คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 342 น้ำเสียงกวนประสาทของท่านอาจารย์
ตอนที่ 342 น้ำเสียงกวนประสาทของท่านอาจารย์
ฉินหลิวซีเชิญซ่งหลิ่วนั่งลงอีกครั้ง เห็นสายตาไม่เป็นมิตรโดยไม่ปิดบังของนางจึงยกยิ้มเบาๆ
“เกิดแก่เจ็บตาย ยากจนร่ำรวย มองในมุมลัทธิเต๋าของเรา เกิดมาก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จากดวงชะตาชีวิตและโหงวเฮ้งย่อมดูออกได้บ้าง แน่นอน โหงวเฮ้งของคนเปลี่ยนไปตามชะตาชีวิต หรือจะเอ่ยได้อย่างนี้ว่า โหงวเฮ้ง มักจะมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เพราะมีความเปลี่ยนแปลงนี้อยู่” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “ของบางอย่าง เปลี่ยนไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นฮูหยินท่าน”
“ข้าบอกว่าฮูหยินท่าน ตำแหน่งจือหนี่ว์แน่นอน หมายถึงขาดสิ้นความสัมพันธ์กับบุตรชาย นั่นก็คือไม่มีบุตรชายคอยส่งยามสิ้นอายุขัย… ท่านอย่าได้โมโห ในเมื่อท่านกลับมา แน่นอนว่าต้องได้ยินวาจาที่ทำให้โกรธและทนไม่ได้ ความโกรธนั้นไม่ดีต่อร่างกายของท่าน” ฉินหลิวซีเห็นว่านางกำลังจะโวยวายอีก รีบเอ่ยห้ามเอาไว้
อารมณ์ซ่งหลิ่วปะทุขึ้นมา ไม่ขึ้นไม่ลง รู้สึกทรมาน ทำได้เพียงยกมือขึ้นมากุมหน้าอกเอาไว้
“ที่นี่หมายถึงตำแหน่งจือหนี่ว์ ตามหลักเต๋ากล่าวเอาไว้ จากตำแหน่งจือหนี่ว์ตามดวงชะตาบอกได้ว่ามีบุตรชายบุตรสาวไม่กี่คน ข้าไม่ต้องถามดวงวันเดือนปีเกิดของท่าน ก็รู้ว่าท่านมีบุตรชายสองคน หนึ่งในบุตรชายจากไปเมื่อยังเด็ก เพราะตำแหน่งจือหนี่ว์ของท่านปรากฏคำตอบออกมาตั้งแต่แรกแล้ว หากเด็กยังอยู่ดีมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ตำแหน่งจือหนี่ว์จะต้องอวบอิ่มมีน้ำมีนวล ยามนี้ท่านกลับทรุดโทรมไร้สีสัน” ฉินหลิวซีชี้ไปยังตำแหน่งตำแหน่งจือหนี่ว์[1]ของนาง เอ่ย “ในเมื่อตายจากไปตั้งแต่ยังเด็ก ยังมีบุตรชายมาอีกหนึ่งคน และยังอาจเรียกได้ว่าเป็นลูกเลี้ยง”
ซ่งหลิ่วโมโหขึ้นมา “เจ้าเหลวไหล เจ้าไม่มีหลักฐานที่แท้จริงด้วยซ้ำ”
“หลักฐานของแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านต้องไปหาเองหรือ ข้าเองก็หวังว่าข้าจะดูผิด ข้าดูผิดแล้วก็เป็นเรื่องดีนี่” ดวงตาของฉินหลิวซีมีความเห็นอกเห็นใจ
ซ่งหลิ่วนิ่งค้าง
“ท่านอาจารย์ น้องเขยของข้าเรารู้จักกันดี ท่านคงไม่บอกว่าเขาเปลี่ยนตัวเด็กไปใช่หรือไม่” ซ่งเยี่ยเอ่ยปากอย่างยากลำบาก “เขากับน้องสาวของข้า เป็นคู่สามีภรรยาที่ขึ้นชื่อเรื่องความรักใคร่ นับตั้งแต่ยังหนุ่มจนถึงวัยกลางคน ข้างกายเขาไม่มีสตรีอื่น ฉั่งเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว เขาผู้เป็นบิดาเองก็เสียใจไม่แพ้ผู้ใด หากบอกว่าเขาตั้งใจเอาตัวเด็กไป เอ่อ…”
เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ
ฉินหลิวซียิ้มบาง “ยังไม่ต้องเอ่ยถึงบุตรชายที่จากไปตั้งแต่ยังเด็ก ข้ากลับแปลกใจอยู่บ้าง วิธีการเสียใจของเขาเป็นอย่างไรหรือ” นางเห็นซ่งหลิ่วกำลังจะเอ่ยปาก ยกนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมา หันมองไปยังสาวใช้ใหญ่ “เจ้าเอ่ยมา”
คนที่เฝ้ามองอยู่ข้างนอกจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่า คนที่คอยเฝ้ารับใช้ปรนนิบัติเหล่านี้จะมองเห็นถึงความเป็นจริงมากกว่าซ่งหลิ่ว
สาวใช้ใหญ่ส่งเสียงอ๋าขึ้นมา เหลือบมองไปยังซ่งเยี่ยและซ่งหลิ่ว
ซ่งหลิ่วเอ่ยด้วยใบหน้าทะมึน “ให้เจ้าเอ่ยก็เอ่ย เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าท่านเขยเป็นอย่างไร”
สาวใช้ใหญ่เม้มริมฝีปาก เอ่ย “คุณชายน้อยรองจากไปแล้ว ท่านเขยและฮูหยินเป็นเหมือนกัน โศกเศร้าเสียใจทุกวันทุกคืน บางครั้งฮูหยินรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ท่านเขยก็ถอนหายใจน้ำตาไหล กล่าวว่าหากคุณชายน้อยรองอยู่ก็คงดี…”
เอ่ยแล้วนางก็ชะงักไปชั่วครู่ ครุ่นคิดถึงตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา สถานการณ์เช่นนี้คล้ายว่าจะมีไม่น้อย เพียงท่านเขยเอ่ยขึ้นพร้อมน้ำตา ฮูหยินก็กินอาหารไม่ได้
สาวใช้ใหญ่ขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่ามีสิ่งใดแปลกไป
“แม่ทัพซ่ง น้องสาวของท่านเสียใจเพราะบุตรชายที่จากไป ยิ่งเพราะเหตุนี้จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ กินอาหารไม่ได้เป็นเวลานาน หากเป็นท่าน จะกล้าเอ่ยถึงบุตรชายที่จากไปต่อหน้านางอยู่เนืองๆ หรือไม่” ฉินหลิวซีราวกับเห็นถึงความคิดของสาวใช้ใหญ่ เอ่ย “ต่างบอกว่าเห็นสิ่งของคิดถึงคน บางคนกลัวจะกระทบกระเทือนจิตใจ แม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ที่เขาใช้ก็เก็บซ่อนเอาไว้ ไม่กล้ามองอีก ไม่กล้าไปแตะต้อง เพราะความทรงจำนั้นเจ็บปวดเกินไป แต่ท่านเขยกับฮูหยินเล่า”
ฉินหลิวซีใช้น้ำเสียงที่แทบจะเย็นชา “โบราณว่า ฆ่าคนทำลายหัวใจ ไม่ต้องใช้ดาบกระบี่ เพียงโรยเกลือลงบนบาดแผลของนางไม่หยุด ก็สามารถทำลายสติปัญญาของนางได้ ก็เหมือนข้าตอนนี้ ต่อให้ข้าเอ่ยความจริง แต่ไม่ใช่การปักดาบลงบนหัวใจของฮูหยินท่านหรือ สามีของฮูหยิน คงไม่ใช่เช่นนี้กระมัง เขาเสียใจไม่อาจปล่อยวาง ยังไม่ยอมเสียใจไม่ปล่อยวางเพียงคนเดียว จำต้องให้ท่านคอยโศกเศร้าเสียใจไปด้วยกันตลอดไปหรือ”
วาจานี้แน่นอนว่ามิได้แฝงความหมายที่ดี แต่เป็นการเหยียดหยัน
สาวใช้ใหญ่เอ่ยเสียงเบา “แต่ท่านเขยเอ่ยแล้วก็รีบเอ่ยขอโทษ บอกว่าไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้”
“ว้าว นั่นสุดยอดไปเลย ฮูหยินก็ยิ่งรู้สึกผิดอยู่ในใจใช่หรือไม่” บุรุษชาเขียว[2]เสียจริง แสดงท่าทีว่าเป็นความผิดของตน ข้าไม่ควรแสดงออกไปเช่นนั้น
สาวใช้ใหญ่ “…”
แม้น้ำเสียงจะมีความกวนประสาทอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ผิด
ซ่งเยี่ยสีหน้าทะมึน สองมือกำแน่น
ซ่งหลิ่วเองก็โงนเงน
ใช่ นางรู้ว่านึกถึงเรื่องเสียบุตรชายคนรองบ่อยครั้งไม่ดีต่อร่างกาย และนางก็รู้ว่ายังมีบุตรชายคนโตคอยปลอบโยนได้ กระทั่งบังคับตนเองให้อ่านตำราสวดมนต์ ไม่กล้ามีเวลาว่างมากมาย แต่ในยามที่จิตใจกำลังจะดีขึ้น ไฉโจวก็มักเอ่ยถึงบุตรชายคนรอง จากนั้นนางก็จมกลับเข้าสู่ความทุกข์อีกครั้ง
นี่เป็นความบังเอิญหรือ
“เป็นดังที่ท่านอาจารย์ว่าหรือไม่” ซังเยี่ยจ้องซ่งหลิ่วเขม็งพร้อมเอ่ยถาม
ริมฝีปากของซ่งหลิ่วขยับเบาๆ อยากเอ่ยปฏิเสธ แต่ก็ไม่รู้จะแก้ต่างได้อย่างไร
ซ่งเยี่ยเห็นเช่นนั้นยังมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีกเล่า นั่นก็คือเป็นดังที่ฉินหลิวซีบอก เว่ยไฉโจวคอยโรยเกลือบนบาดแผลของซ่งหลิ่วไม่หยุด มิน่าอาการป่วยนี้จึงไม่เคยดีขึ้น ความทุกข์ใจนี้ไม่อาจหมดไปซ้ำยังเพิ่มมากขึ้น จะดีขึ้นได้อย่างไรเล่า
ซ่งเยี่ยมองน้องสาวอีกครั้ง เห็นเส้นผมหงอกของนางเพิ่มขึ้นมาอีกมาก ใบหน้าซีดเซียว แก้มทั้งสองข้างซูบตอบ เจ็บปวดอยู่ในใจขึ้นมาโดยไม่อาจห้ามได้
“เว่ยไฉโจว เขาช่างกล้านัก” ซ่งเยี่ยโมโห หมุนตัวจะเดินออกไป
ซ่งหลิ่วรีบดึงเขาเอาไว้ ส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่ เป็นไปไม่ได้ ไฉโจวจะทำอย่างนี้ได้เช่นไร พวกเราเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันมาตั้งแต่ยังหนุ่มสาวนะเจ้าคะ”
นางไม่กล้าเชื่อ
ซ่งเยี่ยเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าอย่าลืมเสีย เขาเป็นคนดื้อรั้นและเจ้าคิดเจ้าแค้นมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นที่บิดาของเขาตายไป ยังเกือบจะเชื่อการใส่ความว่าเป็นฝีมือข้า…”
เขาชะงัก ดวงตาเบิกโต “ไม่ใช่เพราะเขาคิดเช่นนี้อยู่กระมัง คิดว่าข้าทำร้ายบิดาของเขา คิดว่าข้าเอาบิดาของเขาไปรายงานต่อราชสำนักเพื่อได้รับการอภัยโทษกระมัง”
ซ่งเยี่ยเข้าใจขึ้นมาทันใด หันมองไปทางฉินหลิวซีในทันที เอ่ย “หากเป็นเช่นนี้ เขาคือคนที่สาปตระกูลซ่งของเราผู้นั้นหรือไม่”
“แม่ทัพซ่ง การสืบเรื่องราวท่านควรมอบหน้าที่ให้แก่ผู้มีความชำนาญ ข้าไม่สืบ ยามที่ยังไม่เคยเห็นคน ข้าไม่อาจสรุปอย่างบุ่มบ่ามได้ ข้าเพียงมองในมุมของคนธรรมดาทั่วไป ข้าบอกได้เพียงโหงวเฮ้งของน้องสาวและอายุขัยของท่าน เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกท่าน จะเกี่ยวกับท่านเขยหรือไม่ คงต้องให้ท่านไปสืบด้วยตัวของท่านเอง” ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าบอกได้เพียงว่า หากพวกท่านตายจากไป ผู้ใดได้ผลประโยชน์ที่สุด คนผู้นั้นก็คือคนที่ก่อเรื่องเหล่านี้”
ในใจของซ่งเยี่ยร้อนระอุจนอยากปะทุออกมา แทบอยากไปสืบตอนนี้ทันที ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ส่วนซ่งหลิ่ว หูทั้งสองข้างของนางอื้ออึง สมองสับสนวุ่นวาย ภาพตรงหน้าดับลง
สิ่งที่นางได้รับรู้ในวันนี้มีมากเกินไป และมีพลังจู่โจมเกินไป นางไม่อาจตัดสินได้ ผู้ใดเป็นคนผู้ใดเป็นผี
ซ่งหลิ่วรู้สึกเพียงว่าสมองราวกับมีเข็มทิ่มเข้ามา ส่งเสียงด้วยความเจ็บปวด ร่างทั้งร่างหงายหลังลงไป
“ฮูหยิน”
“น้องหญิงหลิ่ว”
ซ่งเยี่ยตื่นตกใจ รีบเข้าไปคว้านางเข้าสู่อ้อมกอดยามที่นางเกือบล้มลงไปถึงพื้น เห็นใบหน้าของนางซีดไร้สีเลือด หันไปหาฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “ท่านอาจารย์”
ฉินหลิวซีมอง ออกคำสั่งกับเฉินผี “ไปเปิดห้องตรวจ ข้าจะฝังเข็มให้นาง”
[1]ตำแหน่งจื่อหนี่ว์ อยู่บริเวณใต้ตา
[2] ชาเขียว เป็นคำแสลง แปลว่า แอ๊บ ตอแหล แสร้งทำตัวน่าสงสาร