คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 293 ข้าไม่ใช่คนที่เอะอะก็ฆ่าแกงกัน
ตอนที่ 293 ข้าไม่ใช่คนที่เอะอะก็ฆ่าแกงกัน
ในหอส่วนตัวของคุณหนูตระกูลเซียว เซียวชิงหันสวมชุดแสดงละครงิ้วแขนยาวลากพื้นยืนอยู่บนราวบันไดชั้นสองของหอส่วนตัว มองไปยังทั้งจวนตระกูลเซียว ริมฝีปากเอ่ยพึมพำราวกับว่านางกำลังพูดคุยกับใครบางคน แต่ก็เหมือนกำลังคุยกับตัวเอง
“มาอีกคนแล้ว พวกเขาจิตใจโหดเหี้ยม ต้องการแยกพวกเราออกจากกัน หันเอ๋อร์ ข้าเกลียดมัน”
เซียวชิงหันสะบัดแขนเสื้อยาวของนางราวกับว่าเปลี่ยนเป็นอีกคน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นดูน่ากลัว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “มาหนึ่งคนก็ฆ่าหนึ่งคน มาสองคนก็ฆ่าทั้งคู่ พวกเขารนหาที่ตาย”
หลังจากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง “อย่าทำร้ายพวกเขา พวกเขาเป็นครอบครัวของหันเอ๋อร์”
“คนไร้ประโยชน์ ก็เพราะเจ้าไร้ประโยชน์เช่นนี้ คนอื่นจึงไม่เห็นเจ้าในสายตา สมควรแล้วที่มีจุดจบตายอย่างศพไม่ครบชิ้น หากฟังข้าตั้งแต่แรก ดูดกลืนพลังชีวิตของพวกเขาก็จะได้โบยบินไปคู่กันกับหันเอ๋อร์แล้วไม่ใช่หรือ”
“ไม่ ข้าไม่ต้องการ!”
สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ด้านล่างหอมองขึ้นไปยังคนที่อยู่บนชั้นสองผู้นั้น เห็นนางพูดกับตัวเองตลอดเวลา สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจึงอดรู้สึกตกใจกลัวไม่ได้
สถานการณ์เช่นนี้ของคุณหนูไม่ได้เป็นแค่วันสองวัน หลายวันมานี้ก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีหลายคนอยู่ในร่างเดียว แต่คุณหนูที่คุ้นเคยผู้นั้นกลับไม่เคยปรากฏตัวเลย
ทุกคนต่างก็กังวล
ความมืดค่อยๆ ปกคลุมเรื่อยๆ
เซียวชิงหันมองดูนกกำลังร่อนลง ได้สติกลับคืนมา นางขมวดคิ้ว
มีบางอย่างผิดปกติ
นางมองดูทั้งจวน สายตาค่อยๆ หรี่ลงจนไปหยุดอยู่ที่เรือนรับรอง นางขมวดคิ้วแน่นขึ้น ริมฝีปากแดงเม้นจนเป็นเส้นตรง ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
“ดูเหมือนว่าคนที่มาในครั้งนี้จะมีความสามารถเลยทีเดียว” เซียวชิงหันยกมุมริมฝีปากแดงยิ้มอย่างร้ายกาจ
ฉินหลิวซีมาแล้ว
สายลมพัดผ่านแขนเสื้อทั้งสองข้าง มียันต์ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ และมีถุงเข็มเงินห้อยอยู่ที่เอว
เซียวจั่นรุ่ยและคนอื่นๆ อยู่ข้างหลังนางจากไกลๆ รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ฉินหลิวซีไม่ยอมให้พวกเขาตามมา เพราะว่าตามมาก็ช่วยอะไรไม่ได้ บางทีอาจเป็นภาระด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่ให้ตามมา
ประตูเรือนเล็กถูกผลักออก
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นมอง สบตากับสตรีที่พิงราวบันได นางขมวดคิ้ว
“ข้าควรเรียกเจ้าว่าฝูเซิงหรือว่าเซียวชิงหัน” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าจะลงมาหรือให้ข้าขึ้นไป”
คนผู้นั้นสับสนอยู่ครู่หนึ่ง “ฝูเซิง ยังมีคนจำชื่อข้าได้อยู่หรือ”
ทันทีที่นางเอ่ยจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง “คนไร้ประโยชน์ อย่าถูกทำให้หวั่นไหว นักพรตกระจอกกำลังหลอกลวงเจ้า”
ฉินหลิวซีเห็นดังนั้น ในใจคิดว่าไม่ได้มีเพียงแค่ฝูเซิงเท่านั้น ยังมีอย่างอื่นอีก อย่างเช่นมีอีกคนหนึ่ง หรือไม่ก็บุคลิกที่ถูกแบ่งแยกออกจากกัน
แล้วเซียวชิงหันล่ะ
ฉินหลิวซีจับถุงเข็มที่เอวของนาง ปลายนิ้วขยับเล็กน้อย
“ฝูเซิง ข้าให้คนไปรวบรวมกระดูกของเจ้ากลับมาแล้ว”
ฝูเซิงมองลงมาด้วยความตื่นเต้น กางแขนเสื้อแล้วกระโดดลงมาจากชั้นสองท่ามกลางสายตาของทุกคน
ราวกับผีเสื้อมีปีกกระพือบิน
“คุณหนู!” บ่าวรับใช้กรีดร้อง โดยเฉพาะแม่บ้านที่เคยไปยังอารามชิงผิงก่อนหน้านี้ถึงกับขาอ่อนแรงแทบล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ
ส่วนฮูหยินเซียวที่อยู่นอกเรือนส่วนตัวเห็นดังนั้นก็ตาลอยเป็นลมล้มไปทันที ทำเอาบ่าวรับใช้ข้างกายร้องด้วยความตกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า พากันเรียกฮูหยินและช่วยเข้าไปพยุง
เซียวจั่นรุ่ยให้คนพามารดากลับไปที่เรือนหลักก่อน ส่วนตัวเองจะคอยดูอยู่ทางด้านนี้ มองผู้ตรวจการเซียวที่อยู่ด้านข้างพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ หันเอ๋อร์นาง…”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“เกรงว่านั่นจะไม่ใช่หันเอ๋อร์แล้ว” ผู้ตรวจการเซียวกำหมัดแน่น มองด้วยสายตาดุเดือด
นี่ไม่ใช่บุตรสาวที่แสนอ่อนหวานของเขา แต่เป็นนักแสดงที่ร้ายกาจผู้นั้น
ฝูเซิงร่อนลงบนพื้นอย่างปลอดภัย แขนเสื้อยาวของนางทั้งสองข้างทิ้งลงลากพื้น จ้องไปที่ฉินหลิวซี
ในเรือนมีโคมไฟส่องสว่าง
ฉินหลิวซีมองเห็นบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน
เดิมทีเซียวชิงหันนั้นมีรูปร่างงดงาม ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต ผมดกดำ ร่างกายเพรียวบาง
แต่เซียวชิงหันที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่เหมือนเมื่อก่อน นางใบหน้าซีด ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้ารูปไข่ของนางผอมจนแหลมราวกับค้อนตอกตะปู ร่างกายอ่อนแอราวกับจะล้มลงเมื่อใดก็ได้
ร่างของนางถูกฝูเซิงครอบครองแล้ว พลังชีวิตจึงค่อยๆ อ่อนลง
“ฝูเซิง?” ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า
“นักพรตกระจอกข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าได้ยุ่งเรื่องชาวบ้าน มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” ฝูเซิงเตือนด้วยน้ำเสียงดุร้าย สายตาที่จ้องมองฉินหลิวซีแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจ ซ้ำยังมีท่าทีระมัดระวัง
นักพรตที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่พวกขยะที่เคยมาก่อนหน้านี้ นางจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ แต่นางก็ไม่ได้แสดงอาการกลัวกลับเผยพลังงานชั่วร้ายออกมา
ทันทีที่พลังชั่วร้ายสลายไป บ่าวรับใช้ที่ยังอยู่ในเรือนเล็กก็ได้รับผลกระทบทันที ล้มลงด้วยความมึนงง
ฉินหลิวซีเห็นดังนั้นก็ร่ายคาถาแล้วจึงเอ่ย “ออกไปจากเรือนเล็กให้หมด”
บ่าวรับใช้ที่ฟื้นสติกลับคืนมาเหล่านั้นรีบพากันคลานออกจากเรือน
เมื่อฝูเซิงเห็นดังนั้นก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น “เจ้านักพรตกระจอก นับว่ามีความสามารถจริงๆ อยู่บ้าง แต่ข้าก็ไม่กลัว หากเจ้าจะฆ่า เช่นนั้นข้ากับหันเอ๋อร์ก็จะได้เป็นวิญญาณนกยวนยางคู่กัน”
“เจ้ายอมได้หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ย “ฝูเซิง เจ้ามีความแค้น แต่เจ้าก็ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ กับนาง หรือแม้แต่คนในครอบครัวของนาง แม้ว่าคนในครอบครัวของนางจะฆ่าเจ้า เจ้าก็เพียงแค่ปล่อยพลังชั่วร้าย เจ้าก็ไม่อยากให้นางเสียใจใช่หรือไม่”
ฝูเซิงหัวเราะอย่างร้ายกาจ “นักพรตกระจอกอย่างเจ้าเอ่ยได้น่าฟังกว่าที่ข้าร้องเพลงละครเสียอีก ข้าเกือบจะเชื่อแล้ว ตระกูลเซียวฆ่าข้าซ้ำยังกักขังข้า ข้าจะปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น”
“อ้อ เวลาไหนหรือ”
ฝูเซิงมองนางอย่างระมัดระวัง “เลิกเอ่ยไร้สาระได้แล้ว มีไม้เด็ดอะไรก็งัดออกมาเลยดีกว่า!”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าดูท่าทางสุภาพอ่อนโยน ไม่ได้เหมือนคนที่เอะอะก็จะฆ่าแกงกัน”
หึๆ แม้แต่ผีก็ไม่เชื่อ!
“ไม่สู้เจ้าออกมาจากร่างของเซียวชิงหันก่อน แล้วเรามาคุยกันดีหรือไม่”
“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ หากออกมาแล้วก็เท่ากับว่าปล่อยให้เจ้าจัดการข้าไม่ใช่หรือ” ฝูเซิงแสยะยิ้ม “นักต้มตุ๋นอย่างพวกเจ้าก็เอ่ยเหมือนกันทั้งนั้น มีแต่คำโกหก เอาแต่หลอกผี!”
“ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้ชอบเซียวชิงหันเพียงนั้น แต่แม่นางผู้โง่เขลากลับเป็นบ้าเป็นหลังเพราะเจ้า น่าเวทนา”
สีหน้าของฝูเซิงเปลี่ยนไป เอ่ยด้วยความโกรธ “หุบปาก! เจ้าจะไปรู้อะไร ข้ากับหันเอ๋อร์รักกันอย่างจริงใจ ข้ารักนาง นางเองก็เช่นกัน”
“เจ้ารักนาง ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ มิเช่นนั้นเจ้าจะทนเห็นนางจิตวิญญาณแตกสลายไปได้อย่างไร”
ฝูเซิงโกรธ เอ่ยว่า “เจ้าเอ่ยเหลวไหล ข้าไม่ได้ทำ!”
เมื่อนางโกรธ รัศมีแห่งความชั่วร้ายก็รุนแรงขึ้นและแผ่กระจายออกไป ผมสีดำขลับที่ปล่อยอยู่ด้านหลังของนางก็ลอยขึ้น ดวงตาแดงก่ำราวกับผีร้าย
ฉินหลิวซีจับที่ถุงเข็ม เอ่ย “เป็นการเอ่ยเหลวไหลหรือไม่ เจ้าไม่รู้หรือ เจ้าลองคิดดูสิว่าเซียวชิงหันไม่ได้ปรากฏตัวมานานเท่าไหร่แล้ว”
ฝูเซิงตกตะลึงเล็กน้อย
“ร่างหนึ่งจะสามารถมีสองวิญญาณได้อย่างไร แปดตัวอักษรของเซียวชิงหันไม่ได้อ่อนแอมาก แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นหยิน เมื่อถูกเจ้าครอบงำ ในตอนแรกวิญญาณของนางยังคงสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อย่างอิสระ แต่เมื่อนานวันเข้า นางก็กดเจ้าไว้ไม่ได้อีกต่อไป เอ่ยอีกนัยหนึ่งคือ นางเต็มใจที่จะถอยกลับไปยังแท่นจิตวิญญาณแล้วมอบร่างกายนี้ให้กับเจ้า”
ฉินหลิวซีจับเข็มเงิน เอ่ย “เจ้าครองร่างกายของนาง ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะกลายเป็นเจ้าของร่างนี้ เช่นนั้นดวงวิญญาณของนางก็จะค่อยๆ สลายหายไปจนกระทั่งถูกเจ้ากลืนกินไป เช่นนั้นไม่เรียกว่าวิญญาณแตกสลายหรอกหรือ”
ฝูเซิงได้ยินดังนั้นก็มีร่องรอยของความหวาดหวั่นปรากฏบนใบหน้า ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวราวกับว่ากำลังดิ้นรน “ไม่ได้นะ เป็นเช่นนี้ไม่ได้ หันเอ๋อร์ คนไร้ประโยชน์ นางกำลังหลอกเจ้าก็เลยพูดจาเหลวไหล…”
ตอนนี้แหละ
ดวงตาฉินหลิวซีเกรี้ยวกราด ปลายนิ้วหยิบเข็มเงินส่งไปที่เหนือริมฝีปากบนของอีกฝ่าย