คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 392 ได้เวลาให้เจ้าของร้านปวดหัวแล้ว
ตอนที่ 392 ได้เวลาให้เจ้าของร้านปวดหัวแล้ว
ทางด้านนี้ เมื่อฉินหลิวซีเห็นผู้ดูแลไหลก็อยากหลบซ่อน
“ท่านหลบไปเลย หากท่านเก่งจริงก็ไม่ต้องออกมา ตาแก่อย่างข้าก็จะนั่งรออยู่ตรงนี้จนฟ้ามืด” ผู้ดูแลไหลเล่นแง่ทันที
ฉินหลิวซีหมดปัญญา นั่งลงอีกครั้งแล้วจึงเอ่ย “ไม่ได้เจอท่านนาน ดูอารมณ์ร้อนขึ้นกว่าเดิม”
ผู้ดูแลไหลเอ่ยตอบ “ช่วยไม่ได้ ท่านหลบหลีกไม่ยอมมา ข้าจึงทำได้เพียงมาขอพบท่าน”
ฉินหลิวซีเกาจมูก
“ช่วงนี้ขายยาหย่างหรงในแต่ละพื้นที่ได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้ตรุษจีน มีลูกค้าผู้สูงศักดิ์มากมายล้วนต้องการซื้อยา ท่านจำเป็นต้องปรุงยาแล้วไม่ใช่หรือ” ผู้ดูแลไหลเอ่ย
“แต่ไหนแต่ไรร้านยาตำหนักอายุวัฒนะไม่เคยต้องการทำเงินในช่วงใกล้ตรุษจีน ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วหรือ” ฉินหลิวซีเหลือบมอง
ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะมีชื่อเสียงโด่งดังและมียาที่ดี ยาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเหล่านั้นยิ่งไม่ต้องกังวลกับการขาย ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับร้านขายของชำอื่นๆ ที่ต้องหาเงินมากมายในช่วงสิ้นปี
เพียงแต่ว่ายาดีๆ เช่นนั้นล้วนเป็นของขวัญที่ดีอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงมีผู้คนมาขอซื้อยามากขึ้นทุกปี
ผู้ดูแลไหลเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนไปแล้ว แต่สินค้าเหลือไม่มากแล้ว คนอื่นมาซื้อ พวกเราก็ยังบ่ายเบี่ยงได้โดยบอกว่าสินค้าหมด แต่ใบสั่งยาที่ท่านเขียนนั้นต้องใช้ยานี้ ไหนเลยจะกล้าบอกว่าไม่มี แม้ว่าในร้านหลักจะหมด ก็ต้องไปเอามาจากร้านสาขาอื่น”
ใช่แล้ว ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะมีชื่อเสียงมาก แต่ร้านหลักนั้นกลับอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองหลี
ฉินหลิวซีพยักหน้าให้เขา เอ่ย “ข้าจะปรุงยาเร็วๆ นี้ ท่านกลับไปก็ส่งวัตถุดิบยามาให้ข้า แต่จะปรุงเสร็จเมื่อใดนั้นข้าไม่กล้ารับประกัน”
นางพูดพลางหยิบพู่กันและหมึกมาเขียนรายการ ยื่นให้แล้วเอ่ยว่า “ท่านช่วยจัดเตรียมวัตถุดิบยาเหล่านี้ให้ข้าด้วย”
เมื่อผู้ดูแลไหลดูแล้วเห็นว่าในรายการยังมีหญ้าเย่ว์หลิงอีกด้วย ก็อดตกใจไม่ได้ เอ่ยว่า “ท่านจะปรุงยาใหม่ด้วยหรือ”
“เลิกคิดไปได้เลย ยานี้ไม่ใช่ยาบำรุงร่างกายทั่วไป มันมีประโยชน์เป็นอย่างมาก แต่จะไม่ใช้มากเกินไป อีกอย่างวัตถุดิบยาที่จำเป็นต้องใช้ก็หาได้ยาก เป็นไปไม่ได้ที่จะปรุงได้ในปริมาณมาก ข้ายังต้องเขียนจดหมายถึงเจ้านายของท่าน ให้เขานำของบางอย่างกลับมาให้ข้าด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ย
ผู้ดูแลไหลประหลาดใจ “เจ้าของร้านจะกลับมาแล้วหรือ”
“รักษาอาการบาดเจ็บหายแล้ว ก็ควรกลับมาได้แล้ว”
ผู้ดูแลไหลดีใจขึ้นมาในทันที ประสานมือทั้งสองข้าง
ช่างดีจริงๆ เจ้าของร้านกลับมาแล้ว จากนี้ไปสามารถปล่อยวางภาระในการเร่งปรุงยาได้แล้ว
เขากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับนายท่านน้อยผู้นี้ ได้เวลาให้เจ้าของร้านปวดหัวแล้ว
ฉินหลิวซีนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้นางรับปากกับทหารผ่านศึกของอวี๋ชิวไฉนามว่าเหล่าฉิวผู้นั้นว่าจะทำแขนเทียมให้ แต่กลับลืมไปเสียได้ ทั้งหมดเป็นเพราะช่วงนี้มีแต่เรื่องเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้ายังต้องไปที่ร้านตีเหล็กสักหน่อย” ฉินหลิวซีให้ผู้ดูแลไหลกลับไปก่อน
ผู้ดูแลไหลจากไปด้วยความพึงพอใจ
จากนั้นฉินหลิวซีก็มอบหมายให้เฉินผีและวั่นเช่อนำจดหมายไปส่งที่จวนของแม่ทัพซ่งเย่ว์ผู้นั้น ให้พวกเขาหาเวลามาฝังเข็ม จากนั้นก็พาเถิงเจาและวั่งชวนไปที่ร้านตีเหล็กในเมืองที่พวกเขาคุ้นเคย
ร้านตีเหล็กหลัวจี้นั้นมีมานานหลายร้อยปีแล้ว ตีเหล็กมาหลายยุคหลายสมัย และสิ่งที่พวกเขาตีออกมานั้นไม่เพียงแต่ทนทาน ซ้ำยังใช้งานได้เป็นอย่างดีมาก เพียงแค่วาดภาพให้พวกเขา ก็สามารถผลิตสิ่งที่ต้องการออกมาได้
ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษยังมีคนที่เป็นศิษย์สาขาของหลู่ปัน[1]อีกด้วย ซึ่งรู้วิชาของหลู่ปันอยู่บ้างเล็กน้อย ดังนั้นจึงสามารถทำสิ่งที่มีกลไกได้บ้าง
เพียงแต่ถึงแม้ว่าจะมีฝีมือ แต่ก็มีสิ่งของต้องห้ามบางอย่าง อย่างเช่นธนูหน้าไม้อะไรทำนองนั้น พวกเขาไม่กล้าทำขึ้นมา แม้แต่ลูกธนู ก็ยังต้องรับในปริมาณที่ได้รับอนุญาตจึงจะกล้าผลิต
แน่นอนว่าไม่กล้าทำอย่างเปิดเผย แต่หากให้เงินมากพอ และเป็นการแนะนำจากคนรู้จัก สิ่งที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่มากเกินไปก็จะแอบทำอย่างลับๆ
ที่ร้านตีเหล็กในเวลานี้มีเสียงดังก๊องแก๊ง ชายคนหนึ่งในวัยสี่สิบเศษสวมเสื้อคลุมบางๆ เหวี่ยงฆ้อนทุบเหล็กในมือ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกรรไกร
“ท่านลุงหลัว”
เมื่อเหล่าหลัวได้ยินเสียงทักทาย เขาเงยหน้าขึ้นเห็นฉินหลิวซีจึงอุทานด้วยความประหลายใจ เอ่ยว่า “ท่านนักพรตน้อย ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
ฉินหลิวซีเดินเข้าไป เอ่ยว่า “มาสั่งของอย่างหนึ่ง ช่วงนี้หิมะตกแล้ว ท่านยังสวมเพียงเสื้อคลุมสั้นๆ อยู่อีกหรือ”
“ในร้านตีเหล็กมีไฟจึงไม่หนาว ท่านสวมบางกว่าข้าเสียอีก”
“ท่านทำงานเถิด ข้าจะวาดรูปก่อน” ฉินหลิวซีเดินเข้าไปในร้านตีเหล็กอย่างคุ้นเคย หาพู่กันกับกระดาษมา เขียนขนาดแขนของเหล่าฉิวตามความทรงจำ แล้วเริ่มวาดภาพ
เถิงเจาและคนอื่นๆ มองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีผลผลิตสำเร็จรูปมากมายแขวนอยู่บนผนัง รวมไปถึงมีด กระบี่ กระทั่งคันธนูและลูกธนู
ขณะนี้เหล่าหลัวได้วางงานในมือลงแล้วเดิมมาดูฉินหลิวซีวาดรูป ทักทายเด็กน้อยทั้งสอง แนะนำผลผลิตสำเร็จรูปเหล่านั้น ซ้ำยังมอบกริชเล็กๆ ให้เถิงเจา แต่วั่งชวนกลับได้ไม้ง่ามผูกกับหนังยาง
เถิงเจาไม่กล้ารับ มองไปยังฉินหลิวซี ตอนนี้นางได้วาดรูปเสร็จแล้ว ยิ้มพลางเอ่ยกับเหล่าหลัวว่า “ท่านลุงหลัว ไม่เป็นไรหรอก เขายังไม่ต้องใช้กริช”
“ล้วนเป็นของเล็กๆ น้อยๆ พกไว้ป้องกันตัวก็ดี พวกเขาคือใครหรือ”
“ลูกศิษย์สองคนที่ข้าเพิ่งรับมา” ฉินหลิวซีเอ่ยกับเถิงเจาและวั่งชวนด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นความตั้งใจของท่านลุงหลัวก็รับไว้เถิด เพียงแต่กริชนั้นมีความคม ต้องระมัดระวัง”
เถิงเจาจึงได้รับมา และเอ่ยขอบคุณเหล่าหลัวอย่างจริงใจ วั่งชวนก็โค้งคารวะเช่นกัน
เมื่อเหล่าหลัวเห็นว่าพวกเขางดงามราวกับหยกถูกแกะสลัก จึงเอ่ยว่า “ท่านอายุแค่นี้ก็รับศิษย์แล้วหรือ พวกเขาล้วนรูปร่างงดงามเช่นนี้ ในภายภาคหน้าจะต้องเป็นผู้มีฝีมือเป็นแน่”
“เริ่มจากการเป็นเด็กเต๋า สามารถเรียนรู้ได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมของพวกเขาแล้ว”
“ท่านอาจารย์มีชื่อเสียงย่อมให้กำเนิดลูกศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีทางด้อยวิชา” ท่านลุงหลัวมองไปยังกระดาษของนาง เอ่ยว่า “ท่านจะทำอะไรหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “มันคือแขนเทียม อยากจะให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เกรงว่าจะต้องมีกลไกบางอย่าง แล้วก็เพิ่มกลไกซ่อนอาวุธลับไว้ข้างใน”
เหล่าหลัวเริ่มรู้สึกสนใจ รับรูปวาดมา “ข้าขอดูหน่อย”
สองคนเดินไปด้านข้าง หลักๆ แล้วฉินหลิวซีอธิบายว่าต้องทำแขนเทียมอย่างไร ใส่กลไกอย่างไร ให้เวลาใช้ไม่รู้สึกหนักและเคลื่อนไหวได้เป็นอิสระ
ภาพวาดของฉินหลิวซีมีรายละเอียดมาก เหล่าหลัวเองก็มีความคิดด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนช่วยกันแก้จนได้ข้อสรุปการสร้างแขนเทียมนี้แล้ว
“กลับไปข้าจะให้เฉินผีส่งเหล็กชั้นดีมาให้ในภายหลัง หลังจากสร้างเสร็จแล้วข้าจะตกแต่งให้เหมือนผิวหนังมนุษย์ด้วยตัวเอง ส่วนที่เหลือก็ต้องพึ่งท่านแล้ว”
เหล่าหลัวรีบเอ่ย “ที่นี่ข้าก็มีเหล็กชั้นดี ไหนเลยจะต้องให้ท่านส่งมาให้ เกรงใจกับข้าเช่นนี้จะไม่เป็นการห่างเหินกับข้าหรือ หากไม่มีท่าน ข้าก็คงเสียมือไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังตีเหล็กได้อีก”
“รับมาก็ตอบแทนกลับ ข้ารักษามือให้เจ้า และเจ้าก็ได้จ่ายค่ารักษาแล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณมากที่สุด เช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้าใช้เหล็กชั้นดี ส่วนข้าจะให้เงินตามราคาค่าเหล็กกับค่าแรงรวมกัน”
เหล่าหลัวเอ่ยอย่างเกรงใจสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงยืนกรานจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงคิดว่าเมื่อถึงเวลาก็รับมาสักเล็กน้อยก็พอแล้ว
ฉินหลิวซีได้สรุปรายละเอียดเพิ่มเติมบางอย่างกับเขาอีกครั้ง ถือโอกาสจับชีพจรพื้นฐานให้เขา และได้ให้ใบสั่งยาสำหรับดูแลร่างกายในฤดูหนาวในราคาย่อมเยา จากนั้นก็เอ่ยลาแล้วจากไป
หลังจากออกมาจากร้านตีเหล็ก ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาศิษย์ทั้งสองคนไปที่ร้านผลไม้แช่อิ่มที่ตระกูลฉินพึ่งเปิดใหม่
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เปิดร้านจนมาถึงทุกวันนี้ นางยังไม่เคยไปดูเลยสักครั้ง อย่างไรเสียฟ้าก็ยังไม่มืด จึงตัดสินใจไปดูสักหน่อย
เพียงแต่ก่อนมาถึงร้านผลไม้แช่อิ่ม กลับเห็นพวกอันธพาลสกปรกหลายคนขวางอยู่หน้าประตู ยิ้มพลางพูดจาหยาบคาย ในมือยังถือผลไม้แช่อิ่มกัดกิน
ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้ม
[1] หลู่ปัน เป็นช่างฝีมือในงานก่อสร้างที่มีฝีมือประณีตอย่างยิ่ง