คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 376 ถูกมองเป็นกาลกิณี
ตอนที่ 376 ถูกมองเป็นกาลกิณี
การปฏิเสธของจิ่งเสี่ยวซื่อผู้นั้นอยู่ในความคาดหมายของฉินหลิวซีทั้งหมด นางไม่ได้โกรธ อย่างไรเสียนางก็มีใจที่จะตอบแทนบุญคุณที่ให้นั่งรถมาด้วย หากอีกฝ่ายไม่ต้องการ นั่นก็คือสิ่งที่เขาเลือกแล้ว นางก็จะไม่ตามตื้ออะไร
อีกอย่างนางมีลางสังหรณ์ว่าจะได้พบกันอีก
เห็นหรือไม่ ในวันต่อมาตอนเวลาใกล้เที่ยง ก็ได้พบกับพวกเขาอีกครั้งที่โรงน้ำชาที่พวกเขาพักอยู่บนถนนสายหลักที่มุ่งหน้าไปเซียงหนาน
“พี่สยง ช่างบังเอิญจริงๆ” ฉินหลิวซีพยุงซือเหลิ่งเย่ว์เดินลงมา ยิ้มพลางโบกมือทักทายสยงเอ้อร์
แผ่นแป้งย่างที่อยู่ในมือของสยงเอ้อร์ร่วงลงทันที มองพวกนางด้วยความตกตะลึง “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จะไปที่ไหนหรือ”
“อ้อ พวกเราก็จะไปเซียงหนาน” ฉินหลิวซียิ้มพลางชี้ไปที่รถม้า “ในที่สุดก็หาเช่ารถม้าได้แล้ว ไม่ต้องขอติดรถแล้ว”
ไปเซียงหนานเช่นกันหรือ
สยงเอ้อร์หันไปมองจิ่งเสี่ยวซื่อโดยไม่รู้ตัว เป็นไปตามคาด จิ่งเสี่ยวซื่อสีหน้ามืดครึ้มราวกับหมึก สายตาก็มืดลงเล็กน้อย
“เช่นนั้น ช่างบังเอิญเสียจริง” สยงเอ้อร์ยิ้มอย่างลำบากใจ
จิ่งเสี่ยวซื่อตบตะเกียบลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดแขนเสื้อออกไป “ไม่กินแล้ว ออกเดินทาง”
สยงเอ้อร์ยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก เพียงเอ่ยกับฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ว่า “เช่นนั้น แม่นางทั้งสอง ไว้พวกเราค่อยพบกันใหม่”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “พี่สยงเดินทางปลอดภัย”
ซือเหลิ่งเย่ว์มองดูขบวนเดินทางของสยงเอ้อร์จากไป แล้วหันไปมองซาลาเปาบนโต๊ะข้างๆ ที่ยังกินไม่หมด ถอนหายใจพลางเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งพวกเราก็ถูกคนมองเป็นกาลกิณีด้วยเช่นกัน”
นางลูบใบหน้า ความงามของนางหายไปแล้วหรือ
ฉินหลิวซีหัวเราะเสียงพลางเอ่ย “ไม่ต้องห่วง ยังจะได้พบกันอีก”
ทางไปเซียงหนานมีเพียงแค่เส้นทางเดียว นอกเสียจากว่าพวกเขาจะเร่งรีบเดินทางไม่หยุดหย่อน มิเช่นนั้นจะได้เจอกันอย่างแน่นอน
ซือเหลิ่งเย่ว์ไม่สงสัยคำพูดของฉินหลิวซีแม้แต่น้อย เพียงแค่รีบเดินทางมาที่จุดพักม้าก่อนฟ้ามืด ทั้งสองฝ่ายก็ได้พบกันอีกครั้ง
จิ่งเสี่ยวซื่อจ้องมองไปยังฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ สายตาแฝงไว้ด้วยคำว่า ‘ไม่ไปผุดไปเกิดเสียที’
สยงเอ้อร์กระแอมไอ อธิบายแทนฉินหลิวซีกับซือเหลิ่งเย่ว์ว่า “ทางไปเซียงหนานมีเพียงเส้นทางเดียว พักที่จุดพักม้าย่อมปลอดภัยกว่า…”
เสียงของเขาค่อยๆ ลดลงภายใต้สายตาอยากจะฆ่าคนของจิ่งเสี่ยวซื่อ
วันต่อมา
เมื่อเข้าใกล้หมู่บ้านในเซียงหนาน ในที่สุดจิ่งเสี่ยวซื่อก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ให้คนหยุดรถ จากนั้นก็ขวางรถของฉินหลิวซีที่ตามมาข้างหลังให้หยุดลง ท่าทีเต็มไปด้วยไอสังหาร
“บอกมา ใครส่งพวกเจ้ามา มีจุดประสงค์อะไรกันแน่” สีหน้าของจิ่งเสี่ยวซื่อซีดลงกว่าที่เห็นเมื่อสองวันก่อน ตาดำมีสีเขียวหม่น ในดวงตามีเส้นเลือดแดงก่ำที่ดูเหมือนกำลังสั่นไหวอยู่
สยงเอ้อร์ลงจากรถ เอ่ย “เสี่ยวซื่อ อย่าระแวงมากเกินไป”
“เจ้าหุบปาก!” จิ่งเสี่ยวซื่อจ้องเขา
สยงเอ้อร์ก็จ้องเขาเช่นกัน “ทุกคนสามารถใช้เส้นทางนี้ได้ หรือว่าตระกูลเจ้าสร้างขึ้นมางั้นหรือ”
เขาพูดไม่ออกกับท่าทางไร้เหตุผลของน้องชายผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเป็นอย่างมาก แม่นางทั้งสองยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขากลับมีท่าทีว่าพวกนางจะทำร้ายเขา เป็นใครใครก็โกรธ
แต่ก็รู้ว่าน้องชายลูกพี่ลูกน้องผู้นี้มีอาการขี้ระแวง จึงเอ่ยขอโทษฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ “แม่นางฉิน ขอโทษจริงๆ น้องชายข้าผู้นี้อารมณ์ไม่ดี พวกเจ้าไปกันก่อนดีหรือไม่”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย เอ่ย “ก็ดีเช่นกัน จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิด”
นางเหลือบมองจิ่งเสี่ยวซื่อพลางยิ้มใบหน้านิ่ง สายตาแฝงไว้ด้วยความสนใจ เอ่ยว่า “คุณชาย แม้ว่าพวกเราจะเดินทางนำหน้า แต่เราก็ยังจะได้พบกันอีก ท่านเชื่อหรือไม่”
จิ่งเสี่ยวซื่อสีหน้ามืดครึ้ม
เอ่ยอะไรไร้สาระ
เขากลอกตา เอ่ยกับผู้คุ้มกันว่า “ไม่เดินทางแล้ว ตั้งค่ายอยู่ตรงนี้ พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ”
บรรดาผู้คุ้มกันต่างพากันปวดหัว อยู่ห่างอีกไม่ไกลแล้ว ยังจะตั้งค่ายที่นี่เพียงเพื่อหลบแม่นางทั้งสองคน
ฉินหลิวซีหัวเราะในลำคอ ทิ้งท้ายไว้ว่า “โชคชะตา วิเศษเกินจะบรรยายได้”
จิ่งเสี่ยวซื่อมองดูรถม้าคันนั้นจากไป ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็นึกถึงที่สตรีผู้นั้นเอ่ยว่า ‘วิเศษเกินจะบรรยาย’ แล้วถ่มน้ำลาย
เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก
…
ณ หมู่บ้านเซียงหนาน ที่นี่มีทั้งเผ่าพ่อแม่มดที่อาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน และมีชนเผ่าเหมียวกู่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ครึ่งหนึ่งของร้านค้าในเมืองเซียงหนานเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของแม่มดและยาพิษ
เมื่อเข้ามาในบริเวณนี้ก็จะได้เห็นการขนส่งศพที่เล่าลือต่อกันมา หากคนที่เดินผ่านมีหน้าตาน่าเกลียดไม่สดใส บางทีอาจเป็นคนที่เป็นผู้ขนส่งศพ เพราะวิชาลับนี้จะรับแต่คนน่าเกลียดเป็นศิษย์เท่านั้น มิเช่นนั้นจะไม่สามารถยับยั้งศพได้
“…วิชาลับขนส่งศพเช่นนี้ มีเพียงคนเซียงหนานอย่างพวกเราเท่านั้นที่ทำได้” คนนำทางพาฉินหลิวซีกับซือเหลิ่งเย่ว์ไปยังกลุ่มชนเผ่าอู พูดคุยอยู่ตลอดทาง หันกลับมามองอยู่เรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าสีหน้าทั้งสองคนไม่เปลี่ยนไป ก็อดถามไม่ได้ “พวกเจ้าไม่กลัวหรือ”
“กลัวอะไร”
“ขนส่งศพไง คนทั่วไปได้ยินเช่นนี้ก็จะตกใจกลัวจนหน้าซีด แต่พวกเจ้ากล้าไม่กังวลเลย” ผู้นำทางเอ่ย
ฉินหลิวซีฉีกยิ้ม หยิบห่อในมือขึ้นมา เอ่ย “ศพมีอะไรน่ากลัว ข้าเล่นมาตั้งแต่อายุห้าขวบแล้ว สิ่งที่ข้าถืออยู่ก็เป็นศพแห้งที่มีอายุร้อยปีเชียวนะ เจ้าอยากดูหรือไม่”
ผู้นำทางสงสัยเกี่ยวกับห่อสีดำที่นางถืออยู่มาตลอด เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ตัวแข็งทื่อ หันไปมองโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็มองฉินหลิวซี ฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก “ไม่ ไม่เป็นไร”
บ้าไปแล้วหรือ ให้เขาดูศพแห้ง?
ผู้นำทางไม่ได้คุยโม้อีก พาทั้งสองคนเดินไปตามถนนบนภูเขาไปจนถึงอาณาเขตของหมู่บ้านตระกูลอู พวกเขาถูกสอบถามจากคนของเผ่าตระกูลอู อธิบายจุดประสงค์ของการมา ชาวเผ่าผู้นั้นมองสำรวจฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ ก่อนจะรับหน้าที่เป็นผู้นำทางพาพวกนางไปหาหัวหน้าเผ่า
ซือเหลิ่งเย่ว์จ่ายค่าตอบแทนให้ผู้นำทางแล้วเอ่ยขอบคุณ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าหมู่บ้านนี้ถูกสร้างขึ้นบนภูเขา มีบ้านไม้ปลูกเรียงกันเป็นระเบียบเช่นเดียวกันกับตระกูลซือของพวกเขา
นางได้ยินมาว่าเผ่าพ่อมดตระกูลอูไม่ได้สร้างลัทธิเหมือนตระกูลซือในอดีต แต่พวกเขาฝึกฝนวิชาพ่อมดและช่วยเหลือใต้หล้า อย่างไรเสียพ่อมดก็มีหมอที่สามารถรักษาโรคช่วยคนได้ และยังมีผู้ที่ฝึกฝนลัทธิมารใช้วิชาพ่อมดทำร้ายคน พวกเขาก็จะช่วยปราบความวุ่นวายคืนสู่ความยุติธรรม
ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีลัทธิพ่อมดแม่มด แต่ชื่อเสียงของตระกูลอูรุ่งเรืองในเซียงหนาน ราษฎรจำนวนมากมองว่าเป็นความเชื่อ ซ้ำตระกูลอูยังได้รับความเคารพเป็นอย่างมากจากภายนอก
ผู้ที่ช่วยใต้หล้าและรักษาสรรพสัตว์ย่อมนับเป็นการบำเพ็ญกุศล
ซือเหลิ่งเย่ว์พอรู้อยู่บ้าง
ยิ่งเดินขึ้นไปข้างบนก็ยิ่งได้พบผู้คนมากขึ้น ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของเซียงหนาน สวมเครื่องประดับเงิน มองดูฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ด้วยความสงสัย
บุรุษนามว่าอาฉีที่พาฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ไปที่เรือนของหัวหน้าเผ่าทักทายผู้คนพลางอธิบายจุดประสงค์การมาของสตรีทั้งสอง จากนั้นก็เอ่ยกับฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ว่า “แม้ว่าพวกเราตระกูลอูจะไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่คนส่วนใหญ่ต่างก็ไม่เต็มใจลงจากภูเขา เมื่อเห็นคนแปลกหน้าก็ย่อมมีความสงสัย ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรหรอก”
ฉินหลิวซี “พวกเราเข้าใจ”
เมื่อมาถึงหน้าเรือนไม้โบราณขนาดใหญ่ที่ดูเรียบง่ายที่สุด ไม่ทันรอให้พวกนางเคาะประตู ก็มีคนรีบออกมาจากข้างใน
“หัวหน้าเผ่า” อาฉีรีบคารวะชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีดำปักลายพ่อมด ผมหงอกขาว สวมหมวกผ้า
นี่คืออูหยาง หัวหน้าเผ่าตระกูลอู ที่ฝึกวิชาแพทย์แผนจีนและวิชาพ่อมดที่อาจารย์สืออวิ๋นกล่าวถึง
ฉินหลิวซีวางห่อในมือลง ยกมือคารวะพลางเอ่ย “ฉินหลิวซี ศิษย์อารามชิงผิงจากเมืองหลี คารวะพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่”
ซือเหลิ่งเย่ว์ก็คารวะเช่นกัน “เหลิ่งเย่ว์จากตระกูลซือ คารวะพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่”
“การทำนายนั้นไม่ผิด มีแขกมาเยี่ยม” อูหยางเดินลงมา มองไปยังห่อที่อยู่ข้างเท้าฉินหลิวซี “และพวกเจ้าที่ได้นำสิ่งที่ชั่วร้ายและน่ากลัวที่สุดมาด้วย”