คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 351 มีสหายเก่าคิดถึง
ตอนที่ 351 มีสหายเก่าคิดถึง
เมื่อคนตระกูลติงจากไป ห้องส่วนตัวถูกปิดลงอีกครั้ง ซือเหลิ่งเย่ว์กล่าวขอโทษฉินหลิวซีอีกครั้ง
“เอ่ยเช่นนี้ เกรงอกเกรงใจข้าเกินไปแล้ว” ฉินหลิวซีปรายตามองนาง
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้ม ยกจอกน้ำชาขึ้น “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าขอใช้น้ำชานี้ขออภัยแล้ว” นางจิบชาหนึ่งอึก เอ่ยถาม “ท่านรู้จักคนตระกูลติงผู้นั้นหรือ”
“ไม่สนิท ชุดสีเขียวผู้นั้น เคยเจอเมื่อสองสามเดือนก่อน ตอนนั้นรับงานไปที่เมืองหนิงโจว บังเอิญเจอเข้า” ฉินหลิวซียิ้มบาง “ตระกูลติงมีเจ้าเมือง เมื่อก่อนเคารพท่านปู่ของข้าเป็นอาจารย์ ท่านปู่ของข้าเห็นแก่บ้านเกิดเดียวกันจึงให้คำแนะนำและสนับสนุน ยามนี้ตระกูลฉินล้มแล้ว ตระกูลติงกลับหลีกเลี่ยงไม่เห็นหน้า หนีไปยังหยาเหมินของตระกูลติง เจ้าว่าจะสนิทกันได้หรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ขมวดคิ้ว ศิลธรรมของตระกูลติงช่างน่าผิดหวังเกินไปแล้ว
เถิงเจาที่อยู่ด้านข้างยิ่งเผยสีหน้ารังเกียจออกมา
กำแพงพังผู้คนหนีหายหลักการนี้พวกเขาเข้าใจดี แต่การกระทำของตระกูลติง เห็นได้ชัดว่าลืมบุญคุณ ยิ่งเห็นการกระทำของตระกูลติงเมื่ออยู่ข้างนอก ตระกูลเช่นนี้อยู่ได้นานจึงจะแปลก
“ลูกหลานตระกูลติงอยู่ข้างนอกกำเริบเสิบสานไร้คุณธรรม ไม่ช้าก็เร็วคงก่อเรื่องแน่นอน” แม้ซือเหลิ่งเย่ว์จะทำการค้า แต่เพราะชาติกำเนิดและสถานการณ์ของครอบครัว นางไม่ใช่คนที่จะไม่เข้าใจอะไร
แน่นอนรู้ว่าหนึ่งภูเขาย่อมมีหนึ่งภูเขาที่สูงกว่า เจ้าไม่มีทางรู้ว่าคนที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาตรงหน้าจะเป็นคนยิ่งใหญ่หรือไม่ หากล่วงเกินแล้ว ทำให้ตระกูลติงของเจ้าล่มไปทันทีทันใดก็ยังมี
อย่างไรตระกูลติงก็มีเพียงเจ้าเมืองหนึ่งคนที่เชิดหน้าชูตาได้ ผู้มีอำนาจเหนือกว่าขุนนางขั้นสี่นี้ ทั่วต้าเฟิงมีนับไม่ถ้วน ต่อให้ไม่ได้มีตำแหน่งราชการ คนชั้นสูงเก่าแก่เหล่านั้น เพียงอึดใจก็สามารถเหยียบย่ำบดขยี้ให้จมดินได้
ดังนั้นเป็นคนยังต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนบ้าง ไม่เช่นนั้นทำลายตนเองก็ช่างเถิด ทำลายทั้งตระกูล ก็คงละอายและผิดบาปต่อบรรพบุรุษแล้ว
ฉินหลิวซีไม่เคยเห็นตระกูลติงอยู่ในสายตา เอ่ย “ไม่เอ่ยถึงพวกเขาดีกว่า ทำลายความสุข”
ซือเหลิ่งเย่ว์เปลี่ยนหัวข้อไปตามน้ำ
และด้านห้องส่วนตัวลั่วเฟิง ติงหย่งเหลียงเองกำลังขออภัยต่อแขกทั้งสอง
“ลั่วซวงทิวทัศน์ดีที่สุด แต่ถูกคนเอาไปก่อน น่าเสียดายมากจริงๆ ต้องขอพี่โจวให้อภัยด้วย”
สองคนตรงหน้านี้ คือโจวเวยบุตรชายคนโตเชื้อสายหลัก และโจวหนิงบุตรสาวคนโตของผู้ตรวจราชการเจียงซู โจวซิ่งผิง เกิดในครอบครัวราชการไม่พอ ฐานะยังสูงส่ง เพราะมารดาของพวกเขา โจวฮูหยินคือหลานสาวที่โปรดปรานของโจวไทเฮาองค์ปัจจุบัน ทั้งยังเป็นญาติผู้น้องของฮ่องเต้ เกี่ยวข้องกับเชื้อพระวงศ์
โจวไทเฮารักคนและรักสิ่งที่เกี่ยวกับคนผู้นั้นด้วย โปรดปรานหลานสาวไม่พอ ยังเอ็นดูบุตรชายบุตรสาวของนางไม่น้อย คอยเรียกเข้าไปอยู่ในวังหลวงด้วยบ่อยครั้ง และโจวหนิงยังถูกแต่งตั้งเป็นฮุ่ยหลานเซี่ยนจู่
เพียงไม่รู้ว่าโจวไทเฮามีปรารถนาอยากพระราชทานให้กับองค์ชายพระองค์ใด หรือตระกูลโจวทำใจไม่ได้ เมื่อโจวหนิงถึงวัยปักปิ่นแล้วทว่ากลับยังไม่หมั้น เรื่องนี้ทำให้ตระกูลขุนนางต่างพากันลอบสืบเสาะอยู่ลับๆ
หนึ่งเพราะผู้ตรวจราชการโจวมีผลงานโดดเด่น กำลังจะได้เลื่อนขั้น สองน่ะหรือ โจวหนิงผู้นี้ สุภาพเปี่ยมคุณธรรม งดงามสง่า เป็นสตรีฝีมือดี จัดการดูแลบ้านได้เป็นอย่างดี แต่งภรรยาแต่งเกียรติ นี่เป็นมาตรฐานสะใภ้ที่หลายตระกูลชื่นชอบ
“นั่นน่ะสิ ทุกครั้งที่ถึงฤดูนี้ เปิดหน้าต่างห้องส่วนตัวนั้นออกก็จะมองเห็นต้นเฟิงหลากสีสันด้านนอก โทษคนพวกนั้น ไม่รู้จัก…” ติงซู่ฟังยู่ปากกำลังอยากบ่นอีก
ติงซู่ม่านมองไปยังสองพี่น้องตระกูลโจว สายตามองผ่านโจวเวย ใบหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องฟัง ชมวิวที่แตกต่างบ้างก็เป็นเรื่องดี ไม่ต้องพูดแล้ว”
โจวเวยยิ้มบาง “คุณหนูรองติงเอ่ยได้ไม่เลว ต้นเฟิงเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น”
ในน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม
พี่น้องตระกูลติงกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
ติงหย่งเหลียงรับหน้าที่สั่งอาหาร ทั้งแนะนำเมนูอาหารหลายอย่าง โจวเวยอย่างไรก็ได้ หอจุ้ยเซียนมีสาขาแพร่หลาย ใช่ว่าเขาจะไม่เคยไป
เพียงแต่สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นประโยคสุดท้ายของเด็กที่ยากจะบอกว่าเป็นชายหรือหญิง โจวเวยเหลือบมองน้องสาวที่มีเพียงรอยยิ้มบางที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้าง ดวงตามีความรักและความสงสารพาดผ่าน
โจวเวยถือถ้วยชา เอ่ย “เมื่อครู่ได้ฟังคุณหนูรองติงและคุณชายติงบอกว่ารู้จักคุณชายน้อยผู้นั้นหรือ เขาเป็นใครกัน”
ติงหย่งเหลียงชะงักไปเล็กน้อย “ข้าไม่รู้นัก เพียงแต่ม่านเอ๋อร์บอกว่าเคยเจอ”
“อ้อ” โจวเวยมองไปยังติงซู่ม่าน รอคำอธิบาย
ติงซู่ม่านหน้าแดง เอ่ย “ก่อนวันไหว้พระจันทร์ ข้าติดตามท่านย่าไปยังหัวเมืองเพื่อไปหาท่านพ่อ บังเอิญเจอเข้าเจ้าค่ะ” เดิมนางไม่อยากดึงรุ่ยจวิ้นอ๋องออกมา แต่ตระกูลโจวมีอิทธิพล หากต้องการสืบ บางทีอาจคิดว่านางตั้งใจปิดบัง จึงเอ่ยต่อ “ตอนนั้น เขาอยู่ข้างกายรุ่ยจวิ้นอ๋องเจ้าค่ะ”
นางปิดบังเรื่องที่รุ่ยจวิ้นอ๋องให้ความสำคัญ
รุ่ยจวิ้นอ๋องหรือ
โจวเวยถูนิ้วมือ เอ่ย “รุ่ยจวิ้นอ๋องถูกพระราชทานสมรส และพระราชทานแต่งตั้งตำแหน่งราชองครักษ์ชานหลิ่ง[1] หากเขาเป็นคนของจวิ้นอ๋อง กลับไม่ได้ติดตามอยู่ข้างกาย”
“เรื่องนี้ไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ” ติงซู่ม่านเองก็ไม่รู้ว่าตัวตนของฉินหลิวซีเป็นอย่างไรกันแน่
โจวเวยไม่เอ่ยปากอีก ในหัวกลับสว่างวาบขึ้นมา พระชายาหนิงผู้เฒ่าก็กลับเมืองหลวงไปแล้ว ถวายฎีกาอยากขอแต่งตั้งรุ่ยจวิ้นอ๋องเป็นหนิงอ๋องซื่อจื่อ ทว่าถูกขัดขวางเอาไว้ เพียงพระราชทานสมรสและตำแหน่งราชการเท่านั้น
เขาเจอพระชายาหนิงผู้เฒ่าที่งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งหนึ่ง ได้ยินว่านางป่วยมาหลายปี แต่ตอนนั้นที่เจอใบหน้าก็ยังเปล่งปลั่งมีสีสันมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนคนป่วยแม้เพียงนิด
โจวเวยนึกย้อนไปถึงประโยคนั้นของฉินหลิวซี ในใจว้าวุ่น เฟยฉางเต๋าหรือ
ชื่อร้านนี้แปลกประหลาดทว่าเป็นเอกลักษณ์
อีกฝ่ายบอกว่าสามารถไขความกังวลในใจของพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ
ดวงตาโจวเวยลุ่มลึก
ฉินหลิวซีที่ถูกเอ่ยถึงกำลังตอบคำถามซือเหลิ่งเย่ว์ “ไม่ใช่คุณชายผู้นั้นมีปัญหา เป็นแม่นางผู้นั้นต่างหาก แม้แต่ผงชาดยังไม่อาจปกปิดความเหนื่อยล้าและความหงอยเหงาเอาไว้ได้ และยังห่อไหล่ นี่เป็นท่าทีของความไม่มั่นใจในตนเอง”
คิ้วสวยของซือเหลิ่งเย่ว์เลิกขึ้น “ดูออกว่าป่วยเป็นอะไรหรือไม่”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เรื่องนี้ต้องจับชีพจร ต้องล้างผงแป้งบนหน้านั่นออกและดูอย่างละเอียดจึงจะรู้”
ซือเหลิ่งเย่ว์ทอดถอนใจ “ผู้เป็นหมออย่างไรก็ต้องพิถีพิถันในการสอบถามโดยละเอียดก่อน”
“แน่นอน อาการป่วยบางอย่างแม้สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า แต่หากจะจ่ายยาจริงๆ จำต้องตรวจชีพจรโดยละเอียด”
“ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเป็นคุณชายคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลใด”
ฉินหลิวซีจิบชา “อย่างไรไม่เพียงฐานะสูงส่งเป็นแน่ มิเช่นนั้นคนตระกูลติงจะเอาใจใส่เช่นนี้หรือ สายตาคุณหนูติงมองคุณชายผู้นั้นแทบดึงเส้นด้ายออกมาได้แล้ว”
อ้อ สายตาทอดเยื่อใยเช่นนี้ เมื่อก่อนก็ใช้มองฉีเชียน
เปลี่ยนได้รวดเร็วจริงๆ
ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นเป็นอย่างไรแล้ว คิดว่าคงมีคนในใจแล้วกระมัง
ฉีเชียนจามสองครั้ง เดินออกมาจากห้องทำงาน อิงเป่ยเดินเข้าไปรับของของเขามา เอ่ย “จวิ้นอ๋อง คุณหนูตระกูลมู่มาแล้วขอรับ”
ฉีเชียนได้ยินวาจานี้ มือที่กำบังเหียนชะงัก ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน ดวงตามีความเบื่อหน่ายขึ้นมา
“กลับจวนเถิด” เขาขึ้นม้าโดยไว เท้าสองข้างเตะท้องม้า มุ่งหน้าตรงไปยังจวนหนิงอ๋อง เพียงแต่เมื่อออกมาจากวังหลวง เขาก็หยุดลงที่ทางแยกแห่งหนึ่ง สายตามองไปทางใต้
นั่นคือทิศทางออกนอกเมือง ไม่รู้ว่าฉินปู้ฉิวเป็นอย่างไรแล้ว ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
อิงเป่ยและองครักษ์ทั้งสองติดตามอยู่ด้านข้างเขา ไม่ได้ส่งเสียง ทว่าสายตากลับตึงเครียด
จวิ้นอ๋องคงไม่ได้อยากออกนอกเมืองกระมัง
คิดเช่นนั้น ทว่าเห็นฉีเชียนดึงสายตากลับมา จากนั้นก็ดึงบังเหียนม้า มุ่งหน้าไปยังจวนอ๋อง ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ยินผิดแล้วหรือไม่ เสียงถอนหายใจที่ลอยมากับลมเสียงนั้น
[1] ราชองครักษ์ชานหลิ่ง ขุนนางระดับสาม