คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 362 พาเจ้าไปเที่ยวที่เนินป่าช้าดีหรือไม่
ตอนที่ 362 พาเจ้าไปเที่ยวที่เนินป่าช้าดีหรือไม่
เรือนนี้ของฉินหลิวซีตลอดสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยมีคนนอกเข้ามาอยู่ ไม่เอ่ยถึงว่าในเรือนมีของมีค่ามากมายไม่อาจเปิดเผยต่อผู้คนภายนอก บวกกับนางเองไม่ชอบให้มีคนใหม่เข้ามาในเรือน
ต่อให้เถิงเจาและวั่งชวนมาแล้ว เรือนแห่งนี้ก็ไม่รับบ่าวรับใช้เพิ่มแม้เพียงคนเดียว และบ่าวรับใช้ที่ชื่อวั่นเช่อนั้น ยิ่งไม่สามารถทำงานในเรือนนี้ได้
โดยเฉพาะเมื่อเห็นเจ้าโสมน้อยแล้ว เถิงเจาก็ไม่ให้วั่นเช่อมา และไม่เรียกใช้งาน กลัวว่าวั่นเช่อปากไม่มีประตูผู้นั้นจะเอาความลับแพร่งพรายออกไปข้างนอก ทำให้ฉินหลิวซีต้องลำบาก
ฉินหลิวซีนึกถึงความใส่ใจของเถิงเจา มุมปากยกขึ้นชั่วครู่
นางเคาะโต๊ะเบาๆ เอ่ยกับเฉินผี “เจ้าพาวั่นเช่อมาที่นี่”
เฉินผีรับคำ รีบออกไปเรียกคน
ยามนี้วั่นเช่อกำลังถือกิ่งไม้เล่นกับมดอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ตั้งแต่เขามาถึงเมืองหลีก็ถูกสั่งให้เฝ้าหน้าประตู เดิมทีอยากทำงานอยู่ข้างเถิงเจาดังเช่นเมื่อก่อน ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับเถิงเจาจึงไม่ใช้งานเขาแล้ว
วั่นเช่อรู้ว่าตนเองติดตามเถิงเจามา รอให้เขาคุ้นเคยแล้วค่อยกลับไป แต่รู้ก็ส่วนรู้ ถูกทิ้งขว้างเช่นนี้ย่อมรู้สึกปวดใจทั้งหงอยเหงา อนาคตข้างหน้าริบหรี่ กระทั่งร่างกายก็ผอมลงไปมาก
ยามเฉินผีมาตาม เขาทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว หรือว่าจะไล่เขาไปตอนนี้หรือ
เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี วั่นเช่อเก็บมือเก็บเท้า หัวใจทั้งใจถูกแขวนอยู่ รู้สึกปั่นป่วนไม่สบายใจยิ่งนัก
เผชิญหน้ากับบุคคนผู้นี้ น่ากลัวเสียยิ่งกว่าเผชิญหน้ากับนายท่านเสียอีก
“นั่งเถิด”
วั่นเช่อรีบโบกมือ เอ่ย “บ่าวยืนก็ได้ขอรับ”
ฉินหลิวซีเห็นเขาตื่นกลัว จึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องกลัว เรียกเจ้ามา เพียงอยากถามว่าเจ้ามีแผนอย่างไรในอนาคต เจาเจาเป็นศิษย์เอกของข้าแล้ว ความเคยชินเหล่านั้นของเขา ข้าจะค่อยๆ ปรับ ต่อให้ไม่อาจเปลี่ยนได้ ก็ไม่ให้เขาเอาแต่เรียกใช้บ่าวรับใช้ในทุกๆ เรื่อง เพราะเขาเป็นศิษย์เอกของข้า”
วั่นเช่อพลันถูกน้ำเย็นสาดใส่จนใจเย็นเยียบ วาจานี้ขาดเพียงเอ่ยกับเขาตรงๆ ว่าเจ้าไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว มาจากที่ใดก็กลับไปที่นั้นเถิด
เมื่อเข้าใจตรงนี้ วั่นเช่อเม้มริมฝีปาก กระบอกตาแดงระเรื่อขึ้น
เป็นเช่นนั้น ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “เดิมให้เจ้าติดตามมาด้วย เพราะกลัวว่าเจาเจาจะไม่คุ้นเคย แต่เขาไม่ได้ใช้งานเจ้า เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาสามารถดูแลตนเองได้ ในเมื่อข้างกายเขาไม่ต้องมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ บ่าวรับใช้เช่นเจ้า อยู่แบบนี้ก็ไม่ดี”
วั่นเช่อหลุบตาลง
“ข้าเห็นว่าเส้นทางขุนนางของใต้เท้าเถิงกำลังไปได้ดี อนาคตต้องมีภรรยาใหม่ มีลูกเพิ่มอีก อายุของเจ้านับว่ายังไม่มากนัก หากอยากกลับไปเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของใต้เท้าเถิง สักวันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็นพ่อบ้านที่รู้ใจ หากดูแลปรนนิบัตินายน้อยคนใหม่ ไม่แน่อาจมีอนาคตไกล นี่คือทางที่หนึ่ง” ฉินหลิวซีมองเขาแล้วเอ่ยต่อ “ส่วนทางที่สอง หากเจ้าไม่อยากกลับไปก็อยู่กับพวกเรา ตอนนี้เรามีกิจการเปิดแล้ว มีเฉินผีคนเดียวก็ไม่อาจดูแลได้ทั้งหมด เจ้าจะติดตามเขา เป็นลูกศิษย์เรียนรู้อยู่ที่ร้านไปด้วยกันหรือไม่”
วั่นเช่อเงยหน้าขึ้นมาทันใด “ท่านไม่ได้จะไล่ข้าไปหรือขอรับ”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “อย่างไรเจ้าก็เติบโตมากับเจาเจา ข้าจะจัดการชีวิตของเจ้าข้ามหน้าเขาไปได้อย่างไร เพียงแต่เขานึกไม่ถึง ข้าผู้เป็นอาจารย์จึงต้องช่วยเขาคิดก่อน เจ้าดูเถิดว่าเจ้าจะเลือกอย่างไร”
วั่นเช่อเอ่ย “บ่าวคอยดูแลนายน้อยต่อไปมิได้หรือขอรับ”
“เข้ากราบข้าเป็นอาจารย์แล้ว เข้ามาอยู่ในสำนักของข้า เข้ามาอยู่ในเต๋า เจ้าจะดูแลเขาอะไร จะเข้าสู่เต๋าด้วยกันหรือ ข้าเอ่ยตามตรง เจ้าไม่มีพรสวรรค์นี้”
วั่นเช่อหน้าแดง เอ่ย “บ่าวตัวคนเดียว หกขวบก็ถูกรับมาจากมูลนิธิ ส่งมาอยู่ข้างกายนายน้อย ไม่เคยห่างไปไหน ข้า ข้าไม่อยากกลับไปอยู่กับนายท่านขอรับ”
ต่อให้ไม่อาจดูแลรับใช้ ได้คอยมองนายน้อยอยู่ใกล้ๆ ก็ถือว่าเป็นการปลอบโยนอย่างหนึ่ง
ดวงตาของฉินหลิวซีมีรอยยิ้มขำ เอ่ย “ในเมื่อเจ้าไม่ไป เช่นนั้นก็อยู่กับเฉินผี คอยช่วยงานที่ร้าน พวกเจ้าอายุไล่เรี่ยกัน คุยกันง่าย”
วั่นเช่อพ่นลมหายใจออกมา เอ่ย “บ่าวน้อมรับคำสั่งขอรับ”
ขอเพียงไม่ถูกไล่ไปก็พอแล้ว
ฉินหลิวซีโบกมือให้เฉินผีพาเขาออกไป ต่อไปก็คอยดูแลกิจการด้วยกัน
เฉินผีพาวั่นเช่อออกไป กอดคอเขาเอ่ย “เสี่ยวเช่อจื่อ กิจการของร้านเราไม่เหมือนกับร้านค้าทั่วไป เจ้ามีความกล้ามากหรือไม่ หากไม่มาก พี่ชายจะพาเจ้าไปเที่ยวเนินป่าช้าฝึกความกล้าสักกี่คืนดีหรือไม่”
วั่นเช่อ “?”
ท่านกลัวข้าจะแย่งความดีความชอบท่านหรือ
ไม่จำเป็น ข้าอยู่เป็น
เฉินผีเอ่ยต่อ “ต้องมีความกล้า สายตาต้องเฉียบคม ต้องใส่ใจ แม้เจ้าจะไม่มีพรสวรรค์เข้าสู่เต๋า แต่เข้าใจเอาไว้บ้างก็ไม่เป็นไร อีกทั้งวิชาการแพทย์ รู้หนังสือหรือไม่ เวลาปกติต้องอ่านตำราแพทย์ เสี่ยวเช่อจื่อเจ้าต้องใส่ใจ เรียนรู้แล้ว ในอนาคตตำแหน่งผู้จัดการร้าน ต้องเป็นของเจ้าแน่นอน”
ขอเพียงสอนได้ เขาก็สามารถกลับไปรับใช้อยู่ข้างกายเจ้านายได้แล้ว เยี่ยมยอด
วั่นเช่อ “…”
นี่ต้องเป็นคำพูดประชดประชัน มีแผนการอย่างแน่นอน
ฉินหลิวซีเองก็เอ่ยกับฉีหวงอย่างที่เอ่ยกับเฉินผีอีกครั้ง “เจ้ามีเวลาก็ช่วยสอนเขาทำบัญชีสักหน่อย”
ฉีหวงพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดีเจ้าค่ะ เมื่อถึงเวลา จะได้แยกจากกันได้โดยสมบูรณ์”
กิจการอย่างเฟยฉางเต๋า นอกจากฉินหลิวซี คนตระกูลฉินไหนเลยจะมีคนรับช่วงต่อได้ มิสู้เช่นตอนนี้ แม่ไก่หนึ่งตัวออกไข่ ไข่ไก่แบ่งหลายตะกร้า ไข่ออกไข่อีก แตกยอดได้ง่ายขึ้น
“พี่ฉีหวง พี่หญิงใหญ่อยู่หรือไม่เจ้าคะ”
ฉินหลิวซีพยักหน้าให้ฉีหวง อีกคนจึงพาฉินหมิงเป่าเข้ามา
“พี่หญิงใหญ่” ฉินหมิงเป่ามองเห็นนางพลันคารวะ รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากหน้าอก ยื่นให้นาง ก่อนจะเอ่ยว่า “พี่หญิง นี่คือผ้าเช็ดหน้าที่ข้าปัก มอบให้ท่านเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีชะงักก่อนจะรับมา ปักพุ่มดอกทับทิม ไม่นับว่าโดดเด่น แต่การจับคู่สีดีเยี่ยม จึงเอ่ย “เจ้าปักจริงๆ หรือ”
ฉินหมิงเป่าหยักหน้า “ท่านแม่ข้าสอนเจ้าค่ะ สีข้าเป็นคนจับคู่เอง ปักไม่ดีนัก ต่อไปข้าจะปักให้สวยกว่านี้ แล้วค่อยเอามาให้ท่านใหม่”
“ทำไมต้องเอามาให้ข้า”
ฉินหมิงเป่าหน้าแดง เอ่ย “พี่หญิงช่วยท่านแม่และน้องชายข้า ข้าอยากทำอะไรให้ท่านบ้างด้วยตัวของข้าเอง ข้าเรียนมาหลายเดือน กว่าจะปักผ้าเช็ดหน้าออกมาได้”
“ปักได้ไม่เลว ข้าชอบมาก” ฉินหลิวซีจับแก้มเล็กของนางเบาๆ เอ่ย “เจ้าจับคู่สีได้ไม่เลว เรียนวาดภาพ วาดแบบออกมาได้เป็นอย่างดี จับคู่สีได้ดีเช่นกัน หากมีทักษะการปักเพิ่มขึ้นมาอีกสักนิด อนาคตเจ้าจะปักผลงานที่โดดเด่นงดงามได้อย่างแน่นอน”
ฉินหมิงเป่าดวงตาเป็นประกาย พยักหน้า “ข้าจะทำให้ได้เจ้าค่ะ”
“ไปกัน ข้าจะไปส่งเจ้า ไปดูพวกผิงอันด้วย” ฉินหลิวซีให้ฉีหวงหยิบขนมและผลไม้ออกมา ยัดใส่มือนาง พานางไปยังเรือนกู่ซื่อ
ท้องฟ้ามืดลง ลมพัดแรง สะใภ้กู้ไม่ได้ออกไปข้างนอก ทว่าหยอกล้อเล่นอยู่กับบุตรชายทั้งสองในห้องของแม่นม เห็นฉินหลิวซีมา ใบหน้าประหลาดใจพลันปรากฏขึ้น “ซีเอ๋อร์มาแล้ว รีบนั่งเร็ว”
“ข้ามาตรวจชีพจรให้กับพวกผิงอันเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีเดินเข้ามาด้านในด้วยรอยยิ้ม มองเห็นสะใภ้กู้เดินเข้ามาใกล้ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของนาง รอยยิ้มหายไปชั่วครู่ คิ้วขมวดขึ้น ไม่นานก็คลายออก นางถอนหายใจออกมา สิ่งที่ควรเกิดอย่างไรก็ไม่อาจเลี่ยงได้