คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 300 เจ้าอาวาสศาสนาพุทธก็ไม่กล้ารับการคารวะจากนาง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 300 เจ้าอาวาสศาสนาพุทธก็ไม่กล้ารับการคารวะจากนาง
ตอนที่ 300 เจ้าอาวาสศาสนาพุทธก็ไม่กล้ารับการคารวะจากนาง
วัดอวิ๋นหลิงสร้างขึ้นบนภูเขาอวิ๋นซึ่งห่างจากเมืองฝู่หกสิบลี้ ยอดเขาอวิ๋นมีความหมายว่ามีเซียนบนยอดเขา กระถางธูปในวัดถูกปักจนเต็มแน่น มีผู้แสวงบุญมาบูชาสักการะไม่ขาดสาย
ฉินหลิวซีเคารพพุทธะ แต่ไม่สักการะพุทธะ เมื่อเข้าไปในวัดอวิ๋นหลิง แม้แต่วิหารหลักก็ไม่ไป แต่กลับไปหาสามเณรหนึ่งรูป ให้เขาพานางไปพบกับเจ้าอาวาส
สามเณรน้อยประนมมือพลางเอ่ย “โยม เจ้าอาวาสกำลังรับแขก เกรงว่าจะไม่สามารถพบท่านได้ ท่านต้องการอธิษฐานขอพรหรือสักการะพุทธะ อาตมาจะนำทางให้ หากอยากขอคำทำนาย ก็มีศิษย์พี่ช่วยทำนายให้ได้”
“ข้าไม่ได้ขออะไรทั้งนั้น ข้าต้องการพบเจ้าอาวาส มีเรื่องต้องถามเขา หากเขากำลังรับแขกอยู่ เช่นนั้นข้าจะไปรออยู่ด้านนอกลานเซน[1]” ฉินหลิวซีไม่ได้เอะอะโวยวาย
เณรน้อยได้ฟังดังนั้นจึงพาอีกฝ่ายไปพักผ่อนอยู่ที่ลานเซนชั่วคราว ส่วนเขาไปรายงานแก่ศิษย์พี่
ศิษย์พี่ขมวดคิ้ว “ใครกัน เขาบอกอยากพบเจ้าอาวาสก็จะได้พบอย่างนั้นหรือ เจ้าไล่เขาไปไม่ได้หรืออย่างไร”
เจ้าอาวาสมีชื่อเสียงกว้างไกล หากใครๆ บอกว่าต้องการพบก็สามารถพบได้ เขาจะเอาเวลาว่างมาจากไหนกัน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เณรน้อยทำตัวหงอ เอ่ย “ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้าอาวาสกำลังรับแขก เขาบอกว่าเขารอได้”
เมื่อศิษย์พี่ได้ฟังก็ไม่เห็นด้วยเล็กน้อย คนเช่นนี้มีมากมาย เพียงแค่ตื๊อจะรอก็ได้พบแล้วงั้นหรือ
“ข้าจะไปดูสักหน่อย”
ศิษย์พี่ตามสามเณรน้อยไปที่ลานเซน ฉินหลิวซีไม่ได้พักผ่อนอยู่ที่ลานเซน แต่กลับยืนมองดูเจดีย์ทองคำบนยอดวิหารหลักอยู่ที่ลาน ข้างบนมีระฆังแขวนอยู่ เมื่อลมพัดมาระฆังก็ส่งเสียงดังเหง่งหง่าง
บางครั้งก็มีนกบินมาหยุดอยู่บนเจดีย์ ดวงตาเล็กๆ มองไปรอบสี่ทิศ เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นก็กระพือปีกบินหนีไป
เมื่อศิษย์พี่นามว่าฮุ่ยหมิงมาถึง เขารู้เรื่องจากสามเณรน้อยมาแล้วจึงไปยืนอยู่ข้างฉินหลิวซี ประนมมือพลางกล่าวว่า “โยม…”
“เจดีย์นี้ทำจากทองคำหรือไม่” ฉินหลิวซีชี้ไปยังเจดีย์ทองคำนั้น
ฮุ่ยหมิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองไปตามนิ้วมือของอีกฝ่ายที่กำลังถามถึงเจดีย์บนวิหารหลัก จึงตอบกลับอย่างภาคภูมิใจว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น นี่คือเจดีย์ที่ได้รับบริจาคจากผู้แสวงบุญของวัดอวิ๋นหลิง”
“เป็นทองคำบริสุทธิ์ทั้งองค์เลยหรือ” นี่มันมูลค่าสูงเกินไปแล้ว
ฮุ่ยหมิงสำลักพลางเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ทองคำบริสุทธิ์ทั้งองค์ แต่เป็นทองคำเปลวติดอยู่ชั้นนอก”
“ข้าก็เดาว่าเป็นเช่นนั้น หากเป็นทองคำบริสุทธิ์ทั้งองค์ก็คงจะโดนโจรจับจ้อง ทุบเจดีย์ทั้งคืนขโมยเอาไปแล้วกระมัง” ฉินหลิวซีเอ่ยราวกับว่าเรื่องเช่นนั้นจะเกิดขึ้นจริง
ฮุ่ยหมิงสีหน้ามืดครึ้ม นึกถึงภาพนั้น ช่างน่าอนาถเกินไปแล้ว ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
เขากระแอมหนึ่งที กล่าวว่า “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธศาสนา มีหรือโจรจะกล้ามาสร้างบาป ไม่กลัวว่าพุทธะจะตำหนิหรือ”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ท่านไม่เข้าใจ ชาวพุทธอย่างพวกท่านยึดหลักความมีเมตตากรุณา หากโจรคุกเข่าลงตรงหน้าพุทธะ ก่อนจะเล่าถึงความทุกข์ยากของตัวเอง จากนั้นการให้ยืมเจดีย์ทองคำก็ถือเป็นการช่วยสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เช่นนั้นพุทธะก็คงรู้สึกไม่ดีที่จะตำหนิเขากระมัง มิเช่นนั้นจะเรียกว่ามีเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายได้อย่างไร โจรก็นับว่าเป็นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงด้วย” ส่วนที่ ‘ยืม’ ไปนั้นยังไม่คืน จะคืนก็ต่อเมื่อมีเงินแล้ว
สามเณรน้อยที่อยู่ข้างๆ เข้าใจในทันที ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น
ฮุ่ยหมิง “!”
พระภิกษุไม่อาจใช้ความรุนแรงได้ แต่เมื่อเขาได้ยินคนกล่าวเช่นนี้ ก็อดไม่ได้เล็กน้อย
เจ้าว่าโจรขโมยของที่ไหนจะมีตรรกะ วาทศิลป์ และอาจหาญเช่นนี้ คงมีแต่เจ้ากระมัง
หรือว่าเจ้าคิดจะขโมยเจดีย์ทองคำของวัดอวิ๋นหลิงกัน
ฮุ่ยหมิงมองไปยังฉินหลิวซีด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเล็กน้อย
“ไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้ากล่าวมานั้นถูกต้อง แต่ข้าจะไม่เข้าสู่พุทธศาสนา” ฉินหลิวซีหันกลับมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้สนใจเยี่ยมชมพุทธศาสนา เพียงแค่สนใจเจดีย์ทองคำนี้เล็กน้อยก็เท่านั้น”
ต่อไปเมื่อตระกูลเซียวสร้างหลังคาทองคำเสร็จแล้ว นางค่อยหารูปหล่อสัตว์ทองคำสองตัวมาเป็นผู้พิทักษ์อาราม ทั้งดูเหนือกว่าและสง่างาม
ฮุ่ยหมิงคิดในใจว่า ‘ใครต้องการให้เจ้าเข้าศาสนาพุทธกัน หากเข้าศาสนาพุทธของข้าด้วยปากเช่นนี้ พุทธะคงจะโกรธมากจนจะสละตำแหน่งให้!’
“โยมคิดมากไปแล้ว” ฮุ่ยหมิงระงับความโกรธแล้วเอ่ยต่อว่า “โยมต้องการพบเจ้าอาวาสด้วยเรื่องสำคัญอะไรหรือ เจ้าอาวาสของอาตมากำลังรับแขกที่มาเยี่ยมชมพุทธศาสนา เกรงว่าจะไม่มีเวลามาพบโยม”
ในที่สุดฉินหลิวซีก็หันกลับมามองฮุ่ยหมิง
เข้าใจแล้ว มาเพื่อร้องความไม่เป็นธรรมแทนเจ้าอาวาส คิดว่าการที่ว่าใครๆ ขอพบก็จะได้พบ เป็นการสูญเสียบรรทัดฐานเช่นนั้นหรือ
ฉินหลิวซีฉีกยิ้ม เอ่ย “จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้จำเป็นต้องขอพบเจ้าอาวาส หากท่านตอบข้าได้ ข้าถามท่านก็ได้”
ฮุ่ยหมิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องใดหรือ”
“ท่านรู้จักพระภิกษุที่ปฏิบัติจนรู้แจ้งหรือพุทธะในประวัติศาสตร์องค์ใดที่ตรัสรู้แล้วมีพระอัฐิหลงเหลือไว้ข้างนอกหรือไม่”
กระดูกพุทธะ?
กระดูกพระธาตุหรือ
สิ่งนี้เป็นสมบัติของพุทธศาสนา จะถูกทิ้งไว้ข้างนอกได้อย่างไร
ฮุ่ยหมิงกล่าวโดยไม่ต้องคิดว่า “กระดูกพระธาตุเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพุทธศาสนา การที่ได้สมบัติเช่นนี้มาย่อมต้องเก็บรักษาให้ดี จะปล่อยให้หล่นหายอยู่ข้างนอกง่ายๆ ได้อย่างไร”
ฉินหลิวซียิ้มด้วยใบหน้านิ่ง
หากนางบอกว่ามี ซ้ำยังอยู่ในสุสานร้างซึ่งมีผีที่เต็มไปด้วยพลังความแค้นมากที่สุด ท่านจะเชื่อหรือไม่
เมื่อฮุ่ยหมิงเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็รู้สึกขนลุก มึนงงเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง
รอยยิ้มนี้ดูมีความหมายบางอย่างแอบแฝง
“ท่านดูสิ ข้าบอกแล้วว่าต้องพบเจ้าอาวาสของท่าน”
ฮุ่ยหมิงเข้าใจคำพูดนี้อย่างชัดเจน แอบบอกว่าความรู้ของเขาไม่พอ ดังนั้นจึงไม่รู้เรื่องนี้
ฮุ่ยหมิงรู้สึกหงุดหงิด ใบหน้าร้อนเล็กน้อย อยากจะโต้แย้งสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย กลับไม่เหมือนว่ากำลังหยอกล้อ แต่กลับอยากถามคำถามนี้อย่างจริงจัง
ฮุ่ยหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “เจ้าอาวาสยังรับแขกอยู่ หากท่านรอได้ ข้าจะบอกกล่าวให้”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “เช่นนั้นก็รบกวนศิษย์พี่แล้ว”
สีหน้าของฮุ่ยหมิงสดใสขึ้นมาเล็กน้อย ประนมมือรับไว้
เขาพึ่งหันหลังกลับ ก็เห็นเจ้าอาวาสยืนอยู่ที่หน้าประตูลานเซน รีบไปหาทันที “ท่านเจ้าอาวาส”
ฉินหลิวซีจึงหันกลับมามอง เห็นว่าเป็นพระภิกษุเฒ่าที่มีสีหน้าสงบนิ่ง คลุมด้วยจีวรสีแดงและสีเหลือง สวมลูกประคำที่คอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นไว้ที่หน้าอก มีแสงสีทองแห่งบุญบนร่างกาย
นี่คือพระภิกษุผู้บรรลุธรรมอย่างแท้จริง
ฉินหลิวซีเดินมาโค้งคำนับเขา นี่ไม่ใช่การคำนับทางพุทธศาสนา และไม่ใช่พิธีการของลัทธิเต๋า เป็นเพียงการคำนับของรุ่นน้องที่มีต่อผู้อาวุโส
“อาตมาไม่กล้ารับการคารวะจากท่านหรอก” หว่างคิ้วของอาจารย์สืออวิ๋นดูนุ่มนวล ก้าวถอยออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวไปพยุงมือของฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีมองเห็นพลังบุญบนร่างกายของเขา แล้วเหตุใดเขาจะมองไม่เห็นแสงสีทองแห่งพลังบุญบนร่างกายของนางที่เปล่งประกายส่องแสง
นางช่วยชีวิตคนมากมาย และมีผู้ศรัทธาไม่น้อย
ฮุ่ยหมิงตกตะลึง ไม่กล้ารับคารวะหรือ
“ท่านอาจารย์ ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่า…”
สืออวิ๋นพยักหน้า “อาตมารู้ว่าท่านจะมา จึงตั้งใจมาต้อนรับ เชิญทางนี้เถิด”
ฉินหลิวซีเดินตามเขาไปที่ห้องเซน เมื่อฮุ่ยหมิงได้สติกลับคืนมาก็รีบตามไปปรนนิบัติ
ในห้องเซนมีกลิ่นหอมของไม้จันทร์ ฉินหลิวซีคุกเข่าลงบนเบาะ ฮุ่ยหมิงรินชาขู่ติง[2]ให้ทั้งสองคน
อาจารย์สืออวิ๋นกล่าวว่า “ตรงนี้ไม่ต้องให้เจ้าอยู่ปรนนิบัติแล้ว ออกไปเถิด”
ฮุ่ยหมิงตอบรับด้วยความเคารพ ถอยออกไปพลางปิดประตู ยังคงรู้สึกมึนงงอยู่เล็กน้อย
เจ้าอาวาสยอมพบเจ้าโจรปากร้ายผู้นั้นจริงๆ ด้วย เดี๋ยวนะ เขาเป็นใครกัน
ภายในห้อง อาจารย์สืออวิ๋นกลับกล่าวถึงที่มาของฉินหลิวซีโดยตรง “เมื่อสิบปีก่อน อารามชิงผิงในเมืองหลีได้กลับมาเปิดอีกครั้ง อาตมาเคยได้ยินว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหนิงแห่งวัดอู๋เซียงกล่าวว่านักพรตชื่อหยวนมีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง มีพรสวรรค์ฉลาดหลักแหลม เป็นแสงสว่างของเสวียนเหมิน ลูกศิษย์ที่ว่านั้นคือท่านกระมัง อาตมาจำได้อย่างเลือนรางว่าท่านมีนามแฝงว่าปู้ฉิวใช่หรือไม่”
[1] ลานเซน ลานวัดพุทธศาสนานิกายมหายาน
[2] ชาขู่ติงชาที่มีรสขมนิด ๆเป็นรสแรก แล้วค่อย ๆกลายเป็นรสหวาน