คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 412 ข้าช่วยเขาไม่ได้แล้ว
ตอนที่ 412 ข้าช่วยเขาไม่ได้แล้ว
ฉินหลิวซีบอกว่านางเป็นนักพรตหญิง!
ตอนที่นางกำลังฝังเข็มให้ตงหยางโหว ตงหยางโหวก็แอบมองฉินหลิวซีหลายครั้ง ในใจก็มีเสียงเค้นถามกลับไปกลับมาอยู่ตลอดว่านางจะเป็นสตรีไปได้อย่างไร
ในที่สุดฉินหลิวซีก็ทนไม่ไหว จึงได้มองไปแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้น “ถึงท่านจะมองมากว่าร้อยรอบแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าข้าเป็นสตรีได้หรอก ฉะนั้นเลิกเดาได้แล้ว”
ตงหยางโหวลูบที่จมูก เอ่ยขึ้นอย่างสงบ “ข้ายังไม่พูดอะไรทั้งนั้น”
“ก็ใช่ แต่สายตาของท่านมันบอก ในใจก็บอก” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นเสียงเบา
ตงหยางโหวเขินอายเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเหลือบมองเวลาเพื่อถอนเข็มออก และคลึงเพื่อปิดรูเข็ม เอ่ยขึ้น “ในเมื่อยาก็กินไปแล้ว ก็กินมันให้หมดเสียก่อน ข้ายังไม่ได้ปรุงไหเส่าตาน รอให้ท่านกินยานี้หมดก่อน ค่อยกินมันตามลงไปคงจะไม่สายเกินไป”
ตงหยางโหวเอ่ยขึ้น “ยาแผ่นแปะสี่แผ่นสามารถไล่อาการชาได้จริงหรือ”
“แน่นอน ท่านกินยามาแล้วสองวัน รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ เจ้าเป็นสตรีที่มีทักษะทางด้านการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมาก” ตงหยางโหวเอ่ยชื่นชม
ฉินหลิวซีคลำที่ชีพจรของเขา เอ่ยขึ้น “ร่างกายของท่านนี้ไม่ใช่แค่แข้งขาเท่านั้นที่มีอาการชาไม่หาย ยังมีแผลเก่าอาการของโรคไขข้อเรื้อรัง กินยาที่ใช้รักษาขานี้ไปแล้ว ค่อยกินไหเส่าตาน หลังจากนั้นก็ต้องกินยาผิงอันฟังเสริมรากฐานและสร้างพลังแก่นแท้ของร่างกาย หากพลังแก่นแท้เฟื่องฟู อายุยืนยาวแน่นอน ข้าเห็นท่านไม่ได้จากไปไหนเลย มาเข้าบำเพ็ญในห้องเต๋าทุกวันสิ วันละหนึ่งสองชั่วยามซึ่งมันดีมากเลยสำหรับท่าน”
“บำเพ็ญในห้องเต๋า”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ในร้านค้ายังมีห้องหย่าสำหรับบำเพ็ญเต๋าหนึ่งห้อง ข้าได้กางค่ายวิญญาณขึ้นมาแล้ว สามารถใช้ฝึกฝนจิตใจบำรุงร่างกาย ท่านสามารถไปทำความเข้าใจได้ วั่นเช่อ พาท่านแม่ทัพอาวุโสไป”
วั่นเช่อเดินไปด้านหน้า “ท่านแม่ทัพอาวุโส เชิญท่านทางนี้”
บ่าวรับใช้เฒ่ารีบประคองตงหยางโหว และเดินตามผู้เป็นนายเข้าไปในห้องหย่า
ห้องหย่าถูกจัดตกแต่งอย่างเรียบง่าย นอกจากอักขระยันต์เต็มฝาผนังแล้ว ก็ยังมีรูปภาพและคำอธิบายพระสูตรหัวใจ วิธีการนั่งสมาธิบำเพ็ญตน สอนการนั่งสมาธิเข้าฌาน การท่องพระสูตรหัวใจในใจให้กับผู้คนว่าต้องทำอย่างไร
ไม้กฤษณาที่แกะสลักเป็นพิเศษที่ยังคงเผาไหม้อยู่ในห้องเต๋า กลิ่นหอมช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย บนโต๊ะเล็กๆ มีกาน้ำชาที่ยังมีชาเขียวอุ่นๆ และเหลืออยู่ในแก้วอีกสองใบวางอยู่
เมื่อเข้าไปในห้องหย่าแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกจิตใจผ่อนคลาย ตงหยางโหวอยู่ในตำแหน่งมาเป็นเวลานาน พบเจอสิ่งดีๆ มาก็ไม่น้อย ความรู้สึกสบายไปทั้งตัวเช่นนี้ทำให้ตาของเขาเป็นประกายขึ้น หลังจากที่ดูได้สักพัก นั่งเขาก็ขัดสมาธินั่งสมาธิลงบนเบาะนั่งทรงกลมภายในห้อง
บ่าวรับใช้อาวุโสที่กำลังจะถอยออกไป ทว่าตงหยางโหวเรียกเขาเอาไว้ก่อน “ห้องหย่าไม่เลวเลย เหล่าฉาวเจ้าก็นั่งลงอยู่กับข้าที่นี่”
บ่าวรับใช้เฒ่าชะงักไปชั่วขณะ เขายิ้มเป็นการตกลง ขณะที่กำลังนั่งลงจึงได้ถามวั่นเช่อขึ้น “ห้องหย่านี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาด้วยใช่หรือไม่”
“พวกท่านเรียกว่าห้องหย่า แต่ที่จริงแล้วเป็นห้องวิญญาณ เพราะว่าห้องหย่านี้นายท่านเป็นคนกางเขตวิญญาณขึ้นมาเอง เช่นเดียวกับเขตฮวงจุ้ย ดังนั้นพลังวิญญาณจะไม่เหมือนกับด้านนอก พวกท่านน่าจะรู้สึกได้ สิ่งของที่อยู่ในเขตนี้ล้วนแต่เป็นหยกชั้นดี ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นระยะ ฉะนั้นหากต้องการที่จะบำเพ็ญตนในห้องนี้ จะต้องจ่ายพิเศษนอกเหนือจากเงินค่ารักษา”
“กี่ตำลึงเงิน”
“นายท่านตั้งราคาไว้ที่หนึ่งชั่วยามยี่สิบตำลึง”
บ่าวรับใช้เฒ่าตกใจ รีบลุกขึ้นยืนทันที และเอ่ยขึ้นกับตงหยางโหว “บ่าวออกไปรอด้านนอกก็ได้ขอรับ”
“นั่งลง” ตงหยางโหวจ้องเขา “ยี่สิบตำลึงก็ยี่สิบตำลึง เพียงแค่ดีกับร่างกาย หนึ่งร้อยตำลึงก็จ่าย เพียงแค่ยี่สิบตำลึงจะสักกี่ตำลึงเงินกัน เจ้าก็อายุไม่ใช่น้อยๆ ไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว”
วั่นเช่อยิ้มตาหยีพร้อมกับเอ่ย “ท่านแม่ทัพอาวุโสช่างมีวิจารณญาณด้านการค้า ท่านนั่งตรงนี้ ตรงนี้จะทำให้ท่านบำเพ็ญตนได้อย่างดีที่สุด ร่างกายแข็งแรงขึ้นแน่นอน แน่นอนว่าถึงข้าจะพูดเยอะไปก็ไม่เหมือนกับที่ท่านได้รับรู้เอง ทั้งสองท่านเชิญตามสบายขอรับ”
พอเขาพูดจบ ก็ปิดประตูแล้วเดินออกไป
บ่าวรับใช้ที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของวั่นเช่อไกลออกไป เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจจนพูดไม่ออก “ท่านโหว เจ้าอาวาสน้อยผู้นี้ช่างหาเงินเป็นจริงๆ นะขอรับ”
ยี่สิบตำลึง เงินเขาทั้งเดือนก็ยังไม่ได้เลย ได้นั่งสักพักก็ต้องลุกแล้ว
ตงหยางโหวหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้น “ยี่สิบตำลึงก็ถูกมากแล้ว เจ้าดูสิ ในเมืองเซิ่งจิงอารามเต๋าและวัดทางนั้น อย่าว่าแต่เจ้าอาวาสพบได้ยากเถิด การขอยันต์เครื่องรางแค่ชิ้นเดียว หรือว่าการกราบไหว้เทพเจ้าอะไรเหล่านี้ ถึงเป็นพันเป็นหมื่นตำลึงก็มี”
“ก็จริงของท่าน”
“เจ้าดูอักษรนั่นสิ นั่งสมาธิอ่านพระสูตรหัวใจ เจ้าเด็กนั่นพูดเหมือนว่าลี้ลับซับซ้อนมาก พวกเรามาดูสิว่าความลี้ลับข้างในนี้จะอยู่ที่ใดกัน” ตงหยางโหวหลับตาลงด้วยความกระตือรือร้นอยากที่จะลอง
บ่าวรับใช้เฒ่าคิดในใจนั่งก็นั่ง ไม่สามารถเสียยี่สิบตำลึงไปลอยๆ อย่างไร้ประโยชน์ เขารีบมองไปที่ภาพนั้น นั่งสมาธิตาม และทั้งท่องพระสูตรหัวใจที่อยู่บนนั้นไปด้วย
…
รถม้าทั้งสองคันหยุดลงที่ถนนทางเข้าถนนหงไป๋ ฝั่งรถคันข้างหน้า บ่าวรับใช้ที่นั่งอยู่บนเกวียนกระโดดขึ้นมาถึงประตูรถก่อนจะเอ่ยทำความเคารพขึ้น “ฮูหยิน ถึงตรอกร้านนั้นแล้วขอรับ”
ประตูรถเปิดออก สาวรับใช้และหญิงชรารับใช้ลงมา ด้านในรถยังมีสตรีสวมชุดสวยงามหรูหรา ใบหน้ากลับมีความมืดมน ซีดเซียว อีกทั้งผ่ายผอม นางขมวดคิ้ว รวบเสื้อคลุมต้าฉ่างที่อยู่บนร่างเข้าด้วยกัน
“หากเชิญคนไปที่โรงเตี๊ยมไม่ได้ หรือไม่ก็เช่าจวนเล็กๆ ไป”
บ่าวรับใช้ฝืนยิ้มออกมา “ฮูหยิน เขาบอกแล้ว หากต้องการรักษาก็ต้องไปด้วยตนเอง”
ใช่แล้ว บ่าวรับใช้ตรงหน้านี้ ก่อนหน้านี้เคยมาเชิญให้ฉินหลิวซีไปที่เมืองหลิงเซี่ยนที่อยู่เมืองข้างๆ นี้เพื่อไปช่วยคน ซึ่งคนนั้นก็คือบ่าวรับใช้ในเรือนของหม่าจือเซี่ยนคนนี้ ด้านในรถคือหม่าฮูหยิน และรถม้าอีกคันหนึ่ง ก็คือบุตรคนเดียวของหม่าจือเซี่ยน หม่าเซี่ยวเว่ย
ใบหน้าของหม่าฮูหยินมีความประหลาดใจปรากฏอยู่ เมื่อมองเห็นรถม้าอีกคัน นางก็ห่อตัวลงด้วยความหวาดหวั่นในใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด พานายน้อยไปด้วย”
ผู้คนล้วนห่อตัวลง
ภายหลังบ่าวรับใช้บางส่วนก็พยุงคนที่อยู่บนรถม้าลงมา ผู้นั้นดูเหมือนว่าจะมีร่างกายผอมแห้งสุดๆ ห่อไว้ด้วยเสื้อคลุมต้าฉ่างสีดำ ส่วนศีรษะถูกคลุมด้วยหมวก
ถึงเช่นนั้นก็ตาม คนรอบๆ กายเขาล้วนแต่ร่างกายสั่นเทาด้วยความหนาวเย็น
ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาว แต่ว่าพอเข้ามาใกล้นายน้อยแล้ว ความเหน็บหนาวนี้เหมือนกับว่าเข้าไปสู่กระดูก หนาวจนทนไม่ไหว
มีบ่าวรับใช้ที่นำทางอยู่ด้านหน้า คนผู้นั้นถูกพาให้เดินไปสองก้าว จากนั้นก็ล้มลงบนพื้น
หม่าฮูหยินโกรธจัด “แม้แต่นายน้อยก็ประคองไว้ไม่อยู่ จะมีพวกเจ้าไว้ทำไม รีบแบกเขาขึ้นหลังเลยนะ แบกขึ้นไป”
บ่าวรับใช้แข็งแรงอีกคนหนึ่งได้แต่คร่ำครวญในใจ แต่ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ได้แต่แบกคนขึ้นมาที่หลัง ตอนที่แบกขึ้นมาเขาคุกเข่าลงเกือบจะถึงพื้น
หนัก หนักเกินไป เห็นได้ชัดว่านายน้อยผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก และเหตุใดถึงได้หนักขนาดนี้
เมื่อบ่าวรับใช้ได้คิดถึงเหตุผลของที่มาที่แห่งนี้ คำว่าผิดปกติสองคำนี้ก็เข้ามาในหัว ทันใดนั้นภาพความสยดสยองมากมายนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในหัว ร่างกายพลันสั่นเทิ้ม
หรือว่าที่เขากำลังแบกอยู่นั้นไม่ใช่แค่คนเดียว
บ่าวรับใช้มีความคิดอยากตายเกิดขึ้นในหัวใจ
ไม่นานผู้คนกลุ่มนั้นก็มาถึงทางเข้าหน้าร้านเฟยฉางเต๋า
ฉินหลิวซีที่ดูเหมือนว่าจะรู้สึกอะไรบางอย่าง นางเงยหน้าขึ้นมอง และยืนขึ้นเดินมาที่หน้าประตู
“ท่านอาจารย์ ยังจำข้าน้อยได้หรือไม่ขอรับ ที่ท่านบอกว่าให้มาด้วยตัวเอง พวกเราก็มาแล้ว นี่คือฮูหยินเรือนของข้าน้อย” บ่าวรับใช้ยื่นใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มคารวะทำความเคารพฉินหลิวซี
หม่าฮูหยินที่เห็นฉินหลิวซี คิ้วก็พลันขมวดขึ้น อาจารย์อะไรกัน ไม่ใช่แค่เด็กกะโปโลหรือ ท่าทางความน่าเชื่อถืออยู่ไหนกัน “เจ้าหรือเป็นอาจารย์ ยันต์ป้องกันตัวของลูกชายของข้ามาจากมือเจ้าหรือ”
ฉินหลิวซีชำเลืองมองนางครู่หนึ่ง สายตาหยุดลงที่โหงวเฮ้งบริเวณใต้ตาล่างของนาง มืดมนไร้แสงสว่าง เหมือนกับยืนต้อนรับแขกที่มาไว้อาลัย สูญเสียลูกชายในวัยกลางคน
นางมองไปที่ร่างที่อยู่ในเสื้อคลุมต้าฉ่างที่บ่าวรับใช้กำลังแบกอยู่นั้น ดวงตามืดลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างเรียบๆ “พวกเจ้าไปเถิด ข้าช่วยเขาไม่ได้”