คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 259 ต้องการยา เอาเงินมาแลก
ตอนที่ 259 ต้องการยา เอาเงินมาแลก
สะใภ้เกายืนนิ่งไม่ขยับ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่อาจห้ามได้ ในใจรู้สึกไม่ยินยอมและเศร้ารันทดเป็นที่สุด
เมื่อนางกลับถึงบ้าน ในบ้านก็มีพ่อบ้านวัยกลางคนในชุดคลุมยาวยืนอยู่ในบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าเอ่ยสิ่งใด ใบหน้าของแม่สามีและพ่อของลูกถึงได้แสดงสีหน้าตกตะลึงจากนั้นก็เต็มไปด้วยความยินดี แล้วรีบบังคับนางกลับมารับคน
ระหว่างทางนางจึงได้รู้ ที่แท้คนผู้นั้นเอาเงินหนึ่งพันตำลึงเงินมาให้สัญญา ให้พาเด็กและยาที่เรียกว่าอวี้เสวี่ยจีนั้นกลับไป
เงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงเงินสำหรับครอบครัวอย่างพวกเขาเป็นอย่างไร เป็นตัวเลขที่ต่อให้ขึ้นสวรรค์ก็ไม่อาจหาได้ ระหว่างทางแม่สามีของนางก็เอ่ยไม่หยุด มีเงินนี้แล้วน้องชายสามีก็จะได้แต่งกับสตรีฉลาดรู้หนังสือคิดบัญชีเป็น ฝ่ายหญิงจะได้มีสินสอดที่เชิดหน้าชูตาได้ ให้เห็นว่าครอบครัวสามีนั้นมีฐานะ
แม่สามีตื่นเต้นดีใจราวกับว่าได้เงินหนึ่งพันตำลึงมาไว้ในมือแล้ว
สะใภ้เกาตัวชาไปทั้งตัว เอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค “แล้วเยี่ยนเอ๋อร์เล่าเจ้าคะ”
“เยี่ยนเอ๋อร์เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ขอเพียงตั้งท้องได้ ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็เป็นเพียงคนของบ้านสามี เพียงใบหน้าไม่สวยแล้วอย่างไรเล่า เป็นสตรี สิ่งสำคัญก็คือให้กำเนิดบุตรชาย มิเช่นนั้นต่อให้สวยราวกับดอกไม้ก็ไร้ประโยชน์” แม่สามีเอ่ยเช่นนี้
วาจานี้มีความหมายลึกซึ้งอย่างชัดเจน
นางหน้าตาไม่เลว แต่ไม่อาจมีบุตรชายให้ตระกูลเกาได้
สะใภ้เกามองไปยังสามี อีกคนหลบสายตา เห็นได้ชัดว่าคิดเหมือนแม่สามี
สะใภ้เกาหลุบตาลง “หากข้าไม่ยอมเล่า”
แม่สามีสะบัดมือตบหน้านางไปหนึ่งครั้ง เสียงแหลมเอ่ยว่า “บ้านนี้ไหนเลยเจ้าจะตัดสินใจได้ หากเจ้าไม่ยอม ลูกเฉวียนเจ้าหย่ากับนางซะ ให้นางไสหัวไป”
สะใภ้เกายกมือกุมใบหน้ามองไปยังเกาเสี่ยวเฉวียนอีกครั้ง “เยี่ยนเอ๋อร์คือลูกสาวแท้ๆ ของท่าน หากใบหน้าของนางเสียโฉม ชีวิตนี้ของนางก็จบสิ้นแล้ว”
เกาเสี่ยวเฉวียนไม่เอ่ยแม้เพียงคำเดียว ใช้ความเงียบแสดงออกถึงท่าทีของตนเอง
“หากข้าไม่รับแม้แต่หนังสือหย่าเล่า เช่นนั้นจะสังหารข้ากับเยี่ยนเอ๋อร์เลยหรือไม่” สะใภ้เกาหัวใจเย็นยะเยือก เอ่ยเสียงเบา
“เอ่ยเหลวไหลอะไรมากนัก รีบไป หากทำให้เยี่ยนเอ๋อร์กลัว ข้าจะเอาชีวิตเจ้า” แม่สามีผลักนางเข้าประตู
สะใภ้เกานึกถึงคำของฉินหลิวซี จนมาถึงตอนนี้
หากกลับบ้าน รักษายานี้เอาไว้ไม่ได้ กระทั่งชีวิตก็รักษาเอาไว้ไม่ได้
ที่แท้ก็หมายความเยี่ยงนี้
“เจ้ายังจะยืนโง่อยู่ไย ยังไม่รีบไปอีก” แม่สามีเกาเตรียมฟาดฝ่ามือลงไปอีกครั้ง
แต่ฝ่ามือนี้กลับไม่ได้ฟาดลงไป มือของนางราวกับมีบางอย่างหยุดเอาไว้ ไม่อาจขยับได้
แม่สามีเกาตกใจ อยากขยับทว่าไม่อาจขยับได้แม้เพียงเล็กน้อย สีหน้าตกใจของนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหวาดกลัว เกิดอะไรขึ้น ไยนางจึงขยับไม่ได้
“ข้า ข้า…” แม่สามีเกาแทบเปล่งเสียงไม่ออก
ที่นี่ มีผีหรือ
ฉินหลิวซีรู้สึกน่าขันมองไปยังซือเหลิ่งเย่ว์ ก่อนจะส่ายศีรษะ
ซือเหลิ่งเย่ว์สะบัดมือออก เอ่ยเสียงเย็น “แม้บอกว่าแม่สามีรังแกลูกสะใภ้เป็นเรื่องปกติ แต่เห็นกับตาว่าทำร้ายนางต่อหน้าผู้คนมากมาย ข้าทนไม่ได้”
มือของแม่สามีเกาเป็นอิสระ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว มองไปรอบๆ ด้วยความหวาดระแวง
ผู้จัดการเยี่ยมองไปยังฉินหลิวซี นางเอ่ยว่า “อยากเอาตัวเด็กไป เช่นนั้นก็รับไปเถิด ผู้จัดการเยี่ย ให้คนพาพวกเขาไปอุ้มเด็ก”
สะใภ้เกาตกใจ คนอื่นกลับมีสีหน้ายินดี
“ยังนิ่งอยู่ทำไม ยังไม่รีบไปอีก” แม่สามีเกาผลักสะใภ้เกา เห็นนางยังนิ่ง แทบโกรธจนอยากกระทืบเท้า ทำได้เพียงผลักบุตรชาย “เจ้าไปอุ้มมาเอง”
ผู้จัดการเยี่ยเห็นว่าฉินหลิวซีไม่ได้ล้อเล่น จึงพยักหน้าให้กับผู้ช่วย “พาเขาไป”
ผู้ช่วยจึงพาเกาเสี่ยวเฉวียนเข้าไปอุ้มเยี่ยนเอ๋อร์ออกมา
เพียงแต่ ยาเล่า
เกาเสี่ยวเฉวียนและแม่สามีเกามองสบตากัน จากนั้นมองไปยังสะใภ้เกา เอ่ย “เจ้าเป็นแม่ประสาอะไร ยังไม่ไปเอายามาอีก” เห็นนางทำราวกับไม่ได้ยิน โกรธจนแทบอยากจะตีสักครั้ง หลังจากผลักนางออกไปก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มประจบประแจง “เอ่อ ท่านหมอ ยาที่ใช้รักษาใบหน้าของหลานสาวข้าเล่า”
ซือเหลิ่งเย่ว์โกรธจนแทบอยากหัวเราะออกมา เอ่ยเสียงเย็นอยู่ข้างฉินหลิวซี “นับตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ พวกเขายังไม่เอ่ยถามถึงบาดแผลของเยี่ยนเอ๋อร์เลยแม้แต่ประโยคเดียว ตอนนี้อุ้มนางออกมาแล้ว ผู้เป็นบิดาเห็นใบหน้าบุตรสาวถูกพันเอาไว้ยังไม่เอ่ยอะไรสักนิด ในดวงตาราวกับไม่มีความห่วงใยอย่างไรอย่างนั้น คนเป็นย่า ยิ่งไม่แม้แต่ชายตามองแม้เพียงนิด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเป็นห่วงแล้ว อ้อ ตอนนี้กลับเป็นห่วงยาขึ้นมาแล้ว น่าขันสิ้นดี”
ใบหน้าของฉินหลิวซีไร้คลื่นลม
นี่คือนิสัยของคน
ฉินหลิวซีเอ่ย “ยาอันใด”
“ยาที่ใช้รักษาหลานสาวของข้าอย่างไรเล่า” แม่สามีเกามองไปยังหลานสาว เห็นใบหน้าของนางมีผ้าพันอยู่ ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะคลายออก
ฉินหลิวซีเอ่ย “ยาใส่แผลของนางเป็นตำราลับเฉพาะของข้า ไม่แพร่งพรายให้ผู้ใด แต่หากมีเงินถึง ก็จะปรุงให้เจ้าเอากลับไปได้”
แม่สามีเกาชะงัก เอ่ย “ให้เงิน เท่าใด”
ฉินหลิวซีมองไปที่ผู้จัดการเยี่ย “บอกพวกเขา ตอนนี้ในตลาดอวี้เสวี่ยจีขายราคาเท่าใด”
ผู้จัดการเยี่ยกระแอมไอ เอ่ย “อวี้เสวี่ยจีหนึ่งขวด ขนาดเท่านิ้วมือของข้า เงินขั้นต่ำหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน ก็ยังแย่งชิงมาไม่ได้ หากไปอยู่ในโรงประมูลละก็ ราคาจะเพิ่มขึ้นไปอีก รู้จักโรงประมูลจิ่วเสียนหรือไม่ อวี้เสวี่ยจีประมูลได้ราคาสูงที่สุด คือหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตำลึง”
แน่นอน ขนาดของขวดขวดนั้นจะใหญ่สักหน่อย
เพียงแต่หลายปีมานี้อวี้เสวี่ยจีหายาก ใครบางคนคร้านจะปรุงยา อวี้เสวี่ยจีในตลาดมีน้อย ดังนั้นราคาจึงสูง
“หา เท่าไรนะ” ริมฝีปากของแม่สามีเกาเริ่มสั่น
“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตำลึง”
แม่สามีเกาขาอ่อน ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
เกาเสี่ยวเฉวียนแทบอุ้มบุตรสาวไม่อยู่ ขาทั้งสองข้างสั่นอ่อนแรงเช่นกันดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ใบหน้าของสะใภ้เกากลับเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ นางเห็นว่านายหญิงถูสามยืนกรานจะเอายานี้ให้ได้ รู้ว่าราคาของมันแพงมาก ทว่าไม่รู้ว่ามันจะแพงขนาดนี้
แต่ฉินหลิวซี รับเงินจากนางไปไม่ถึงหนึ่งตำลึงด้วยซ้ำ
สะใภ้เกามองไปยังฉินหลิวซีอย่างล่องลอย สายตาหดเกร็ง ริมฝีปากสั่นระริก น้ำตาในดวงตาพราวระยับ
“ยาบนใบหน้าของหลานสาวท่านมิได้มีเพียงยาหลักอย่างอวี้เสวี่ยจี ยังมีผงไข่มุก สรรพคุณดีมากเช่นกัน ผงไข่มุกที่แปะอยู่บนใบหน้าของนาง คำนวณในราคาถูกก็ยังเป็นเงินห้าตำลึง” ผู้จัดการเยี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านดูสิ ทายาหนึ่งครั้งก็ต้องใช้เงินนับพันตำลึงใช่หรือไม่ แถมยังต้องทาหลายครั้งจึงจะดีขึ้นได้”
“เพียงของแลกเงิน รักษาบาดแผลใช้เงินนับพันตำลึง เจ้าปล้นเงินนี่” แม่สามีเกาเสียงสั่น
ใบหน้าผู้จัดการเยี่ยกระตุก เอ่ยเสียงเข้ม “ท่านป้า ท่านเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในชิงโจวใช่หรือไม่ คนทั่วทั้งชิงโจว ผู้ใดไม่รู้บ้างว่ายาของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะขึ้นชื่อเรื่องดีแต่แพง มิได้รังแกแต่อย่างใด ยินยอมก็ซื้อ มิได้บีบบังคับแต่อย่างใด บอกว่าเราปล้นเงิน ท่านมิใช่คนแรก ทว่าคนที่บอกว่าปล้นเงินคือคนที่มาแย่งชิง แต่มีคนมากมาย อย่างเช่นผู้สูงศักดิ์ที่ส่งพวกท่านมา”
แม่สามีเกาสีหน้าพลันเปลี่ยน หลบสายตา เอ่ยอึกอัก “ข้า ข้าไม่รู้เจ้าเอ่ยอะไร”
“ท่านจะรู้หรือไม่นั่นแล้วแต่ท่าน เพียงอยากบอกท่าน ยานี้สามารถปรุงแล้วเอาให้ท่านนำกลับไปได้ เห็นแก่ความน่าสงสารของเยี่ยนเอ๋อร์ ใส่ยาหนึ่งครั้งหนึ่งพันตำลึง ต้องเอาเงินมาแลกยา” ผู้จัดการเยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “หากไม่มีเงิน เชิญเถิด ไม่ส่งนะขอรับ”