คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 353 บรรยากาศอีกอย่างหนึ่งของอารามชิงผิงคือตีลูกศิษย์
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 353 บรรยากาศอีกอย่างหนึ่งของอารามชิงผิงคือตีลูกศิษย์
ตอนที่ 353 บรรยากาศอีกอย่างหนึ่งของอารามชิงผิงคือตีลูกศิษย์
Ink Stone_Romance
ฉินหลิวซีจะไปยังพื้นที่ตระกูลของซือเหลิ่งเย่ว์ เนื่องจากระยะเวลา จึงตั้งใจจะเดินทางในเส้นทางที่ไม่ปกติเพื่อจะได้ทันเวลา เดินทางไปและกลับไม่แน่อาจใช้เวลานาน จึงไม่ได้พาศิษย์ทั้งสองไปด้วย
สิ่งนี้สำหรับเถิงเจาและวั่งชวนแล้ว เปรียบเสมือนข่าวร้าย เพียงชั่วพริบตาหยาดน้ำตาก็คลอเต็มเบ้า จะร่วงไม่ร่วงลงมา
ฉินหลิวซีอุ้มวั่งชวนขึ้น บีบแก้มของนาง จากนั้นมองไปยังเถิงเจา เอ่ย “พวกเจ้าอายุยังน้อยเกินไป อีกทั้งเพิ่งเข้าสู่เต๋า ยังไม่มีการบำเพ็ญเพียร ในเส้นทางหยินมีเหล่าผีวิญญาณชั่วร้ายมากมาย จิตใจไม่มั่นคง ง่ายที่จะถูกดึงวิญญาณสูญหายไป ต้องติดอยู่ในนั้นตลอดไป ออกมาไม่ได้อีกแล้ว จะกลายเป็นคนโง่”
เถิงเจาเม้มริมฝีปาก ฟังเงียบๆ แม้แต่วั่งชวนก็ไม่กล้าสะอื้นแล้ว
“แม้พาพวกเจ้าไปด้วยอาจารย์จะดูแลพวกเจ้าได้ แต่หากเกิดเรื่องบางอย่างที่ไม่คาดคิดขึ้นมาเล่า ข้าต้องรับมือ และต้องปกป้องพวกเจ้า บางทีอาจทำอะไรไม่ถูก ที่สำคัญก็คือ พวกเจ้าอายุยังน้อย ร่างกายอ่อนแอ เดินทางเส้นทางหยินหนึ่งครั้ง ง่ายที่จะถูกพลังหยินครอบงำ ต้องมาคอยดูแลรักษาอีกเล่า” ฉินหลิวซีลูบผมนุ่มของวั่งชวน เอ่ย “ดังนั้นพวกเจ้าไปอยู่กับท่านอาจารย์ปู่ ยามข้าไม่อยู่ ก็ต้องร่ำเรียนกับท่านอาจารย์ปู่ ห้ามขี้เกียจ เมื่อข้ากลับมาแล้วก็จะไปรับพวกเจ้าที่อารามชิงผิง”
“ไม่ได้ทิ้งพวกเราจริงๆ ใช่หรือไม่” วั่งชวนสูดน้ำมูกเอ่ย
ฉินหลิวซีหัวเราะออกมา เอ่ย “พวกเจ้าเป็นศิษย์ของข้า อาจารย์จะทิ้งพวกเจ้าได้อย่างไร” นางเปลี่ยนคำ “แต่หากพวกเจ้าทรยศอาจารย์ทรยศสำนัก เช่นนั้นจำต้องทิ้งอย่างแน่นอน เรียนไม่ดีสิ่งที่จะเจอก็คือไม้เรียวของอาจารย์ เช่นนั้นก็ทิ้ง ดังนั้น พวกเจ้าไม่เพียงต้องเรียนให้ได้ ยังต้องเรียนให้เข้าใจถ่องแท้ รู้หรือไม่”
อย่างไรอาจารย์ยังต้องอาศัยพวกเจ้าเลี้ยง
วั่งชวนรีบยกมือน้อยๆ ขึ้น “ข้าจะฟังคำของท่านอาจารย์ปู่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เถิงเจาเอ่ยขึ้นทันใด “แม้แต่ชื่อเจ้ายังเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ”
วั่งชวนหน้าแดงขึ้น ก้มศีรษะลง รู้สึกอายเป็นที่สุด นางเพิ่งเริ่มเรียนมิใช่หรือ
ฉินหลิวซีหัวเราะขึ้นมา กอดทั้งสองแล้วหอมเบาๆ
เมื่อส่งศิษย์ทั้งสองไว้ที่อารามชิงผิง สิ่งที่มาต้อนรับก็คือไม้แส้หางม้าตามไล่ตี
“ข้านึกว่าเจ้าจะทรยศสำนักแล้ว กี่วันไม่ขึ้นเขามา ในสายตาเจ้ายังมีอาจารย์อยู่หรือไม่ ในใจยังมีอารามเต๋าอยู่หรือไม่” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถือไม้แส้หางม้าวิ่งไล่ตามฉินหลิวซีไปทั่วอาราม
ฉินหลิวซีวิ่งจนหัวหมุน “ข้าเป็นอาจารย์แล้วนะ ท่านยังวิ่งไล่ตีข้าอีก ข้ายังต้องมีหน้าอยู่หรือไม่ ท่านหยุดเดี๋ยวนี้”
“เหอะ เจ้าเป็นอาจารย์แล้วข้าไม่เป็นอาจารย์แล้วหรือ เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ มาให้ข้าตีให้พอ”
“ท่านคิดว่าข้าโง่หรือ” ฉินหลิวซีวิ่งพลางหยิบกระดาษเหลืองออกมาจากแขนเสื้อ กัดปลายนิ้วเลือดซึม รีบวาดยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น โยนกลับไป “นิ่งเสีย”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ย “ศิษย์เนรคุณ เจ้ากล้าใช้ยันต์หรือ” เขาตวัดไม้แส้หางม้า ปากท่องคาถา นิ้วมือจรดข้อนิ้วส่งยันต์ออกไป “ทำลายเสีย”
พรึบ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ยันต์สะกดให้นิ่งแผ่นนั้นลุกเป็นไฟตรงหน้าเขา
“ข้ายังมีอีก” ฉินหลิวซีสะบัดออกไปอีกหนึ่งแผ่น
นักพรตเฒ่าชื่อหยวน “…”
ศิษย์อาจารย์สองคน คนหนึ่งเขียนยันต์ อีกคนทำลาย ทำพวกเถิงเจามองด้วยสายตานิ่งอึ้ง
ชิงหย่วนไม่รู้มายืนอยู่ด้านข้างเขาตั้งแต่เมื่อใด มือกำลังถือเมล็ดแตงแทะ พร้อมเอ่ย “คุ้นเคยเอาไว้ก็ดี นี่คือทิวทัศน์อีกอย่างหนึ่งของอารามชิงผิงเรา มีที่นี่ที่เดียว ไม่มีที่ใดอีกแล้ว คนทั่วไปไม่ได้เห็นหรอกนะ”
เถิงเจา น้ำเสียงนี้ฟังดูภูมิอกภูมิใจ?
เขาเหลือบมองไหล่ที่มีเปลือกเมล็ดแตงติดอยู่ ร่างกายสั่นระริก ขมวดคิ้วอย่างรังเกียจก่อนจะใช้นิ้วดีดออกไป ขยับออกห่างสักหน่อย จากนั้นมองไปยังคนทั้งสองที่ยังวิ่งไล่กันไม่หยุด
อนาคตเขาก็จะเป็นเช่นนี้หรือ ถูกวิ่งไล่ดีไปทั่วอาราม
เถิงเจาจินตนาการอยู่ในหัวแล้วสะดุ้งโหยงขึ้นมา
การไล่ตีลูกศิษย์เนรคุณเช่นนี้ ด้วยกำลังของชื่อหยวนนั้นไม่อาจจัดการได้ ฉินหลิวซีหัวเราะเสียงดัง เข้าไปประคองเขา เอ่ย “เป็นท่านอาจารย์ปู่แล้ว ต้องรักษาท่าที ขยับไม่ขยับก็ตีคนอื่น เป็นภาพที่น่าดูหรือ ให้เด็กเห็นแล้ว ดูเหมือนอะไรกันเล่า”
วาจาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ แต่เถิงเจามองเห็นว่านิ้วมือของนางนวดอยู่บนข้อมือของท่านอาจารย์ปู่ ดวงตาวูบไหวขึ้นมา
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหอบหายใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “น่ามองไม่น่ามองอาจารย์ไม่รู้ รู้เพียงมีความสุข”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เอาล่ะ เข้าไปคุยกันข้างในเถิด”
นางประคองนักพรตชื่อหยวนเข้าไปในเรือนเต๋า ออกคำสั่งให้ศิษย์ทั้งสองเดินตาม เข้าไปหยิบถ้วยชาส่งไปให้ “ท่านใจเย็นๆ”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนส่งเสียงหยัน รับถ้วยชามาดื่มหนึ่งอึก
ฉินหลิวซีจึงเอ่ยเล่าเรื่องราวในช่วงนี้ให้เขาฟัง เอ่ยถึงเรื่องที่จะออกเดินทางขึ้นมา “ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ข้าก็ไม่ได้ขี้เกียจเอาแต่หลบอยู่แต่ในบ้าน กำลังตั้งใจหาค่าน้ำมันตะเกียงอย่างจริงจัง มิเช่นนั้นร่างทองของท่านปรมาจารย์ท่านและยอดทองคำจะหามาจากที่ใดกัน”
นางมองออกไปข้างนอก ตระกูลเซียวมีความสัตย์จริง เสริมยอดทองคำให้วิหารหลักจริงๆ แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวตกกระทบ ทำให้มีแสงสีทองเปล่งประกายระยิบระยับขึ้นมา
ฉินหลิวซีหรี่ตา รู้สึกว่าอารามของตนมียอดทองคำนี้มาช่างดูยิ่งใหญ่ขึ้นมากทีเดียว
นี่คือความดีความชอบของนาง
นักพรตชื่อหยวนมองออกถึงความภาคภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ ของนาง ไม้แส้หางม้าเขวี้ยงออกไป “ภาคภูมิจอะไร หากสิบปีมานี้เจ้าไม่ขี้เกียจ เพิ่งจะมามีรูปหล่อทองคำยอดวิหารทองคำในวันนี้ อารามชิงผิงของเราคงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหนิงโจวแล้ว ฉายาทางเต๋าของเจ้าก็คงเป็นที่เลื่องลือแล้ว”
ฉินหลิวซียิ้มเย็น “ท่านเกรงว่าคงจะลืมแล้ว สิบปีก่อนที่เรากลับมาถึงอาราม ประตูก็ยังพัง ห้องมีน้ำรั่ว หน้าต่างมีลมเข้า หลายปีมานี้อารามได้รับการบูรณะ มีรูปปั้นช่วยสงบจิตใจ ช่วยเหลือยามยากลำบาก นี่คือสวรรค์ประทานมาให้หรือ ไม่ใช่ข้าที่ค่อยๆ บูรณะมาหรือ ผู้ใดจะเหมือนท่าน ท่านยังขโมยเงินน้ำมันตะเกียงไปอยู่เลย”
หา ท่านอาจารย์ปู่ขโมยเงินทำบุญหรือ
เถิงเจาและวั่งชวนตกใจ ดวงตาเบิกโตมองไปยังนักพรตเฒ่าชื่อหยวน ใบหน้าไม่อยากเชื่อ
นักพรตชื่อหยวนถูกศิษย์หลานทั้งสองเบิกตาโตจ้องมองมา ใบหน้าชราร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด เอ่ยแก้ตัว “นั่นอาจารย์เอามาใช้ เพื่อดึงดูดผู้มีจิตศรัทธาระหว่างทางแก่อารามชิงผิงของเรา ขโมยอะไรกันเล่า”
ฉินหลิวซีหัวเราะ เหอะๆ สองครั้ง
นักพรตชื่อหยวนรู้ว่าตนเองเสียท่า ลูบเคราก่อนจะเอ่ย “เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่เอ่ยถึง ยามนี้ชื่อเสียงของอารามชิงผิงค่อยๆ แพร่กระจายออกไป ฉายาทางเต๋าของเจ้าก็เริ่มแพร่หลาย ผู้มีจิตศรัทธานับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น ชื่อเสียงมากขึ้น ภาระก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ต้องแบกชื่อเสียงของอารามให้ได้ พวกเราต้องพยายามอย่างเต็มที่ เช่นนี้จึงจะสร้างถนนบุญได้อย่างสมบูรณ์”
“นี่ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเงิน ดังนั้นท่านอย่าได้สนใจว่าหลายวันข้าถึงขึ้นเขามาสักครั้ง ยามนี้ร้านเปิดกิจการแล้ว เพื่อเงินค่าน้ำมันตะเกียง ข้าต้องเฝ้าอยู่ที่ร้าน” ฉินหลิวซีมองไปยังศิษย์ทั้งสอง เอ่ย “ศิษย์หลานท่านก็มีแล้ว มีหลายปากรอกินข้าว”
เลี้ยงอาจารย์ เลี้ยงศิษย์ เลี้ยงอาราม ขี้เกียจไม่ได้แล้ว
“เจ้ารู้ก็ดี แต่เจ้าอยู่ข้างนอกก็ต้องยึดมั่นในเต๋า อย่าได้หลงลืม อย่าหลงใหลในความเจริญรุ่งเรือง” นักพรตชื่อหยวนมองไปยังศิษย์ เอ่ย “เด็กน้อย ได้เงินตะเกียงน้อยก็ไม่เป็นไร บำเพ็ญเพียรในเต๋าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเจ้า”
“รู้แล้ว” ฉินหลิวซีแคะหู คำนี้นางไม่รู้ว่าได้ยินมามากเพียงใดแล้ว
เถิงเจาราวกับคิดสิ่งใดอยู่ หาเงินเป็นเรื่องรอง บำเพ็ญเพียรเป็นสิ่งสำคัญอย่างนั้นหรือ