คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 209 นักพรตปู้ฉิวเย่อหยิ่งนัก
ตอนที่ 209 นักพรตปู้ฉิวเย่อหยิ่งนัก
ฉินหลัวซียังไม่หันกลับมา ก็รู้แล้วว่าใครเรียกนางเอาไว้ ก็คือสตรีมีอายุคนนั้นที่คอยหยั่งเชิงและคิดว่าเรื่องยังไม่ใหญ่พอ
เป็นเช่นนั้น สตรีมีอายุผู้นั้นกำลังเดินประสานมือเข้ามา แสดงท่าทีคารวะฉินหลิวซี “คารวะท่านนักพรต”
ฉินหลิวซียกมือประสานกลับไปตามมารยาท เอ่ย “หากผู้แสวงบุญต้องการสนทนาธรรม สามารถไปหานักพรตชิงหย่วนของอารามเราได้ เขามีความรู้เรื่องพระคัมภีร์พระสูตรมากมาย รอบรู้เป็นที่สุด”
อย่ามาหานาง ถึงหานางก็ไม่ไป
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่ ข้ามาเพราะท่านนักพรตเจ้าค่ะ” สตรีมีอายุเผยยิ้ม มองไปรอบๆ “ท่านนักพรตอยู่พูดคุยก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
ฉินหลิวซีเห็นท่าทางระแวดระวังของนาง จึงเดินนำนางไปหยุดอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง ที่นี่เป็นมุมอับ ใครเดินเข้ามาก็สามารถมองเห็นได้ และไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยินเข้า
“ท่านนักพรต ครอบครัวสามีข้าแซ่เสิ่นเจ้าค่ะ” ป้าเสิ่นแนะนำตนเองก่อนหนึ่งรอบ เอ่ย “ข้าได้รับคำสั่งจากเจ้านาย ให้มาเชิญท่านนักพรตไปที่จวนเพื่อรักษาคุณหนูของข้าเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีก็ไม่ถามว่านางมาจากตระกูลใด เพียงตอบ “ท่านเดินทางมาไกล ช่วงนี้ข้ามีเรื่องมากมาย เกรงว่าคงไม่อาจไปที่จวนของท่านได้ ภูเขาข้างๆ นี้ก็เป็นวัดในพระพุทธศาสนา เป็นที่น่านับถือ ผู้แสวงบุญไม่ลองไปขอร้องพระผู้ใหญ่ช่วยปัดเป่าภัยร้ายที่นั่นดูเล่า”
ป้าเสิ่นเห็นว่าเขาสามารถเอ่ยถึงที่มาของตนได้ นางยิ่งนับถือ ส่งเสียงโอ้ขึ้นมา เอ่ย “ลัทธิเต๋าของท่านนักพรตลึกซึ้ง เรื่องในจวนนายข้านี้ ต้องเป็นท่านนักพรตเท่านั้นจึงจะจัดการได้เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีมองสายตาของนางที่แฝงไปด้วยแววอ้อนวอน เอ่ยถาม “ท่านเองเพียงมาขอความช่วยเหลือ จะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องในจวนของท่านหากมิใช่ข้าแล้วจะช่วยไม่ได้”
ชื่อเสียงของนาง ถูกส่งไปไกลเพียงนั้นเลยหรือ
คงไม่ใช่กระมัง
ผู้ใดจะมากเรื่องเพียงนี้
ป้าเสิ่นมองไปรอบๆ เอ่ยเสียงเบา “ความจริงนายท่านได้ยินชื่อเสียงของท่านนักพรตมาจากปากใต้เท้าอวี๋เมืองหลีเจ้าค่ะ”
อวี๋ชิวไฉหรือ
ฉินหลิวซีหรี่ตาลง ส่งเสียงอ้อตอบรับ
น้ำเสียงป้าเสิ่นแผ่วเบา เอ่ย “แม่นางบ้านใต้เท้าอวี๋ ก่อนหน้านี้มีอาการวิกลจริตเช่นนี้หรือไม่ เป็นท่านนักพรตรักษาใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้น”
ป้าเสิ่นเอ่ยขึ้นอีก “ท่านนักพรตเป็นนักพรตเต๋า มีใจเมตตาเห็นอกเห็นใจ ข้าเชื่อว่าท่านนักพรตเป็นคนไม่พูดมาก เช่นนั้นจะไม่ปิดบังท่านนักพรตแล้ว” นางพ่นลมหายใจ เอ่ย “ความจริงแล้ว คุณหนูของนายข้าก็เป็นเหมือนเด็กคนนั้น มีอาการวิกลจริต พอดีใต้เท้าอวี๋มาเยือนเจ้านายข้า จึงได้เอ่ยถึงความเก่งกาจของท่านนักพรต นายท่านจึงสั่งข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านนักพรต”
ดูเถิด สาวใช้ตระกูลใหญ่ ฝึกฝนฝีปากมาดี รู้จักพูดจาเสียจริง
เตือนฉินหลิวซีอ้อมๆ ให้รักษาความลับ จากนั้นเอ่ยชื่นชมมากมาย ก่อนจะเปิดเผยจุดประสงค์การมา
มีเพียงฉินหลิวซีหรือ ไปจวนหนิงโจวครั้งเดียว กลัวว่าไปแล้วคร้านจะเดินทางไกลน่ะสิ
“อาการป่วยของคุณหนูท่าน ข้าเห็นใจอย่างยิ่ง แต่ยังเป็นคำเดิม ช่วงนี้ในอารามมีเรื่องมากมาย ไม่อาจปลีกตัวไปได้จริงๆ” ฉินหลิวซีเอ่ย “เอาอย่างนี้ หากต้องการให้ข้ารักษาจริงๆ เชิญคุณหนูมาที่อารามได้หรือไม่ หากไม่มาที่อาราม มาที่เมืองหลีก็ได้”
“เรื่องนี้จะได้อย่างไร…” ป้าเสิ่นอ้าปากก็รู้สึกว่าไม่สะดวก
ฉินหลิวซีเอ่ยราบเรียบ “มาขอให้รักษาถามหายา มีอะไรไม่ได้กัน นอกเสียจากท่านไม่อยากให้คุณหนูของท่านหายเสียแล้ว”
“โอ้ ท่านนักพรตจะเอ่ยเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ ข้าไม่อาจคิดเช่นนี้ได้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูของข้าเป็นเด็กดี” ป้าเสิ่นโบกมือด้วยความตกใจ เอ่ย “คิดว่าท่านนักพรตคงเข้าใจดีกว่าคนแก่อย่างข้า เมื่ออาการวิกลจริตกำเริบขึ้นมา ใครก็จำไม่ได้ เป็นเหมือนเด็กคนเมื่อครู่เลยเจ้าค่ะ อีกอย่าง คุณหนูของข้า นาง…”
สตรีมีอายุมีท่าทีลังเล กัดริมฝีปาก เอ่ย “คุณหนูของข้าอาการหนักกว่าเด็กเมื่อครู่สักหน่อย คล้ายกับมีบางอย่างสิงอยู่ในร่างกาย นายท่านจึงได้ส่งข้ามาเชิญท่าน”
ฉินหลิวซียิ้มบาง “ให้ท่านมา ความจริงคงมาสอดส่องเท่านั้นกระมัง”
ป้าเสิ่นหน้าร้อนขึ้นมา ท่าทางอึกอัก เอ่ย “ข้าเองก็ไม่เคยเห็น เพียงอยากเห็นฝีมือของท่านนักพรตเท่านั้น”
“ท่านเห็นแล้ว ตอนนี้ก็กลับไปเถิด รายงานไปว่าข้าไม่ได้เรื่อง” ฉินหลิวซีหาว เอ่ย “เช่นนี้ ข้าคงต้องขอตัวแล้ว ผู้แสวงบุญจะขอยันต์อยู่เย็นเป็นสุขกลับไปให้คุณหนูท่านก็ได้”
นางเอ่ยจบก็เดินหนีไป
“โอ้ ท่านนักพรต” ป้าเสิ่นเดินตามไปสองก้าว เห็นฉินหลิวซีไม่แม้จะหันกลับมา หัวคิ้วพลันขมวดขึ้น
นักพรตปู้ฉิวผู้นี้ช่างหยิ่งนัก
ช่วยคนเหมือนช่วยดับไฟ ต่างก็เป็นนักบวช เมตตาบ้างมิได้หรือ
แต่นึกถึงสิ่งที่ใต้เท้าอวี๋บอก นักพรตปู้ฉิวผู้นี้นิสัยดื้อรั้นเป็นอิสระ ทว่ายิ่งไม่อาจล่วงเกินได้ นางเองก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม
หรือเพราะนักพรตเห็นว่านางเป็นคนแก่มาคนเดียว จึงไม่ไว้หน้าอยากผลักไสหรือ
เห็นได้ชัดว่านางรักษาเด็กคนนั้นจนหายโดยไม่เอ่ยปาก
น่าแปลกจริงๆ
ป้าเสิ่นนึกถึงเจ้านายน้อยของตน ในใจรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา และไม่อาจตัดสินใจได้ และนึกไปถึงที่ใต้เท้าอวี๋บอกกับนาง อารามชิงผิงอยู่ในเขตเมืองหลี บางทีอาจเห็นแก่หน้าใต้เท้าอวี๋ มิสู้เชิญเขามาพร้อมกับตนอีกสักครั้งก็ได้
หากไม่ได้จริงๆ ก็ส่งคนกลับไปรายงานก่อน ไม่สิ ต้องกลับไปด้วยตนเอง อย่างไรนางก็เห็นกับตาตนเอง
ป้าเสิ่นตัดสินใจแน่วแน่ ขอยันต์อยู่เย็นเป็นสุขติดตัวพร้อมให้คนส่งนางกลับไปยังบ้านตระกูลอวี๋ในเมืองหลี อีกทั้งยังเชิญใต้เท้าอวี๋เป็นคนกลาง มองไปยังอารามชิงผิงอีกครั้ง
ฉินหลิวซีไม่รู้ถึงแผนการของป้าเสิ่น เดินหาไปทั่ว ในที่สุดก็เจอชิงหย่วน กระตุกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินเข้าไปจัดการ
“ใครใช้ให้เจ้าสร้างเรื่องให้ข้า ทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมอะไรของเจ้า อยากให้ข้าเหนื่อยตายแล้วขึ้นเป็นผู้สืบทอดของอารามง่ายๆ อย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีต่อว่าพลางไล่ทุบตีเขาไปทั่ว “มานี่ ตอนนี้ข้าจะทรยศต่ออาจารย์ นับจากนี้ไปเจ้าก็คือศิษย์อันดับหนึ่งของอารามชิงผิง เอาเลยเจ้าเป็นเลย เจ้าเป็นเจ้าอาวาสน้อย หลังจากนี้มีเรื่องใดไม่ต้องมาหาข้า”
ชิงหย่วนร้องเสียงดัง “ศิษย์พี่ ข้าไม่กล้ามีความคิดทรยศเช่นนี้ ข้ากำลังชื่นชมท่านนะขอรับ”
“ถุย เจ้ากำลังอยากให้ข้าหัวหมุนเหมือนลา นึกย้อนดูช่วงนี้ ตาเฒ่าไม่อยู่ยังเอาเงินน้ำมันตะเกียงไปด้วย ข้าทำอะไรมากมาย ยังไม่ได้หยุดหายใจดีๆ เลย เจ้ายังสร้างเรื่องให้ข้า เมื่อครู่ข้าเกือบปลีกตัวออกมาจากป้าๆ เหล่านั้นแทบไม่ได้ ตาเฒ่าหายนะอย่างเจ้า เจ้าอย่าวิ่งหนีนะ ข้ารับรองจะไม่ตีเจ้าจนตาย”
ชิงหย่วน “ข้ายังไม่ถึงสี่สิบด้วยซ้ำ ไม่ใช่ตาเฒ่า”
“เจ้าโตไว ก็เป็นตาเฒ่าน้อย”
อู๋เหวยที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังยืนอึ้งมองภาพนี้ นี่ นี่คือปู้ฉิวที่มีความสามารถร้ายกาจหรือ
นี่มันเด็กเกเรชัดๆ
“ศิษย์พี่อู๋เหวย ทำตัวให้ชินก็พอ ศิษย์พี่ปู้ฉิวไม่ตีศิษย์พี่ชิงหย่วนถึงตายหรอกขอรับ” นักพรตในอารามนามว่าชิงหมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี
อู๋เหวยชี้ไปที่พวกเขา “จะดูอยู่เฉยๆ หรือ”
“ไม่ดูก็ได้ อย่างไรเดี๋ยวก็หยุดแล้ว” ชิงหมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปหากศิษย์พี่ปู้ฉิวตีท่าน ท่านก็แสร้งทำเป็นเจ็บก็พอ ไม่ได้เจ็บจริง ไม่ตายด้วย อ้อ ต่อให้ตีจนเกือบตาย อีกฝ่ายก็จะช่วยชีวิตท่าน วางใจเถิด”
อู๋เหวยตัวสั่น เอ่อ ข้าต้องเอ่ยขอบคุณหรือไม่
*********************************