คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 349 อาจารย์ไม่มีความสุภาพ
ตอนที่ 349 อาจารย์ไม่มีความสุภาพ
ฉินหลิวซีกลับมาที่ร้านของตน มองเห็นศิษย์ที่รักกำลังนั่งขัดสมาธิไตร่ตรองคิดหนักอยู่บนโต๊ะหินหน้าประตูจากไกลๆ หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เถิงเจาคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะ เขารีบลืมตาขึ้นแล้วหันไปมอง เป็นท่านอาจารย์ที่ไร้เมตตาจริงๆ เขาถอนหายใจออกมาในใจ
ฉินหลิวซีไม่กลับมาทั้งคืน เขาก็ไม่ได้หลับทั้งคืนเช่นกัน แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็กลัวว่านางจะไปแล้วไม่กลับมา ทิ้งเขาเอาไว้
ฉินหลิวซีเดินเข้ามาใกล้ นั่งลงด้านข้างเขา ขยับเข้าไปใกล้ “เจาเจาของเรามานั่งขัดสมาธิคิดอะไรอยู่ที่นี่หรือ ไม่กลัวแปดเปื้อนสิ่งสกปรกข้างนอกหรือ วางค่ายวิญญาณในห้องเต๋าให้อาจารย์ ยังมีเขียนยันต์คาถา ความหมายในทางเต๋านั้นย่อมมี หากบำเพ็ญภายในจะสำเร็จเท่าตัว”
นางขยับเข้ามาใกล้อย่างไม่เกรงใจ เถิงเจาเอนตัวหนีด้วยร่างกายที่แข็งเกร็ง นางก็โน้มตัวตามเข้าไปหา
อาจเพราะรู้สึกว่าท่านี้ทำให้ทั้งสองต่างลำบาก เขาจึงยืดตัวขึ้น
ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปากยิ้มเบาๆ พลางลูบศีรษะของเขา “สองวันนี้ทำสิ่งใด”
“ฝึกฝน เขียนยันต์ อ่านหนังสือ ท่องคาถา ท่องตำราแพทย์ จำแนกสมุนไพร” เถิงเจาเอ่ยตอบอย่างกระชับ
ฉินหลิวซียิ้มตาหยี เอ่ย “ตั้งใจศึกษาเป็นเรื่องดี ต้องรู้จักทำงานพักผ่อนให้สมดุลกัน”
“ไม่จำเป็นขอรับ” เถิงเจาปฏิเสธอย่างเย็นชาและดื้อรั้น เขารู้สึกว่าตนเองวางแผนได้ดีสมบูรณ์แบบ เขาเป็นเหมือนฟองน้ำชิ้นหนึ่ง คอยซึมซับความรู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อนอยู่เรื่อยๆ ที่สำคัญคือเขายังมีความสนใจอยู่มาก ไม่เหมือนเมื่อก่อน ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการเดินหมากเขียนอักษร
สองมือของฉินหลิวซีจับประคองใบหน้าของเขา บีบแก้มของเขาเข้าหากัน เอ่ย “อาจารย์บอกก็ต้องก็คือต้อง เจ็ดขวบเล่นได้”
เถิงเจาเบิกตาเขม็ง
ฉินหลิวซีมองเขาน่ารักดุจซาลาเปา หัวเราะออกมา จูบหน้าผากของเขาอย่างอดไม่ได้
ครั้งนี้กล้าขัดขืนขึ้นมา เถิงเจาออกแรงปัดมือของนางออก แก้มสองข้างแดงก่ำ ใบหูยิ่งแดงเป็นสีเลือด สองมือยกขึ้นเช็ดหน้าผากที่เปียกชื้นเอาเป็นเอาตาย หน้าแดงเหมือนลูกแอปเปิล
ฉินหลิวซีหัวเราะอย่างมีความสุขยิ่งขึ้น
เถิงเจาดวงตาโกรธเกรี้ยว ท่านอาจารย์ผู้นี้ไม่มีความสุภาพเกินไปแล้ว
เฉินผีได้ยินเสียงหัวเราะของนาง รีบพาวั่งชวนวิ่งออกมา “คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว”
วั่งชวนโผเข้าสู่อ้อมอกของนาง กอดเอวนางเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ร้องเรียกอาจารย์ก็เริ่มน้ำตาตก
ฉินหลิวซีมองเด็กน้อยไม่กี่คนนี้ ใจพลันอ่อนยวบลง เอ่ย “ทำอะไรหรือ ข้าเพิ่งไม่อยู่แค่คืนเดียว คิดถึงอาจารย์เพียงนี้เลยหรือ”
“ท่านอาจารย์ไม่อยู่ ข้ากลัว” วั่งชวนเอ่ยสะอึกสะอื้น
ฉินหลิวซีเอ่ย “กลัวอะไร เพียงตั้งใจเรียนมีความสามารถ ไปที่ใดก็ไม่กลัว เจ้าจำเอาไว้ แม้อาจารย์จะเป็นอาจารย์ แต่ไม่อาจอยู่ข้างเจ้าได้ทุกที่ทุกเวลาตลลอดไปได้ นกอินทรีน้อยเติบโตแล้วก็ต้องออกไปหาอาหาร”
ไม่ผิด เติบโตแล้วต้องออกไปเผชิญโลกกว้าง อย่าได้คิดที่จะอยู่ร่ำเรียนข้างกายนางตลอดไป
เถิงเจาขมวดคิ้ว เลิกเช็ดหน้าผากแล้ว เขาเข้าใจเหตุผลแต่ทำไมรู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง
“ไม่อยากแยกจากอาจารย์เจ้าค่ะ” วั่งชวนเอ่ยงอแง
ฉินหลิวซีตั้งใจทำหน้าตึง “ไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ก็ไม่ได้อยู่ข้างกายอาจารย์แล้วนะ”
คิ้วของวั่งชวนก็ขมวดขึ้นมา เช่นนั้นไม่ได้ รีบเอ่ย “ข้าจะตั้งใจเรียนเจ้าค่ะ”
“เด็กดี” ฉินหลิวซีลูบศีรษะนาง เอ่ยกับเฉินผี “เช้านี้ปิดร้านเถิด ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินข้าวที่ร้านอาหาร”
เฉินผีเอ่ยตอบรับด้วยความดีอกดีใจ ปิดประตูร้าน ใส่กุญแจแล้วหลายคนก็รีบออกเดินทาง
และในยามที่พวกเขาจากไปได้ไม่นาน มีคนผู้หนึ่งซวนเซมาถึงตรงหน้า เคาะประตูเสียงดัง “มีคนอยู่หรือไม่ เปิดประตูหน่อย”
สิ่งที่ตอบกลับเขา มีเพียงเสียงลมที่มาจากปากทางเท่านั้น
หอจุ้ยเซียนเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลี เป็นสถานที่ที่เหล่าผู้รักในอาหารชอบไปมากที่สุด สืบทอดมาจากพ่อครัวหันที่เคยปรนนิบัติบรรพกษัตรย์ ขึ้นชื่อเรื่องอาหารรสเลิศสุดยอด แน่นอน ราคาเองก็แพงมากทีเดียว
พวกฉินหลิวซีไม่กี่คนเพิ่งมาถึงหน้าหอจุ้ยเซียน ร้านเย็บปักตรงข้ามก็มีคนสองคนเดินออกมา เรียกนางเอาไว้ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“ซีซี”
ฉินหลิวซีหันกลับไป มองเห็นซือเหลิ่งเย่ว์ ส่งเสียงประหลาดใจขึ้นมา “เสี่ยวเย่ว์ไยเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”
ซือเหลิ่งเย่ว์เดินเข้ามา ชี้ไปยังร้านเย็บปัก “ข้ากำลังจะเปิดร้าน วันนี้จึงมาตรวจตราร้านนี้ ไม่คิดว่าจะมาเจอเจ้า”
พวกเถิงเจายกมือประสานทำความเคารพนางอย่างมีมารยาท
ซือเหลิ่งเย่ว์ส่งเสียงตอบรับ หันไปเอ่ยกับฉินหลิวซีอย่างเสียใจ “เดิมอยากไปเยี่ยม ที่นี่ก็มีเรื่องมากมาย ไม่มีเวลาว่างเลยจริงๆ”
“ไม่เป็นไร ร้านนั้นของข้าก็เปิดแล้ว เพิ่งเสร็จไปหนึ่งงาน จึงได้พาพวกเขามากินข้าว หากเจ้าไม่มีธุระก็มากินข้าวด้วยกันหรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้ม
ซือเหลิ่งเย่ว์พยักหน้า “ข้าเลี้ยงเอง”
ฉินหลิวซีไม่แย่งนาง เพียงหันไปมองร้านเย็บปักที่ยังตกแต่งด้วยสีแดง เอ่ย “ได้ ข้าจะไม่เสียมารยาทแล้ว กินข้าวที่เถ้าแก่เนี้ยอย่างเจ้าเลี้ยง เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะช่วยเจ้าเลือกฤกษ์งามยามดีในการเปิดร้าน”
ซือเหลิ่งเย่ว์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม เดินเข้าไปในหอจุ้ยเซียนพร้อมกับนาง ขอห้องส่วนตัวหนึ่งห้อง
แยกย้ายกันนั่งประจำที่ ฉินหลิวซีให้ซือเหลิ่งเย่ว์สั่งอาหาร ตัวนางกลับยกนิ้วขึ้นมาคำนวณ ไม่นานก็คำนวณฤกษ์งามยามดีออกมาได้ เห็นสายตาของเถิงเจาที่จับจ้องมายังนางก็ไม่ได้ปิดบัง สอนวิธีคำนวณฤกษ์ยามให้โดยละเอียด
เสียงของงฉินหลิวซีไม่เบา ทว่าชัดเจน คำซับซ้อนพวกนั้นออกมาจากปากนาง คนอื่นฟังแล้วดูเข้าใจยาก ทว่ากลับฟังด้วยความหลงใหล
ชั่วครู่ต่อมาฉินหลิวซีจึงหยุดลง เอ่ยกับเถิงเจาว่า “คำนวณวงโคจรจักรราศีฤกษ์งามยามดี รวมกับการทำนายดวงวันเกิด จะคำนวณได้ดีกว่า อย่างไรการสนับสนุนการหักล้างซึ่งกันและกัน แน่นอนว่าเป็นเรื่องมงคล”
เถิงเจาพยักหน้า
ส่วนวั่งชวนนั้นงงไปแล้ว ราวกับถูกไม้ฟาดเข้าให้
ฉินหลิวซีบีบแก้มนาง เอ่ย “หน้าที่แรกของเจ้า ก็คือตั้งใจเรียนตัวอักษรกินนอนให้ดี ฝึกฝนร่างกาย”
วั่งชวนแบะปากยิ้ม
ฉินหลิวซีสอนลูกศิษย์ทั้งสองเสร็จ จึงเห็นว่าซือเหลิ่งเย่ว์กำลังมองนางด้วยรอยยิ้มบาง จึงเข้าไปใกล้ ก่อนจะกะพริบตาพลางเอ่ย “ทำไมหรือ หลงใหลในตัวข้าแล้วหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ผลักนางออก มองไปยังศิษย์ทั้งสอง กลับพบว่าคนหนึ่งกำลังนั่งคำนวณนิ้วมือ อีกคนกำลังเล่นทะเล้น มองซ้ายมองขวา หัวเราะเบาๆ ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ความเข้มงวดของข้า ไม่ได้อยู่ที่ลักษณะที่ปรากฏ แต่อยู่ที่ความสามารถ”
น้ำเสียงอวดดีนี้ ซือเหลิ่งเย่ว์กลับไม่รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ทว่ากลับเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ฉินหลิวซีเอ่ย “พื้นที่ตระกูลเจ้าจะเปิดแล้ว พวกเราเดินทางในเส้นทางทั่วไปคงไปไม่ทัน”
ไปไม่ทัน เช่นนั้นก็ต้องเดินทางในเส้นทางที่ไม่ปกติ
และเส้นทางไม่ปกติคืออะไร ซือเหลิ่งเย่ว์มีประสบการณ์ด้วยตนเองแล้ว
ซือเหลิ่งเย่ว์เข้าใจในสิ่งที่นางเอ่ยทันใด เอ่ย “ข้าแล้วแต่เจ้า”
“เช่นนั้น…”
ฉินหลิวซีเพิ่งอ้าปาก ที่ประตูพลันมีเสียงดังขึ้น ประตูถูกผลักเปิดมาจากด้านนอก
“เดิมทีพวกเราก็นั่งแต่ห้องนี้ ผู้ใดกล้าแย่งพวกเรา ให้พวกเขาเปลี่ยนห้อง” เสียงหวานหยาบคายดังขึ้น สตรีนางหนึ่งเท้าเอวเดินเข้ามา ยามเห็นหน้าซือเหลิ่งเย่ว์ก็ชะงักไปเล็กน้อย มองไปยังฉินหลิวซี เมื่อมีแต่คนที่ไม่รู้จักทั้งนั้นจึงยิ่งโอหังขึ้น “นี่ ห้องนี้ข้าจะเอา พวกเจ้าไปห้องอื่น”