คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 261 ความสัมพันธ์ของนางและร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 261 ความสัมพันธ์ของนางและร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ
ตอนที่ 261 ความสัมพันธ์ของนางและร้านยาตำหนักอายุวัฒนะไม่ธรรมดา
ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับ อวี้ฉังคงยืนอยู่หน้าประตูเมืองหันมองเข้าไปด้านใน ชุดสีหมึกยิ่งทำให้เขาโดดเด่นยิ่งขึ้น ทำให้ผู้คนที่เดินทางเข้าเมืองมองมาด้วยความประหลาดใจ
คุณชายตระกูลใดงดงามเพียงนี้
“คุณชาย ต้องไปแล้วขอรับ” ลุงเฉียนเร่ง
เดิมทีพวกเขาควรออกเดินทางตั้งแต่เช้า ทว่ากลับล่าช้ามาทั้งวัน เขารู้ว่าคุณชายกำลังรอฉินหลิวซี
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ปรากฏตัว ส่งคนไปถามที่อารามชิงผิง คนในอารามบอกว่าอีกฝ่ายมีธุระข้างนอก
อวี้ฉังคงยืนมือไพล่หลัง มองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับ ในที่สุดก็หันหลัง ก้าวเท้าเหยียบตั่งเตี้ย กำลังจะขึ้นรถ สายตาพลันมองเห็นบางอย่างสีเหลืองเข้ามาอยู่ในสายตา
เขาหันมองไป เป็นคนกระดาษที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ เขายื่นมือไปรับ คนกระดาษตัวเล็กร่วงลงบนมือของเขา
อวี้ฉังคงยิ้ม หยิบขึ้นมาแล้วพลิกดูอีกด้าน ด้านบนมีตัวอักษร เดินทางปลอดภัย เขียนเอาไว้
คนกระดาษตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดู ขยับมือขยับเท้าอยู่บนมือของเขา ทั้งยังปีนขึ้นมาทำท่าทางโบกมือไปมาราวกับกำลังบอกลาแทนใครบางคน
“ลำบากเจ้าแล้ว” อวี้ฉังคงลูบศีรษะของคนกระดาษตัวเล็ก พามันขึ้นรถไปด้วย
เขามองประตูเมืองหลีอีกครั้ง เคาะผนังรถ เอ่ย “ไปกันเถิด”
ต้องได้เจอกันอีกแน่นอน
ดวงอาทิตย์ลาลับ ผู้คนออกเดินทาง
เมืองชิงโจวไกลออกไป ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับเช่นกันสาดส่องแสงสีทองอาบไปทั่วสิ่งปลูกสร้าง ผู้คนเดินผ่านไปมาค่อยๆ ลดน้อยลง ร้านค้าแผงขายต่างๆ เริ่มเก็บของกลับบ้าน
ชายชราขายน้ำตาลปั้นนำเก้าอี้น้อยวางลงในตะกร้าเก็บของทั้งหมดเรียบร้อย หาบของขึ้นหลังมุ่งหน้ากลับบ้าน
เขากำลังจะเดินเข้าไปในเส้นทางเดิมที่เคยเดินกลับบ้าน แต่สมองพลันนึกถึงคำพูดของฉินหลิวซีขึ้นมาดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ชายชรามองไปในซอยถนนชั่วครู่พลางครุ่นคิด เขาเดินเข้าไปในร้านค้าด้านข้าง ซื้อน้ำตาลแดงหนึ่งถุงและของชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่กี่ชิ้น
ครื้นนน
เสียงดังโครมครามดังออกมาจากในซอย ดึงดูดให้ผู้คนต้องหันไปมอง ทว่ามองเห็นกำแพงในซอยอยู่ๆ ก็ถล่มลงมา ปิดซอยเอาไว้
ของในมือของชายชราร่วงลงพื้น ใบหน้าขาวซีด ปากสั่นเทาเอ่ยถามเจ้าของร้านชำ “วะ เวลาใดแล้ว”
“ปลายยามเซินแล้ว อัยหย๊า กำแพงนี้อยู่ดีๆ ไยจึงพังลงมาแล้วเล่า ตาเฒ่าถังปกติเจ้าเดินเลี้ยวเข้าไปทางนี้เพื่อกลับบ้านมิใช่หรือ หากมิใช่บังเอิญเจ้าเดินเข้ามาซื้อของ เกรงว่า…”
ขาทั้งสองข้างของชายชราอ่อนยวบ คุกเข่าลงกับพื้น จ้องมองเข้าไปในซอย ปากพร่ำเอ่ย “ม…แม่นจริงๆ เทพเจ้า เขาต้องเป็นเทพเจ้าอย่างแน่นอน สวรรค์ ข้าได้เจอเทพเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ”
เจ้าของร้านของเห็นท่าทางแปลกประหลาดของเขา ทั้งคุกเข่าทั้งกราบไหว้ นึกว่าเขาตกใจจนเสียสติ ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็คงต้องตกใจสนเสียสติกระมัง ผู้ใดจะคิดว่ากำแพงที่ตั้งอยู่ดีๆ จะพังทลายลงมาได้ เมื่อเก็บร้านเสร็จชายชราจะต้องเดินผ่านซอยนี้ทุกวัน หากมิใช่เพราะวันนี้เข้ามาซื้อของ เกรงว่าคงต้องถูกฝังอยู่ด้านในแล้ว
ฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์เดินมาถึงบ้านตระกูลซือ รู้สึกว่ามีบางอย่างเพิ่มขึ้นมาในจิตใจ ดวงตาพลันโค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว
“ทำไมหรือเจ้าคะ” ซือเหลิ่งเย่ว์เห็นนางหยุดเท้า เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ฉินหลิวซีเคาะประตู เอ่ย “ไม่มีอะไร มีผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยถาม “ผู้ศรัทธามากขึ้นสำคัญกับท่านมากเลยหรือ”
“เจ้าเองก็เป็นรุ่นหลังของพ่อมด ไม่รู้หรือว่าความสำคัญของผู้ศรัทธาหรือยิ่งมีผู้ศรัทธามาก มีการเซ่นไหว้บูชา ความเลื่อมใสศรัทธาก็เข้าไปสู่จิตใจ และยิ่งมีความเลื่อมใสมาก แสดงถึงอิทธิฤทธิ์ยิ่งมหาศาล สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียร” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอย่ามองว่าคนลัทธิเต๋ามีมาก แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอิทธิฤทธิ์ ต้องดูการบำเพ็ญเพียรของแต่ละคน ความเลื่อมใสศรัทธามีมาก บุญบารก็มีมากไปด้วย”
ความเลื่อมใสศรัทธาของผู้คนจะกลายเป็นพลังให้แก่คนที่เป็นผู้ถูกศรัทธาผู้นั้น
เทียบกับเทพบรรพตแห่งขุนเขาหนึ่งลูก เทพวารีแห่งสายน้ำหนึ่งสาย ต้องการการกราบไหว้บูชาจากผู้ศรัทธา หากไม่มีการบูชากราบไหว้ หมายถึงไร้ความศรัทธา
หากชาวบ้านไม่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งขุนเขาและสายน้ำ เช่นนั้นเทพตนนั้นก็จะตกต่ำ
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “ห้าสิบปีมานี้ ตระกูลซือของเราก็ไม่มีพลังพ่อมดแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่ต้าเฟิงก็ยังมีพ่อมดอยู่ ไม่มีทางที่จะไม่มีความศรัทธาจึงจะถูก”
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยเสียงเรียบ “ห้าสิบปีก่อน แม่มดคนสุดท้ายที่มีพลังของตระกูลซือได้ตั้งกฎขึ้นมาหนึ่งข้อ จะไม่ถ่ายทอดวิชามนต์ให้คนรุ่นหลังอีก ตอนนั้นนางเองก็มีบุตรีเพียงคนเดียว กฎข้อนี้ เพื่อหวังว่าลูกหลานจะไม่ร่ำเรียนวิชามนต์อีก บางทีคำสาปอาจจะสูญสลาย น่าเสียดายแล้ว”
ต่อให้คนในครอบครัวไม่ร่ำเรียนมนต์ ลูกหลานของรุ่นหลังก็ยังจากไปเร็วดังเดิม
“ร่ำเรียนมนต์หรือไม่เรียนก็ไม่เป็นไร ลูกหลานรุ่นหลัง ไม่ได้อาศัยสิ่งนี้เป็นหลัก อย่างที่ท่านว่า ความชั่วร้ายที่บรรพบุรุษตระกูลซือทำเมื่อร้อยปีก่อน ก็ควรละทิ้งมนต์ที่สร้างเวรกรรมนี้”
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในตระกูลซือ เอ่ย “เจ้ากลับเข้าร่างไปก่อน วิญญาณออกจากร่างนานมิใช่เรื่องดีนักหากเกิดเรื่องอย่างครั้งที่แล้วคงได้วุ่นวาย”
ซือเหลิงเย่ว์พลันนึกไปถึงภาพที่ ‘ตนเอง’ กินจนอาเจียนในตอนนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยน เอ่ย “เช่นนั้นข้าไปก่อน”
ฉินหลิวซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม มองนางเดินไป หางตากวาดมองกำแพงบ้านตระกูลซือ
มีผีมาลับๆ ล่อและหายไป
รีบไปๆ นักพรตน้อยป่าเถื่อนมาอีกแล้ว
…
จวนตระกูลหวัง
หวังกงกำลังนั่งดื่มน้ำแกงหมูสับที่ฉินหลิวซีบอก เพิ่งตุ๋นเสร็จใหม่ๆ เป็นดังที่นางว่า เพียงเติมเกลือเล็กน้อย น้ำแกงก็ออกรสเค็มๆ หวานๆ
และด้านข้าง บ่าวรับใช้กำลังรายงานถึงสิ่งที่ไปเจอเมื่อเขาไปซื้อยา
“…บังเอิญแล้วขอรับ ตอนที่บ่าวไปซื้อยาที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ เห็นอาจารย์ปู้ฉิวผู้นั้นออกไปพอดี ได้ยินผู้ช่วยในร้านยาตำหนักอายุวัฒนะคุยกัน เมื่อลองถามถึงรู้ว่าท่านผู้นั้นได้ช่วยแม่นางน้อยผู้หนึ่งเอาไว้ ทว่ากลับล่วงเกินนายหญิงถูสามแล้ว” บ่าวผู้นั้นเล่าถึงสิ่งที่ตนได้ยินมาให้หวังกงฟัง “ได้ยินว่านายหญิงถูสามผู้นั้นยอมจ่ายเงินกว่าสิบเท่าเพื่อซื้ออวี้เสวี่ยจี แต่อาจารย์ปู้ฉิวไม่ยอมให้นาง”
หวังเจิ้งได้ยินก็ขมวดคิ้ว เอ่ย “ท่านปู่ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูเก้าทำให้ผู้คนบาดเจ็บ เขายังเคยทำให้คนตาย ให้เงินแล้วก็จบไป ไม่คิดว่าครั้งนี้เขาจะทำอีก อีกทั้งยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ตระกูลถูก็ยิ่งตามใจเขา กำเริบเสิบสานเยี่ยงนี้ คิดว่าเมืองชิงโจวอยู่ไกลหูไกลตา ไม่ถูกเบื้องบนไม่ไว้วางใจหรือ”
นายท่านตระกูลถูเป็นเจ้ากรมพระราชยานหลวงในเมืองหลวง คุณชายใหญ่ตระกูลถูเองก็อยู่ปรนนิบัติเขาที่จวนในเมืองหลวง ส่วนคนในบ้านรองอื่นๆ ก็รับตำแหน่งอยู่ข้างนอกบ้าง ไม่ก็อาศัยอยู่ในบ้านเดิมที่ชิงโจว
หวังกงเคาะโต๊ะเบาๆ เอ่ย “เจ้ายังนึกถึงอะไรอีก”
หวังเจิ้งเอ่ย “นายหญิงถูสามยอมจ่ายเงินกว่าสิบเท่าเพื่อซื้ออวี้เสวี่ยจี คิดว่าคงเพราะต้องการให้เป็นของขวัญในวันเกิดของกุ้ยเฟย ปลายฤดูหนาวก็จะเป็นวันเกิดของนางแล้ว หลานได้ยินมาว่า ตอนนี้อวี้เสวี่ยจีหาซื้อได้เพียงในโรงประมูลจิ่วเสียน แต่ไม่คิดว่าร้านยาตำหนักอายุวัฒนะในชิงโจวเองก็มีเก็บเอาไว้ มิน่านางถึงไม่ยอม”
“ก็ใช่น่ะสิ ของหายากเพียงนี้ ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะเก็บเอาไว้ไม่ยอมขาย ที่น่าสนใจก็คือ นายหญิงถูสามผู้นั้นเสนอราคามาสิบเท่าก็ยังไม่ขาย ทว่าเอาให้อาจารย์ปู้ฉิว” หวังกงเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามเขา “นี่แสดงให้เห็นว่าอย่างไร”
หวังเจิ้งชะงัก แสดงให้เห็นว่าอย่างไรอย่างนั้นหรือ
นักพรตหญิงผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านยาตำหนักอายุวัฒนะน่ะสิ และยังเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา