คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 385 ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีบาดแผล
ตอนที่ 385 ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีบาดแผล
เถิงเจาผลักอาจารย์ที่ท่าทางไม่จริงจังของเขาผู้นั้นออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จัดสิ่งของบนโต๊ะให้เป็นระเบียบอย่างเงียบๆ
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “ตอนนี้นับว่าเจ้าคลำเจอวิธีวาดยันต์แล้ว ยังต้องฝึกฝนอีกมาก และยิ่งต้องฝึกบำเพ็ญให้มาก ดูจากที่เจ้าวาดยันต์อ่อนปวกเปียกเช่นนี้ หากภายภาคหน้าได้เจอผู้ต่อสู้ เมื่อเริ่มต่อสู้ด้วยยันต์ หากเจ้าวาดไม่ทันก็จะแพ้พ่ายไป”
“ต่อสู้ด้วยยันต์?”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่การต่อสู้ในโลกมนุษย์ใช่หรือไม่ เจาเจา ในโลกนี้มีทั้งธรรมะและอธรรม พวกเราฝึกบำเพ็ญด้านคุณธรรม แต่ก็มีคนที่ฝึกบำเพ็ญลัทธิมารเพื่อประโยชน์ส่วนตน ธรรมะและอธรรมไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ และเป็นปฏิปักษ์กันตลอดกาล ในภายภาคหน้าหากเจ้าเรียนเสร็จสิ้นแล้วเดินทางท่องโลก ก็จะได้พบลัทธิมารเหล่านั้น กระทั่งคนที่อ้างตนว่าอยู่ฝ่ายธรรมะ แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกัน ย่อมเกิดการต่อสู้กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ลัทธิเต๋าในใต้หล้านี้เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ต่างก็มีวิถีของตัวเอง ต่างมีการยืนหยัดของตัวเอง จึงได้เกิดข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเต๋า เป็นเต๋าเช่นกันแต่แตกต่าง ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ เมื่อเผชิญหน้ากันด้วยความคิดที่ดื้อรั้นก็จะเกิดข้อพิพาทกระทั่งต่อสู้กัน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็บำเพ็ญเต๋า” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “เจ้าดูท่านอาจารย์ปู่ของเจ้าก็จะรู้เอง”
เถิงเจาไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์ปู่หรือขอรับ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านอาจารย์ปู่เจ้าก็มีคนที่ต้องการต่อสู้ด้วย ซ้ำยังเป็นคนลัทธิเดียวกัน น่าเสียดายที่ตาเฒ่าผู้นั้นสุขภาพไม่ดี แต่ก็ยังอยากแก้แค้น เกรงว่าจะเป็นเพียงแค่ความฝัน”
เถิงเจากลับไม่เคยได้ยินมาก่อน ต่อสู้กันเองในลัทธิเดียวกัน?
ฉินหลิวซียังอยากจะเอ่ยอีกสักสองประโยค แต่มีเสียงกระแอมดังๆ มาจากข้างนอก
“อย่านินทาคนลับหลัง อาจารย์ยังไม่ตาย”
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน เมื่อเดินออกไปก็เห็นนักพรตเฒ่าชื่อหยวนท่าทางไม่พอใจ จึงหัวเราะเบาๆ “ตายจริง แอบฟังหรือนี่”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนจ้องนางอย่างอารมณ์ไม่ดี บุ้ยปากไปทางห่อผ้านั้นที่อยู่บนพื้น “เหตุใดจึงได้นำสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้เข้ามาในอาราม”
แม้ว่าฉินหลิวซีจะใช้ยันต์ปราบวิญญาณชั่วร้าย แต่เขาก็ยังคงรับรู้ถึงกลิ่นอายของความชั่วร้าย
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “มันคือสิ่งนำพาเลือดของคำสาปเลือดของเผ่าซือเหลิ่งเย่ว์ ข้าเตรียมจะส่งมันไปที่วัดอู๋เซียง อยากจะให้ท่านอาจารย์ฮุ่ยเหนิงช่วยสวดส่งวิญญาณ แล้วค่อยทำลายคำสาป”
“อ้อ? หาวิธีได้แล้วหรือ” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถามด้วยความสนใจ
ฉินหลิวซีหุบยิ้มพลางตอบ “เป็นวิธีที่โหดร้ายที่สุด”
“อย่างไร” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเดินเข้าไป
ฉินหลิวซีก็ไม่ได้ปิดบัง เมื่อบอกถึงวิธีทำลายคำสาป นักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็เลิกคิ้วขึ้น
“หากเป็นเช่นนี้ก็ต้องวางค่ายกล” ไฟนรกเชียวนะ อย่าปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด มิเช่นนั้น…
ฉินหลิวซีไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของชายเฒ่า เอาแต่อธิบายแผนให้ฟังอย่างเรียบง่าย “สิ่งที่กลัวที่สุดคือนางจะทนไม่ไหวจนชีพจรเสียหายแล้วจิตวิญญาณแตกสลายไป”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เดิมทีนี่คือชะตากรรมของนาง วิธีทำลายคำสาปนี้ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่ขัดเจตจำนงค์ของสวรรค์ ไม่ว่าเหตุและผลจะเป็นอย่างไร นางต้องแบกรับด้วยตัวเอง ส่วนเจ้าคือผู้ที่ทำลายคำสาป ก็ต้องแบกรับด้วยเช่นกัน เข้าใจหรือไม่”
นี่เป็นการบอกฉินหลิวซีว่าการต่อสู้กับสวรรค์ก็ต้องเตรียมใจที่จะแบกรับห้าโทษสามวิบัติให้ดี
ฉินหลิวซี “วางใจเถิด”
“ท่านอาจารย์?” เสียงสะลึมสะลือดังขึ้นที่หน้าประตู
ฉินหลิวซีหันไปมอง เห็นวั่งชวนตัวน้อยสวมเสื้อคลุมหนาอย่างลวกๆ กำลังขยี้ตายืนมองนางอยู่ที่หน้าประตู
ลมหนาวพัดมา วั่งชวนตัวสั่น นางตาสว่างในทันที เมื่อเห็นว่าเป็นฉินหลิวซีจริงๆ จึงรีบวิ่งไปหา “ท่านอาจารย์กลับมาแล้วจริงๆ ด้วย ข้าไม่ได้ฝันไป”
วั่งชวนมุดเข้าไปในอ้อมแขนของฉินหลิวซี ดวงตาเต็มไปด้วยความโหยหาและน้อยใจ
“ข้าฝันถึงท่านอาจารย์ทุกวันเลย ฮือๆ” หลังจากเอ่ยจบก็หลั่งน้ำตาด้วยความน้อยใจ
ฉินหลิวซีรีบปลอบนาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะปลอบให้เด็กน้อยยิ้มได้ จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เถิงเจามองด้วยสายตาอิจฉาเล็กน้อย
ฉินหลิวซีสุ่มตรวจการบ้านของลูกศิษย์น้อยตามปกติ แววตาของวั่งชวนเปลี่ยนไปทันที รู้สึกผิดเล็กน้อย มองไปยังนักพรตเฒ่าชื่อหยวน
ท่านอาจารย์ปู่ ช่วยข้าด้วย!
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ย “นางพึ่งจะอายุห้าขวบ รู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว อย่าเข้มงวดเกินไป…”
ฉินหลิวซีสีหน้าทะมึน “ตอนนั้นข้าก็ติดตามท่านตอนอายุห้าขวบ ท่านไม่เห็นจะกล่าวเช่นนี้”
รักศิษย์หลานมากกว่านางหรือ
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนรีบลุกขึ้น เอ่ย “อาจารย์ต้องไปจุดธูปบูชาเจ้าลัทธิเต๋าแล้ว พวกเจ้าก็รีบไปเข้าเรียนคาบเช้าได้แล้ว”
ลูกศิษย์อาละวาดเช่นนี้ ไหนเลยเขาจะรับไหว ศิษย์หลาน ขอโทษด้วยที่อาจารย์ปู่ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนฝีเท้าไหลลื่นราวกับทาน้ำมัน
เมื่อวั่งชวนเห็นว่าท่านอาจารย์ปู่หนีไปแล้ว จึงมองไปยังศิษย์พี่ใหญ่เถิงเจาสายตาละห้อย เถิงเจาสีหน้าเรียบเฉย “ท่องเพลงยาต้ม ยาต้มหมาหวง”
วั่งชวนยืดตัวตรง รีบเอ่ย “ยาต้มหมาหวงใช้กุ้ยกี ซิ่งเหริน ใบชะเอมจีน หากมีไข้ตัวร้อนหนาวสั่นปวดศีรษะ กินสิ่งนี้ขับเหงื่อไล่ความเย็น”
“ยาต้มต้าชิงหลง”
“ยาต้มต้าชิงหลง มีกุ้ยกี หมาหวง หญ้าซิ่ง แร่สือเกา ขิง และพุทรา เมื่อเจอแดดจะไม่มีเหงื่อและหงุดหงิด และเป็นผลดีเมื่อเจอลมหนาว”
“ยาต้มเสี่ยวชิงหลง”
“ยาต้มเสี่ยวชิงหลง รักษาน้ำและชี่ บรรเทาอาการไอหอบ อาเจียนและกระหายน้ำ ขิง…”
วั่งชวนหยุดไปครู่หนึ่ง “ขิง ขิง…”
นางหน้าแดง รู้สึกกังวลเล็กน้อย
เถิงเจาเอ่ยต่อให้ “ขิง กุ้ยกี หมาหวง เสาเย้ากัน ซี่ซิน ปั้นซย่า ทั้งหมดห้ารส หากยังจำไม่ได้ วันนี้ต้องคัดตัวอักษรอีกห้าสิบตัว”
วั่งชวนคร่ำครวญ น่าสงสารยิ่งกว่าเดิม แต่ภายใต้สายตาข่มขู่ของศิษย์พี่ใหญ่นางจึงไม่กล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว
เถิงเจาไม่สนใจนาง ยังคงนำการบ้านของวั่งชวนจากบนชั้นไปให้ฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเปิดดู เห็นว่าสมุดคัดลายมือเขียนตัวอักษรบูดเบี้ยว เล็กบ้างใหญ่บ้าง ล้วนเป็นตัวอักษรแรกเริ่มฝึกหัดสำหรับเด็ก ส่วนสมุดคัดยันต์ก็ยิ่งทนดูไม่ไหว
อย่าว่าแต่เป็นยันต์เลย แม้แต่ลายเส้นก็คดโค้งไม่หนักแน่น ราวกับสมุดวาดรูปเล่นมั่วๆ
เมื่อเปิดไปหลังๆ ก็ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังมองไม่ออกว่าเป็นยันต์อยู่ดี
ฉินหลิวซีปิดสมุดแล้วหลับตาลง
ไม่มีการเปรียบเทียบก็จะไม่มีบาดแผล
ลูกศิษย์ทั้งสองคนแตกต่างกันมากเกินไป สิ่งเดียวที่ยังพอชื่นชมได้ก็คือนางยังพอท่องเพลงยาต้มได้บ้างสองสามเพลง
ฉินหลิวซีมองไปยังเถิงเจา เถิงเจาตัวแข็งทื่อ รีบเอ่ยอธิบาย “ข้ากำชับให้นางฝึกเขียนตัวอักษรวาดยันต์ทุกวัน ไม่กล้าขี้เกียจแม้แต่น้อย”
ดังนั้นจะลงโทษให้ขัดถังชำระอะไรทำนองนั้นไม่ได้เด็ดขาด
ฉินหลิวซีมองความคิดของเขาออก เอ่ยว่า “แต่พัฒนาการของนาง…”
“ข้าจะสอนนางต่อไป จะไม่ให้นางขี้เกียจ” เถิงเจามองไปยังวั่งชวน กำหมัดแน่น หากกล้าแอบขี้เกียจ ข้าจะอัดเจ้าให้ดู!
วั่งชวนทำหน้าบูดบึ้ง
ฉินหลิวซีมองไปยังพวกเขาทั้งสอง แสร้งทำสีหน้าลำบากใจ เอ่ย “ในเมื่อเจ้ามีจิตสำนึกของการเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เช่นนั้นอาจารย์ก็จะสนับสนุนเจ้า”
เถิงเจาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“วั่งชวน อย่าได้ผิดต่อการดูแลของศิษย์พี่ของเจ้า” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “การเรียนรู้ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก เมื่อได้เรียนรู้แล้วก็จะสามารถเดินทางไปทั่วใต้หล้า ใครก็ทำอะไรไม่ได้”
“ศิษย์เคารพในคำสั่งสอนของอาจารย์”
จากนั้นฉินหลิวซีก็ลุกขึ้น “ไปเถิด พวกเราไปจุดธูปบูชาเจ้าลัทธิเต๋า หลังจากเรียนคาบเช้าแล้วก็ไปวัดอู๋เซียงสักหน่อย แล้วค่อยลงเขากลับเข้าเมือง”
วั่งชวนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ในที่สุดก็จะได้กลับเข้าเมืองแล้ว
สายตาของเถิงเจาก็ดูมีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าปีศาจโสมน้อยเติบโตอย่างสวยงามแค่ไหนแล้ว เขามองไปยังกรรไกรเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ จมอยู่ในห้วงความคิด
ที่ลานด้านข้างของจวนตระกูลฉินในเมือง จู่ๆ ปีศาจโสมน้อยที่กำลังมุดอยู่ในดินก็รู้สึกว่าใบไม้บนหัวหนาวยะเยือกขึ้นมา เป็นเพราะหิมะตกหรือ