คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 317 ดวงชะตาเสน่ห์ที่ไม่ดีของหวังเจิ้ง
ตอนที่ 317 ดวงชะตาเสน่ห์ที่ไม่ดีของหวังเจิ้ง
หวังเจิ้งแนะนำฉินหลิวซีให้รับตัวเองเป็นศิษย์ ซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นคาดไม่ถึงจึงตกใจเล็กน้อย
“ตายแล้ว ศิษย์พี่ หากอาจารย์รับเขาเป็นศิษย์ เช่นนั้นเขาก็จะเป็นศิษย์น้องของพวกเราใช่หรือไม่” แต่เสียงที่ไร้เดียงสาและนุ่มนวลของเสี่ยววั่งชวนวัยห้าขวบได้ทำลายความเงียบไป
เถิงเจามองไปที่นาง จากนั้นก็มองไปยังหวังเจิ้งที่รูปร่างสูงใหญ่ ศิษย์น้อง?
เขาหลับตาลง
ยังไม่ทันได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ก็มีศิษย์น้องหญิงแล้ว ซ้ำยังจะมีศิษย์น้องชายที่อายุมากกว่าเขาหนึ่งรอบอีกหรือ
ผู้ที่มาก่อนย่อมได้เป็นศิษย์พี่
จู่ๆ คำพูดดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นในหัวของเถิงเจา
หวังเจิ้งไม่ได้สนใจ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้าเป็นศิษย์น้องสาม”
ฉินหลิวซีมุมปากกระตุก เอ่ย “เจ้าไม่พร้อมแม้แต่จะแบกรับความลำบาก หนวดเครายังไม่ทันขึ้น จะมาเป็นศิษย์น้องสามอะไรกัน”
หวังเจิ้ง “?”
“เจ้าเป็นคนที่ต้องเข้าสู่เส้นทางราชการ อย่าผิดต่อท่านปู่ที่ค่อยพร่ำสอนเจ้า และเจ้ากับข้าก็ไม่ได้มีวาสนาเป็นอาจารย์ศิษย์กัน” ฉินหลิวซีโบกมือ “มุ่งมั่นในการเข้าร่วมการสอบราชสำนัก ต่อไปในภายภาคหน้าต้องทำเพื่ออาณาจักร เพื่อราษฎร เพื่อใต้หล้า นี่คือภารกิจของเจ้า”
หวังเจิ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ไม่นานก็มีสีหน้าปกติ คารวะนางพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ”
จากนั้นฉินหลิวซีก็ให้เขานั่งลง ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน เหตุใดจึงได้ซีดเซียวเช่นนี้ ข้าดูจากโหงวเฮ้งของเจ้า หลบไม่พ้นดวงชะตาเสน่ห์ที่ไม่ดี แต่ก็นับว่าแม้จะน่ากลัวแต่ก็ไม่เป็นอันตรายหรอกกระมัง”
หวังเจิ้งสีหน้านิ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มที่ขมขื่น เมื่อกำลังจะเอ่ยปากก็เหลือบมองไปยังเถิงเทียนฮั่นและคนอื่นๆ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“สองคนนี้เป็นศิษย์ของข้า จากนี้ไปบนเส้นทางการฝึกบำเพ็ญก็อาจจะได้พบปีศาจมากมาย เรื่องของเจ้าจะฟังก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ส่วนใต้เท้าเถิง…” ฉินหลิวซีมองไปยังเถิงเทียนฮั่น ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หากใต้เท้าสนใจก็ฟังได้ ในภายภาคหน้าจะได้หลบหลีกปัญหาเช่นนี้ แต่หากเจ้าละอายใจจริงๆ เช่นนั้นก็ให้ใต้เท้าเถิงหลบไปก่อนก็ไม่เป็นไร”
หวังเจิ้งรีบเอ่ย “เป็นดั่งที่ท่านกล่าว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าละอาย เพียงแต่ค่อนข้างไร้สาระ หากท่านอาเถิงอยากรู้ก็ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง”
เดิมทีเถิงเทียนฮั่นต้องการหลบเลี่ยง แต่เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็รู้สึกอยากรู้เล็กน้อย อย่างไรเสียหวังเจิ้งก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเสนาบดีที่เกษียณแล้ว คาดหวังกับเขาเป็นอย่างมาก อบรมเลี้ยงดูให้เป็นผู้สืบทอด เห็นได้ว่าคุณสมบัติของหวังเจิ้งนั้นไม่แย่เลย
แต่หวังเจิ้งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าใครก็รู้ว่าเขากำลังเผชิญกับปัญหา แล้วยังมีดวงชะตาเสน่ห์ที่ไม่ดีอะไรนั่นอีก เขาจึงยิ่งอยากรู้มากขึ้น
เด็กที่ได้รับการสั่งสอนจากเสนาบดีเก่า ไม่ควรเป็นทุกข์ใจเพราะชะตาเสน่ห์ หวังเจิ้งผู้นี้ก็มีวินัยที่เข้มงวดในตัวเองมาตลอด
แต่กลับมีดวงชะตาเสน่ห์ที่ไม่ดี
ด้วยความอยากรู้ เถิงเทียนฮั่นจึงนั่งลง
บ่าวรับใช้นำชามาวาง หวังเจิ้งยกขึ้นมาจิบก่อนจะเอ่ยว่า “อาจารย์ทำนายว่าข้ามีดวงชะตาเสน่ห์ที่ไม่ดี ข้าจึงไม่กล้าอยู่ห่างจากองครักษ์ ในวันปกติก็จะมีบ่าวรับใช้กับองครักษ์ติดตามไปข้างนอกด้วยเสมอ และยิ่งไม่กล้าพูดคุยกับสตรี”
“เจ้ากลายเป็นนกตื่นธนู[1]ไปแล้ว”
หวังเจิ้งเผยรอยยิ้มที่ไม่น่าดูยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก เอ่ย “เมื่อก่อนเป็นนกตื่นธนู แต่ตอนนี้เป็นเห็นเงางูในจอกสุรา[2]แล้ว”
เขาจิบชาอีกครั้งก่อนที่จะเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพบเจอมา
เรื่องเกิดขึ้นที่งานชุมนุมอักษร เพราะมีกลุ่มคนในแวดวงของเขากำลังเตรียมตัวสอบราชสำนักในปีหน้า ทุกคนมักจะพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน งานชุมนุมอักษรจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยนักปราชญ์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในชิงโจว ซึ่งมีนามแฝงว่าเฉิงฟังจื่อ
เฉิงฟังจื่อเป็นนักปราชญ์ผู้รอบรู้และเป็นหัวหน้าสำนักศึกษาหย่าถูในชิงโจว เขาเชี่ยวชาญการวาดภาพ โดยเฉพาะภาพสาวงาม วาดราวกับมีชีวิต การจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ได้จัดขึ้นที่เรือนส่วนตัวของเขาที่ชื่อว่าลี่ย่วน
ด้วยความที่เป็นงานเลี้ยงแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการอย่างจริงจัง และหวังเจิ้งก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเฉิงฟังจื่อเพราะท่านปู่ของเขา ดังนั้นจึงไปด้วยความวางใจและได้พาคนติดตามไปด้วย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะเกิดเรื่องที่เรือนลี่ย่วนแห่งนั้น
เหตุเกิดเพราะรู้ไม่เท่าทันคน เนื่องจากเสื้อผ้าของหวังเจิ้งถูกเหล้าหกใส่ สาวใช้ได้พาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องชำระโดยมีบ่าวรับใช้ดูแล ในเวลากลางวันแสกๆ ระยะเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชาด้วยซ้ำ จู่ๆ เขาก็หายไปจากห้องชำระ
“ในห้องชำระมีธูปยาสลบหรือว่ามีห้องลับหรือไม่” เมื่อเถิงเทียนฮั่นได้ยินดังนั้นก็ร้อนวิชาทำหน้าที่ของตัวเองในทันที
เขาเป็นคนของศาลต้าหลี่ มีประสบการณ์ในการสืบสวนไขคดี เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แม้ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่ ห้องชำระก็ย่อมรักษาความสะอาดเรียบร้อยและเป็นสถานที่ลับ ดังนั้นจึงไม่ใหญ่มาก อย่างไรเสียก็ไม่ค่อยมีคนไปพักผ่อนที่ห้องชำระ อย่างมากก็เพียงแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าล้างตาแล้วนั่งพักสักครู่
ด้วยเหตุนี้ห้องชำระจึงไม่มีเส้นทางเข้าถึงได้ทุกทิศทาง
เนื่องจากว่าคนหายตัวไปในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นไปได้ว่าหวังเจิ้งโดนยาสลบ จากนั้นก็ถูกนำไปซ่อนในห้องลับหรือถูกนำตัวออกไป
หวังเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น ส่ายหน้าพลางเอ่ย “หากเป็นเช่นนั้นก็คงหาพบได้ง่าย”
“หืม?”
“ตอนที่บ่าวรับใช้เข้ามา ข้าก็อยู่ที่ห้องชำระ แต่เขากลับมองไม่เห็น ราวกับคนตาบอด”
ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจ “หรือว่าเป็นมนต์บังตา”
เถิงเทียนฮั่นตกตะลึง มนต์บังตา?
หวังเจิ้งพยักหน้า มองเขาด้วยสายตานับถือ “เป็นมนต์บังตา”
บ่าวรับใช้เข้ามาและพบว่าเขาหายไปแล้ว ตามหาทุกที่แต่ก็ไม่พบจึงรีบไปแจ้งคนอื่น จากนั้นหวังเจิ้งก็ได้ยินเสียงขลุ่ยผิวดังอู้อี้ เขาจึงเดินตามเสียงขลุ่ยออกไปด้วยความสะลืมละลือ มาถึงเรือนเล็กที่สวยงามแห่งหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้หวังเจิ้งประหลาดใจก็คือ เรือนเล็กแห่งนี้ไม่ใช่ที่อื่นไกล แต่เป็นเรือนด้านหลังเรือนลี่ย่วน และคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาไม่ใช่ใครนอกจากลี่เหนียง สหายรู้ใจของเฉิงฟังจื่อ
เฉิงฟังจื่อเก่งในการวาดภาพสาวงาม ลี่เหนียงผู้นี้ก็อยู่ในผลงานของเขาด้วย ภาพวาดทุกชิ้นของเขาล้วนเต็มไปด้วยเสน่ห์ ทุกท่วงท่าอิริยาบถทำให้คนหลงใหล
หวังเจิ้งก็เคยได้พบลี่เหนียง นางแตกต่างจากคนอื่นๆ นางเองก็เชี่ยวชาญการวาดภาพเช่นกัน ดังนั้นจึงถูกเฉิงฟังจื่อแนะนำในฐานะสหายรู้ใจ
เรือนส่วนตัวแห่งนี้ก็จัดไว้ให้นางเช่นกัน
เมื่อเขาหายไป ตระกูลหวังจะต้องตามหาอย่างแน่นอน กระทั่งค้นทุกซอกทุกมุมของเรือนลี่ย่วนแล้ว แม้แต่เรือนเล็กของลี่เหนียงแห่งนี้ก็ไม่ปล่อยไป และหวังเจิ้งก็อยู่ภายใต้สายตาของพวกเขา แต่กลับไม่ถูกพบเห็น คนทยอยกันเข้ามาแล้วก็ทยอยกันออกไป
ไม่ว่าเขาจะตะโกนอย่างบ้าคลั่งแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยินหรือพบเขา คนที่ตามหาเขาถึงกับหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แต่ก็มองไม่เห็น
ตอนนั้นหวังเจิ้งแทบจะเป็นบ้า
และสิ่งที่ลี่เหนียงเอ่ยก็คือ ไม่ว่าเขาจะตะโกนอย่างไร คนข้างนอกก็ไม่มีใครได้ยินหรือมองเห็น อย่าเสียเวลาพยายามเลย จากนั้นนางก็อาศัยอยู่กับเขาในฐานะ ‘สามีภรรยา’ เป็นเวลาสามวัน
สิ่งที่ทำให้หวังเจิ้งตกใจกลัวก็คือลี่เหนียงอ่อนโยนและคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างมาก นางเอาแต่เอ่ยถึงความรักในอดีตที่ผ่านมาของทั้งสองคนราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริง ซ้ำยังมีภาพวาดเป็นหลักฐาน บอกว่าพวกเขาวาดมันด้วยกัน หากไม่ใช่เพราะยันต์แคล้วคลาดที่ฉินหลิวซีมอบให้ที่หน้าอกเกิดความร้อนขึ้นเรื่อยๆ เขาเกือบจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงแล้ว เชื่อว่าเดิมทีพวกเขาเป็นสามีภรรยา รักใคร่กลมเกลียวเข้ากันได้ดี
“ลี่เหนียงผู้นี้สร้างค่ายกลภาพลวงตาได้ด้วยหรือ” ฉินหลิวซีหรี่ตาลง
เถิงเทียนฮั่นคอแห้ง “ภาพลวงตา คือสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นแตกต่างจากความเป็นจริงอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “หากเรือนแห่งนั้นวางค่ายกลภาพลวงตา ย่อมถูกภาพลวงตาปกปิดความเป็นจริง ดังนั้นพวกเขาจึงได้มองไม่เห็น”
“ท่านเก่งเกินไปแล้ว!” หวังเจิ้งตื่นเต้นมาก โพล่งออกมาว่า “เป็นค่ายกลภาพลวงตา!”
[1] นกตื่นธนู ใช้เปรียบเทียบกับคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีมา และภายหลังเมื่อมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัวอย่างมาก
[2] เงางูในจอกสุรา ใช้เปรียบเทียบกับคนที่ตกใจกลัวไปกับจินตการที่ตนเองสร้างขึ้น หมายถึงคนขวัญอ่อน หรือคนที่ตกใจง่าย