดหรือไม่ ขอให้นางตรวจชีพจรและเขียนใบจ่ายยา
ฉินหลิวซีเองก็อารมณ์ดี มีบางคนเพียงมองก็บอกว่าเขาเป็นไข้ ใช้ขิงอาบน้ำกำจัดความร้อนก็พอ บางคนไม่ต้องตรวจชีพจรด้วยซ้ำก็บอกว่าเขาไม่เป็นอะไร เพียงบอกว่าไฟในใจกำลังเพิ่มขึ้น กินอะไรที่เอาชนะไฟนั้นก็พอแล้ว
กระทั่งมาถึงร้านเกี๊ยว มีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ด้านหลังเตามีชายชราผู้หนึ่งกำลังยุ่งกับการต้มเกี๊ยว หญิงชราคนหนึ่งกำลังยกเกี๊ยวสดใหม่ออกมาจากด้านใน
นอกจากนี้ยังมีเด็กสาวม้วนมวยผมอายุยังไม่เกินสิบสองกำลังเก็บจานเก็บโต๊ะ มองเห็นฉินหลิวซี ดวงตาวาววับขึ้นมา “พี่เสี่ยวฉิน พี่มาแล้วหรือ รีบมานั่งเร็วเจ้าค่ะ”
“ไม่เจอกันหลายวัน เจวียนเอ๋อร์สวยขึ้นอีกแล้ว” ฉินหลิวซีตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ลูบมวยผมบนศีรษะของเด็กน้อยเบาๆ
นางหน้าแดงขึ้น เอ่ยไม่พอใจ “ท่านหยอกล้อข้าอีกแล้ว”
“ข้าเอ่ยความจริง เจ้ายังไม่เชื่ออีกหรือ” ฉินหลิวซีแสร้งทำเป็นเสียใจ
หลีเสี่ยวเจวียนรีบเอ่ย “ข้าเชื่อเจ้าค่ะ”
ท่านลุงหลี่หัวเราะขึ้น เอ่ย “คุณชายเสี่ยวฉินมาแล้ว เหมือนเดิมหรือไม่”
“ขอรับ สองถ้วย เฉินผีพวกเจ้าจะเอาไส้อะไร บอกกับลุงหลี่” ฉินหลิวซีเดินไปยังโต๊ะที่หลีเสี่ยวเจวียนชี้ ยังดึงแขนเสื้อของอวี้ฉังคงไปด้วย “ไป พวกเราไปนั่งรอ”
อวี้ฉังคงมองไปยังโต๊ะตัวนั้น ยังมีคนนั่งอยู่ตรงนั้นหนึ่งคน แต่เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้ คนผู้นั้นก็หายไปแล้ว
เอ๋
ตาฝาดหรือ
ทั้งสองนั่งลง หลีเสี่ยวเจวียนจึงยกชาเข้ามา ยกถั่วลิสงทอดมาอีกจาน เอ่ย “พี่เสี่ยวฉินทานเถิด ข้าไปทำงานแล้ว”
“เจ้าไปเถิด” ฉินหลิวซีหยิบตะเกียบขึ้นมาจากกล่องตะเกียบ ชูขึ้น “ร้านลุงหลี่เป็นร้านเล็กๆ แต่อาหารสดใหม่ สะอาดสะอ้าน ตะเกียบก็ยังถูกต้มด้วยน้ำร้อน ไม่สกปรก หากท่านรังเกียจ…”
“ข้าไม่รังเกียจ” อวี้ฉังคงรีบเอ่ย “อีกอย่าง กินไปแล้วไม่สบายตรงไหน ท่านก็คงไม่มองเฉย”
“ก็จริง”
ลุงหลี่ยกเกี๊ยวไส้กุ้งสดๆ ออกมาด้วยตนเอง ในน้ำแกงใสมีเกี๊ยวแป้งบางยี่สิบกว่าชิ้น ยังใส่ต้นหอมสับตกแต่ง สีเขียวขจี กลิ่นหอมเตะจมูก
ฉินหลิวซีมองลุงหลี่เล็กน้อย เอ่ย “ลุงหลี่ปวดเอวหรือ”
“ท่านดูออกด้วยหรือ” ลุงหลี่ค้อมตัวลง เอ่ย “กางเกงนี้ไม่สบายเท่าใด ปวดเอวและหนาวมาก
“ท่านก้มหน้าก้มตาทำเกี๊ยวมานานหลายปี แน่นอนว่าต้องเจ็บ เดี๋ยวข้าฝังเข็มให้ท่าน เขียนใบจ่ายยาช่วยขับความหนาว” ฉินหลิวซีเอ่ย”
“โอ้ เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านแล้ว”
“เรื่องเล็กน้อย ท่านทำงานก่อนเถิด”
“ได้ คุณชายเสี่ยวฉินทานให้อร่อย คุณชายท่านนี้ก็ด้วย ไม่เค็มปรุงเพิ่มอีกได้” ลุงหลี่ยิ้มให้อวี้ฉังคงเช่นกัน
อวี้ฉังคงพยักหน้าน้อยๆ เพื่อขอบคุณ
ฉินหลิวซีเอ่ย “กินตอนร้อนๆ เกี๊ยวของลุงหลี่ แป้งบาง ไส้สดใหม่ น้ำแกงยิ่งตุ๋นด้วยกระดูกและเห็ด ทั้งเปลือกกุ้งหัวกุ้งเปลือกหอยและเนื้อสัตว์อีกด้วย อร่อยมาก ท่านลองชิม”
นางหยิบตะเกียบออกมาจากกล่องตะเกียบ หยิบช้อนขึ้นมาวางไว้บนถ้วยของเขา
อวี้ฉังคงชิมน้ำแกงก่อน ชะงัก น้ำแกงรสชาติติดหวานมีความหอมของเห็ด จึงเอ่ย “อร่อยจริงๆ”
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน หากไม่ดี ข้าก็ไม่บอกว่าดีหรอก มาๆ กินกันเถิด”
นางซดน้ำแกงไปสองอึก จากนั้นคีบชิ้นเกี๊ยวเข้าปาก รสชาติกระจายอยู่ในปาก ความอร่อยยิ่งทำให้ดวงตาของนางเป็นประกายโค้งขึ้นมา
อวี้ฉังคงมองอีกฝ่ายในระยะใกล้ ถูกความสุขนั้นครอบงำ ความอยากอาหารมีมากขึ้น ก้มหน้าก้มตากิน
เพียงแต่เขามองไปจุดหนึ่ง เหมือนมีคนมองมาฝั่งนี้ เมื่อมองให้ดีก็ไม่มีคนแล้ว
เรือนพักแห่งหนึ่งฝั่งตะวันออก มู่ซีมององครักษ์รอบข้างด้วยความโกรธ
“ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่องทั้งหมด เมืองหลีใหญ่เพียงใดกัน หลายวันแล้ว ยังหาตัวไม่เจอ พวกเจ้ามีประโยชน์อะไร อ่า ไม่ได้เรื่อง เจ้าก็เหมือนกัน” มู่ซีโกรธจนจะพ่นควันแล้ว
เขาได้ดั่งใจมาตั้งแต่เด็ก ไม่คิดว่าจะตามหาคนในเมืองหลีแห่งนี้ไม่เจอ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
“ท่านซื่อจื่อ เมืองหลีไม่ใหญ่ แต่เพราะมีท่าเรือแม่น้ำหลี พ่อค้าก็เดินทางเข้าออกจำนวนมาก เมืองหลียังเป็นเมืองที่ร่ำรวยเมื่อเทียบกับเมืองโดยรอบ ไหนจะคนที่ทำการค้าที่นี่ ทั้งยังมีชาวเมืองมากมาย พวกเราวาดรูปยังวาดออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ การตามหาคนอย่างไร้ร่องรอยก็ราวกับงมเข็มในมหาสมุทร” องครักษ์อธิบายอย่างน่าสงสาร
“เจ้ายังมาแก้ตัว ข้าไม่ฟัง ไม่ได้เรื่องก็คือไม่ได้เรื่อง” มู่ซีส่งเสียงหยันหนักๆ
ทุกคนขมขื่นจนจะกลายเป็นมะระ
พวกเขาจะทำอย่างไร พวกเขาเองก็สิ้นหวังนะ อยากไปวาดภาพเหมือนทว่ากลับนึกไม่ออก วาดอย่างไรก็ไม่ถูก แม้แต่มู่ซีเองก็เหมือนกัน ยามลงพู่กันราวกับหนักหลายสิบจิน ไม่อาจเคลื่อนไหววาดออกมาได้
วิชามารชัดๆ
พวกเขาต่างสงสัย คนผู้นั้นมีอยู่จริงหรือไม่
“ท่านซื่อจื่อ เราลองตั้งค่าหัวดีหรือไม่” บ่าวรับใช้ผู้รู้ใจเอ่ยขึ้น
ตั้งค่าหัวหรือ
มู่ซีรู้สึกสนใจขึ้นมา “เจ้าลองว่ามา ตั้งอย่างไร”
“วาดรูปเหมือนสักรูป ติดเอาไว้ในสถานที่ที่คนเดินผ่านไปมาเยอะๆ ให้รางวัลกับคนที่ตามหาเจอ” ซวงเฉวียนเอ่ย “พวกเราเป็นคนมาจากข้างนอกตามหาไม่เจอ คนที่นี่ต้องมีคนรู้จักบ้างกระมัง”
มู่ซีนึกถึงภาพเหมือนก็โมโห “วาดออกมาไม่ได้ จะวาดอย่างไรเล่า”
“ก็วาดแบบคล้ายๆ ที่สำคัญต้องบอกชัดเจนว่ามาชมความสนุกของตระกูลจ้าว ส่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่แน่อาจตามหาเจอก็เป็นได้”
ดูเหมือนจะมีเหตุผล
มู่ซีรู้สึกสนใจขึ้นมา เอ่ย “เอากระดาษกับพู่กันมา ข้าจะวาดเอง ติดเขาเอาไว้บนกำแพง”
[1]เตรียมรถ หมายถึง ผูกม้าเข้ากับรถเทียมม้า