คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 212 มารร้ายไม่เชื่อฟัง
ตอนที่ 212 มารร้ายไม่เชื่อฟัง
อารามชิงหลานเป็นอารามใหญ่ที่มีชื่อเสียงในบริเวณโดยรอบชิงโจว สภาพแวดล้อมเงียบสงบ นับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงตอนนี้เป็นเวลากว่าสี่สิบปีแล้ว มีอาคารสง่างามยิ่งใหญ่ ประวัติศาสตร์ยาวนาน นิกายเจิ้งอี บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งคือท่านปรมาจารย์จางเต้าหลิง สั่งสมบารมีล้ำลึก ควันธูปเทียนลอยฟุ้งกว้างไกล มีผู้ศรัทธามากมาย
และในอารามชิงหลานมีคัมภีร์หายากมากมาย ได้ยินว่ายังมีสูตรยาอายุวัฒนะที่จางเทียนซือ[1]ได้มอบเป็นของขวัญแก่ปรมาจารย์รุ่นแรกเหลืออยู่บางสูตร
ดังนั้น ยาอายุวัฒนะของอารามชิงหลานจึงเป็นที่เลื่องชื่อและยากจะได้มาครอบครอง ตระกูลใหญ่ตระกูลเล็กต่างยอมจ่ายในราคาสูงสำหรับยานี้ เพื่อรักษาให้คนแก่ในตระกูล อย่างไรเพราะยาอายุวัฒนะนั้นครอบครองได้ยาก การฝึกฝนปรุงยาออกมาก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้นจึงมีน้อยกว่าความต้องการ
ของหายากนั้นมีคุณค่า ยาอายุวัฒนะยากจะครอบครองทำให้ยิ่งดูลึกลับ ผู้เป็นเจ้าของและผู้ได้รับต่างก็ภาคภูมิใจหากได้รับเป็นของขวัญ เช่นนั้นจึงกลายเป็นของขวัญที่อัญมณีล้ำค่าทั่วไปไม่อาจเทียบได้
ฉินหลิวซีคิดว่าหากอยากมีชื่อเสียงก็จะต้องมีตำนาน อารามชิงหลานอาศัยเป็นอารามแรกที่เป็นของท่านจางเทียนซือ อีกทั้งยังมีเรื่องราวของยาอายุวัฒนะ รวมถึงความเชื่อของผู้คนต่อการกราบไหว้บูชา
ไม่ว่าตำนานเหล่านี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ เมื่ออารามชิงหลานปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไป ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ดูวิหารอันงดงามและประตูทางเข้านั่นสิ ดูมีความมั่งคั่ง
ฉินหลิวซีรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
อีกไม่กี่วันอารามชิงผิงก็จะมีรูปหล่อทองคำของปรมาจารย์ลัทธิเต๋าแล้ว มีประตูทางเข้าเรียบง่าย มีวิหารไม่กี่แห่ง เพิ่งกลับมาเปิดรับผู้แสวงบุญได้สิบปี ซ่อมแซมอีกเล็กน้อย พวกเขาก็คงดูไม่ทรุดโทรมแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับอารามชิงหลานที่โอ่อ่า อารามชิงผิงก็ดูคล้ายหมู่บ้านเล็กๆ ไปเลย
ฉินหลิวซีรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย สักวันนางจะพาอารามชิงผิงเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าให้ได้
นางในตอนนี้ ราวกับไม่คิดถึงเมื่อครู่ที่ตนไล่ตีชิงหย่วน ยังบอกว่าหาเรื่องมาให้ตนอยู่เลย
ฉินหลิวซีมองภาพวาดขาวดำที่กำแพงประตูทางเข้า ลอบมีแผนขึ้นมาในใจดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
แม้ท้องฟ้าจะมืดไปนานแล้ว แต่ท้องฟ้าในคืนนี้งดงามมาก ขึ้นเขามีหมอกรอบกาย ทำให้อารามชิงหลานดูลึกลับ ฉินหลิวซีกวาดตามองกำแพงประตูทางขึ้นเขา เตรียมเคาะประตูเพื่อเข้าไป
ด้านหลังกลับมีเสียงเรียกดังขึ้น
เท้าของฉินหลิวซีหยุดลง หันไปมองหญิงงามที่ถูกตนลืมไปชั่วขณะ พบว่าในตอนที่ซือเหลิ่งเย่ว์อยากเดินเข้ามา ราวกับมีประตูที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้อยู่
“เฮ้ เจ้าเป็นเพียงวิญญาณที่ยังมีชีวิต ไยจึงเข้ามาไม่ได้เล่า” ฉินหลิวซีตกใจเล็กน้อย หันมองไปวิหารใหญ่ หรี่ตาลงพลางครุ่นคิด เอ่ย “อารามชิงหลานแห่งนี้มีอะไรบางอย่าง”
ซือเหลิ่งเย่ว์เองก็ขมวดคิ้ว
“ได้ยินครอบครัวเรียกหาวิญญาณของเจ้าหรือไม่” ฉินหลิวซีถามนาง
ซือเหลิ่งเย่ว์ส่ายศีรษะ
ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าออกจากร่างมานานเพียงใดแล้ว ถึงยังไม่เรียกเจ้ากลับ ออกมาจากร่างนานเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะมีผลร้ายต่อดวงวิญญาณของเจ้ามากเพียงใด หากโชคร้ายสักหน่อย บางทีอาจถูกวิญญาณเร่ร่อนเข้าไปอาศัยร่างของเจ้า เช่นนั้นก็ยุ่งยากจริงๆ แล้ว เอาอย่างนี้หรือไม่ เจ้ากลับไปตามหาร่างของเจ้าด้วยตนเอง”
“ข้าลืมแล้วว่าก่อนที่ข้าจะตื่นขึ้นมาข้ามาจากที่ใด” ซือเหลิ่งเย่ว์ขมวดคิ้วเอ่ย “ลืมตาขึ้นมาก็อยู่บนถนนเส้นนั้น จำเรื่องก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย”
ฉินหลิวซีเดินเข้ามา จับข้อมือนางขึ้นมาตรวจเส้นชีพจร เอ่ย “ดวงวิญญาณเข้าไปอยู่ในเส้นทางหยิน ยังเป็นสตรีอีก ได้รับความเสียหายมาก แม้เจ้าจะมีเครื่องรางปกป้อง ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณจะไม่ถูกกลืนกิน เครื่องรางนี้ใกล้จะแตกสลายแล้ว ถึงคุ้มครองเจ้าไม่ได้ทั้งหมด ทำให้เจ้าได้รับผลกระทบจากพลังหยิน ตอนนี้จึงเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องรีบกลับเข้าร่างได้แล้ว”
“แต่ข้า…”
“เชื่อใจข้าหรือไม่”
ซือเหลิ่งเย่ว์นิ่งไปชั่วครู่
ฉินหลิวซีหยิบน้ำเต้าหยกที่แขวนอยู่บนเอวขึ้นมา เอ่ย “ข้าจะเข้าไปตามหาคนในอาราม เจ้าจะรออยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ เจ้ายังจำไม่ได้ว่าบ้านเจ้าอยู่ที่ใด วิญญาณออกจากร่างนานไม่ดีนัก เครื่องรางนี้ของข้าเอาไว้เลี้ยงวิญญาณ หากเจ้าเชื่อข้าก็เข้าไปอยู่ข้างในก่อน” นางชี้ไปยังอาราม เอ่ย “ที่นี่คืออารามชิงหลาน หากเจ้าอาวาสอยู่ ข้าจะให้เขาส่งเจ้ากลับไป”
ซือเหลิ่งเย่ว์มองประตูทางเข้า เอ่ย “ข้าเหมือนเคยมาที่นี่”
“เช่นนั้นก็ยิ่งดี ไม่แน่ว่าอาจมีนักพรตคนใดจำเจ้าได้ เข้ามาเถิด” ฉินหลิวซีหันปากขวดน้ำเต้าไปหานาง
ซือเหลิ่งเย่ว์ลังเลอยู่ชั่วครู่ เดินเข้าไปในปากขวดน้ำเต้านั้น ด้านในราวกับมีแรงดูด ดูดนางเข้าไป รู้สึกเย็นยะเยือกในหัวใจขึ้นมาชั่วขณะ
นางเข้าไปด้านในขวด ข้างในมีถ้ำแปลกๆ เป็นห้องเล็กๆ ที่มีตัวอักษรมากมาย ด้านนอกห้องยังมีเรือนเล็กๆ ต้นไม้ดอกไม้รื่นรมย์ ภูเขาแม่น้ำมีไอหมอกลอยขึ้น
คล้ายดินแดนเทพในห้วงความฝัน
ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกแปลกใหม่ ด้านนอกมีเสียงของฉินหลิวซีดังขึ้น “ตามสบาย”
ฉินหลิวซีตบน้ำเต้าหยก ปิดฝาเอาไว้
และในตอนที่นางเดินเข้าไปในอารามชิงหลานนั้นเอง ภายในบ้านหลังใหญ่หรูหราในเมืองชิงโจว เจ้าอาวาสชิงหลานที่ถูกฉินหลิวซีบ่นถึงนั้นกำลังบ่นหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังนั่งดื่มกินอย่างมูมมาม
“มารร้าย เจ้ายังไม่รีบออกไปจากร่างของสตรีนางนี้อีกหรือ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ดวงตาหญิงสาวจ้องเขม็ง อ้าปาก เลือดและเนื้อไหลออกมาจากปากของนาง น้ำเสียงหยาบและแหลมคม “นักพรตเฒ่า ใครใช้ให้เจ้ายุ่งเรื่องชาวบ้าน ข้าตายมาหลายร้อยปี ไม่ง่ายกว่าจะหาร่างสักร่างได้ เจ้าให้ข้าไปข้าก็จะต้องไปหรือ เช่นนั้นข้าก็ขายหน้าน่ะสิ”
หากฉินหลิวซีอยู่ที่นี่ ต้องรู้จักสตรีผู้นี้อย่างแน่นอน ก็คือซือเหลิ่งเย่ว์ที่ถูกนางรับไปเลี้ยงเมื่อครู่
แต่ ‘ซือเหลิ่งเย่ว์’ ตรงหน้า กลับไม่ได้เย็นชาสุขุมอย่างที่นางเจอ แต่ถูกวิญญาณเร่ร่อนสิงร่างแล้ว
“เจ้าเข้ามาสิงร่างนี้ได้อย่างไร ร่างกายของนางมีเครื่องราง” เจ้าอาวาสชิงหลานเสียงดัง
‘ซือเหลิ่งเย่ว์’ หัวเราะเสียงแหลมขึ้นมา ดึงเชือกออกมาจากคอ เอ่ย “เจ้าหมายถึงสิ่งนี้หรือ”
นางเพียงดึง เชือกก็ขาดออก เพราะถูกแรงดึงหยกนั้นจึงแตกออกเป็นสองส่วน ร่วงลงไปบนพื้น
เครื่องรางถูกทำลายลง
ดวงตาของเจ้าอาวาสชิงหลานหรี่แคบเข้า สีหน้าของเขาทะมึนลง
“แม่นางผู้นี้โชคร้ายก็สมควรแล้ว ไปนอนอยู่ในศาลานั้น เกรงว่าชิ้นหยกนี้ตกกระทบโต๊ะหินจนเป็นรอยร้าว ยันต์แตกเป็นเส้น ข้าจึงมีโอกาส ฮ่าๆ ไม่รู้ว่าแม่นางผู้นี้ไปเอาสินค้าลอกเลียนแบบนี้มาจากที่ใด แตกง่ายเพียงนี้ ยังเรียกว่าเครื่องรางอีกหรือ”
‘ซือเหลิ่งเย่ว์’ แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง มองใบหน้าทะมึนของเจ้าอาวาสชิงหลาน แสร้งทำใบหน้าละอายใจขึ้นมา เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ทำไมหรือ เครื่องรางลอกเลียนแบบนี้หรือว่าเป็นนักพรตเฒ่าอย่างเจ้าที่เป็นคนให้มาหรือ ฮ่าๆ เจ้านักต้มตุ๋น หลอกเอาเงินนางไปเท่าใดกัน จะให้ก็ให้ของดีกว่านี้สักหน่อยเถิด เจ้าเพิ่งโกหกนางเพราะของปลอมเพียงชิ้นเพียวนี้”
น่ารำคาญ
เขาเป็นถึงเจ้าอาวาสรุ่นที่ห้าของอารามชิงหลาน จะมาถูกวิญญาณเร่ร่อนเหยียดหยามได้อย่างไร
เจ้าอาวาสชิงหลานโกรธจนตัวสั่น
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนที่มาชมความสนุกสนานกับเขาปรายตามองเห็นสายตางุนงงของบิดาซือเหลิ่งเย่ว์ที่กำลังร้องห่มร้องไห้ ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ กระแอมไอ เอ่ย “รุ่นพี่อี้หยาง ไยต้องพูดคุยกับนางให้เสียเวลา ผีร้ายนี้ไม่ฟังคำคน ไล่ออกไปแล้วทำให้วิญญาณของนางแตกซ่านก็พอแล้ว”
สิ่งแรกที่ต้องทำคือเรียกความน่าเชื่อถือกลับมา ไม่เห็นหรือว่าคนในครอบครัวนี้แทบจะมองจนทะลุอยู่แล้วโนเวลพีดีเอฟ
‘ซือเหลิ่งเย่ว์’ ได้ยินนักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ย จึงเอ่ยตอบกลับด้วยความโกรธ “เจ้านักพรตเฒ่า รนหาที่ตายจริงๆ”
“ผีแก่หัวขโมยอย่างเจ้าจะทำให้ข้าตายได้เยี่ยงไรหรือ” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ยกลั้วหัวเราะ ท้าทาย “มาตีข้าสิ”
ดูสิว่าศิษย์ทรยศของข้าจะไม่ตีเจ้าตาย
[1] จางเทียนซือ เป็นชื่อที่ใช้เรียกจางเต้าหลิงกันภายในลัทธิเต๋า
**********************