คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 100 น่าสงสัย
หมิงเวยนั่งบนกระสอบข้าว นางมองหยางชูที่ทำหน้ามุ่ยพลางลูบเสื้อผ้าตนเอง
“ท่านไม่ต้องดิ้นรนหรอก” นางพูด “สกปรกก็คือสกปรก พอออกไปจากที่นี่ค่อยเปลี่ยนชุด”
ไม่ว่าจะปัดยังไงทั้งตัวก็เต็มไปด้วยเขม่าดำ หยางชูจึงยอมแพ้เงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจ “ภาพลักษณ์ของข้า…”
“ผู้ใดใช้ให้ท่านใส่สีขาวกันเล่าเจ้าคะ” หมิงเวยหัวเราะใส่เขาอย่างไม่สนใจ
หยางชูเหลือบมองนาง “อย่างกับว่าตัวท่านสะอาดมากนักแหละ”
นางอยู่ในช่วงแสดงความกตัญญู ชุดที่นางใส่จึงเป็นเสื้อผ้าธรรมดา นางกลิ้งลงไปในหลุมสภาพก็ไม่ต่างจากเขาเช่นกัน
หมิงเวยยิ้ม “ข้าไม่สนใจหรอกเจ้าค่ะ” นางเคยเจอสถานการณ์ที่สกปรกยิ่งกว่านี้เสียอีก
ทั้งสองพูดพล่ามไปเรื่อยอยู่สักพักก็นั่งใจลอย
“เกรงว่าใต้เท้าเจี่ยงจะตกอยู่ในอันตราย” หมิงเวยพูด
“อืม…” หยางชูตอบ “ในเมื่อต้องการตัดรากถอนโคนจำเป็นต้องกำจัดพวกเราทิ้งให้หมด แต่เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ใช่คนโง่ หากเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเราเขาต้องเดาออกได้แน่”
“องครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขามีฝีมือ หวังว่าจะสามารถคุ้มครองเขาได้” หยางชูมองนางเต็มสองตา
“ทำไมรึ” แววตาของเขาผิดปกติเล็กน้อย
หยางชูตอบ “ท่านดีกับเจี่ยงเหวินเฟิงมาก”
“อ้อ…” สีหน้าของหมิงเวยไม่เปลี่ยนแปลง “เขาเป็นชิงเทียนผู้ยิ่งใหญ่ เป็นบุคคลหายาก และข้าก็ชื่นชมเขามาก”
หยางชูพูดอย่างปวดใจ “ข้าแย่กว่าเขางั้นหรือ”
หมิงเวยหัวเราะ “จะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร ชาติกำเนิด นิสัย ความต้องการของพวกท่านล้วนต่างกัน เขามีเส้นทางของเขาท่านก็มีเส้นทางของท่าน”
“แล้วทำไมท่านไม่ชื่นชมข้าบ้างล่ะ”
ในขณะที่หมิงเวยกำลังจะพูดองครักษ์ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “คุณชาย พบแล้วขอรับ!”
…………
ทันทีที่หมิงเฉิงทำความเคารพจวิ้นหวังเฟยเสียงประหลาดของสาวใช้ด้านนอกก็ดังขึ้น
“คุณหนูกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“ท่านแม่!” อันเซียงเสี้ยนจู่รีบวิ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของมารดาแล้วร้องไห้ออกมา
สภาพของอันเซียงเสี้ยนจู่ค่อนข้างลำบาก ตามเสื้อผ้ามีรอยขาดหลายแห่ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยฝุ่นมือยังมีรอยขีดข่วน
“เกิดอันใดขึ้น เกิดอันใดขึ้นกันแน่” จวิ้นหวังเฟยตกใจ “อันเซียง! เกิดอันใดขึ้น ใครทำอันใดลูก บอกแม่มา แม่จะให้คนไปจับตัวมาลงโทษเดี๋ยวนี้!”
อันเซียงเสี้ยนจู่ส่ายหัว นางจับตัวจวิ้นหวังเฟย “ไม่ใช่เจ้าค่ะ! ท่านแม่ เปี่ยวเกออยู่ที่นั่น ลูกได้ยินเสียงหินถล่มจึงวิ่งกลับมาขอความช่วยเหลือ ผู้ใดจะรู้ว่าวิ่งไปได้ครึ่งทางจะเกิดไฟไหม้…ท่านแม่ รีบส่งคนไปช่วยเปี่ยวเกอเถอะเจ้าค่ะ!”
ตอนนี้หินถล่มลงมาที่หุบเขา อันเซียงเสี้ยนจู่วิ่งกลับไปเพื่อรายงานหาคนมาช่วยเปี่ยวเกอ ผู้ใดจะรู้พอไปได้ครึ่งทางก็เห็นว่าที่นั่นเกิดไฟลุกขึ้น นางก็ตกใจจนหกล้ม ตนเองจึงมีสภาพกระเซอะกระเซิงเช่นนี้
นางเล่าเรื่องต่อไปเรื่อยๆ จวิ้นหวังเฟยตกใจ
“เร็ว! รีบไปเรียกท่านอ๋อง….” หมิงเฉิงหมุนตัวเดินออกไป สีหน้าของเขาดูไม่ได้เป็นอย่างมาก อาเซียงยังปลอดภัยแค่อยู่ที่นั่นเพื่อดูสถานการณ์ นางฉลาดมาก หากไฟไหม้ภูเขาจนไม่สามารถควบคุมได้ต้องรีบวิ่งหนีออกมาก่อน
ปัญหาคือเสี่ยวชีนางไปยอดเขาชุ่ยมู่กับคุณชายหยาง!
หมิงเฉิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง หินถล่มลงมาก่อนจากนั้นก็เกิดไฟไหม้ ฟังแล้วดูไม่เหมือนอุบัติเหตุ
หมิงเฉิงใจกระตุกเขาเดินตามหลังสาวใช้ไปที่วิหารหลวงเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น หมิงเฉิงไม่ได้เข้าไปเขาแค่สังเกตเงียบๆ อยู่ด้านนอก
เมื่อเรื่องส่งไปถึงฉีตงจวิ้นอ๋องเขาก็รีบส่งองครักษ์ของตนเองไปช่วยดับไฟทันที
เจ้าหน้าที่หลายคนช่วยกันปลอบใจ แต่ฉีตงจวิ้นอ๋องกลับนั่งไม่ติด เขารีบเดินออกจากวิหารไป หมิงเฉิงที่ซ่อนตัวอยู่เห็นเขาเดินไปที่ลับตาผู้คนแล้วเรียกเสนาธิการของตนเอง
“ท่านอู่ ท่านเห็นว่าเรื่องนี้…”
ท่านอู่ถอนหายใจ “ท่านอ๋อง เรื่องนี้รีบร้อนเกินไป! ทั้งหินถล่มแล้วยังไฟไหม้อีก ผู้ใดจะเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุกัน แล้วยังถูกเสี้ยนจู่เห็นเหตุการณ์เข้า นางมาพูดต่อหน้าทุกคนเช่นนี้เกรงว่าทุกคนจะสงสัยกันหมดแน่”
ฉีตงจวิ้นอ๋องรู้สึกกังวลใจ “อันเซียงไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไรกัน! หากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับนางมันจะไม่แย่หรือไร!”
“ก็ไม่น่าแปลกอันใด” ท่านอู่พูด “เสี้ยนจู่ยังเป็นเด็กเห็นเปี่ยวเกอถูกขังกลับมารายงานเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว หวังเฟยไม่รู้เรื่องราวภายในแน่นอนว่าต้องรีบมาแจ้งท่านอ๋อง เพียงแต่เรื่องนี้ดำเนินการเร่งรีบเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่เห็นด้วย หากสำเร็จก็ถือว่าดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากอย่างใหญ่หลวง แต่ท่านอ๋องเชื่อเขาข้าน้อยก็พูดอันใดมากไม่ได้…”
ฉีตงจวิ้นอ๋องรู้สึกเสียใจ “ข้าใจร้อนเกินไป คนผู้นั้นบอกว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก เปิ่นหวางเลยกังวล…”
“ท่านอ๋อง นิสัยของคนผู้นั้นดูจากเรื่องในปีนั้นแล้ว ท่านคงเข้าใจอย่างถ่องแท้” ท่านอู่พูด “ปีนั้นยังไม่เกิดเหตุขึ้นเขาก็ชิงปลีกตัวออกไปก่อนหนึ่งก้าว จากนั้นก็กลับมาตงหนิง ลงมือได้อย่างโหดร้ายเช่นนั้น…เขาเป็นคนที่ทำอันใดต้องทำอย่างเด็ดขาด เป็นแค่คนที่ตายไปแล้วจะไปกลัวเกรงอันใดกัน แต่ท่านอ๋องยังมีครอบครัวอยู่นะขอรับ!”
“ใช่ เป็นเพราะข้าเชื่อคนง่ายเอง…” ฉีตงจวิ้นอ๋องถอนหายใจ “เรื่องก็เกิดไปแล้ว ไม่มีทางอื่นแล้ว ท่านอู่มองแล้วคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี”
ท่านอู่ปลอบใจ “ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล ยังไม่ถึงจุดๆ นั้นจนกว่าเขาจะทำสำเร็จ แต่ท่านยังต้องหาทางออกให้ตนเองด้วย อย่าพาตัวเองไปเกี่ยวข้องมากเกินไป…”
หมิงเฉิงกลัวว่าจะถูกพบเข้าจึงไม่กล้ายืนใกล้กว่านี้ เขาฟังไม่ชัดว่าฉีตงจวิ้นอ๋องพูดอันใดไป เห็นเพียงว่าพวกเขาสนทนาเสร็จก็ส่งองครักษ์ออกไปเงียบๆ
จิตใจของหมิงเฉิงรู้สึกสับสนยุ่งเหยิง เขารู้สึกว่าฉีตงจวิ้นอ๋องมีบางอย่างผิดปกติ แต่คิดไปก็ไม่เข้าใจเขาจึงติดตามองครักษ์ไป
องครักษ์เหล่านี้ไปที่ยอดเขาชุ่ยมู่ดูเหมือนจงใจหลีกเลี่ยงที่จะดับไฟ
หมิงเฉิงตามไปไม่ไกล แล้วทันใดนั้นหมิงเซียงก็วิ่งออกมาจากที่ซ่อน
เมื่อเห็นว่าองครักษ์สองนายจับตัวหมิงเซียงไว้ เขาจึงไม่สนใจสิ่งอื่นใดแล้วรีบตะโกนออกไป “อาเซียง!”
หมิงเซียงเมื่อเห็นพี่ชายก็ร้องไห้ออกมาวิ่งผ่านองครักษ์เข้าไปในอ้อมแขนของพี่ชาย “พี่สี่!”
หมิงเฉิงกอดน้องสาวของตนแล้วยิ้มให้องครักษ์ทั้งสอง “ข้าน้อยเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลหมิง นี่คือน้องสาวของข้าน้อย เชิญท่านองครักษ์ตามสบายเลยขอรับ”
องครักษ์สองคนมองพวกเขาอย่างสงสัย และหนึ่งในนั้นถามว่า “ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
หมิงเฉิงตอบไปว่า “น้องสาวของข้าน้อยกับคุณหนูอันเซียงเสี้ยนจู่ออกมาเล่นด้วยกัน แต่สุดท้ายพลัดหลงกันข้าน้อยจึงออกมาตามหานางขอรับ”
ได้ยินเขาพูดถึงอันเซียงเสี้ยนจู่ สีหน้าขององครักษ์ทั้งสองก็สงบลง พวกเขามองหน้ากันแล้วตะโกนออกไป
“ไม่มีอันใดแล้วก็รีบไปซะ ตอนนี้วัดเป่าหลิงเกิดความจลาจล หากเกิดเรื่องขึ้นอีกจะไม่มีผู้ใดดูแลพวกท่าน”
“ขอรับ ขอบคุณมากขอรับ”
หมิงเฉิงประสานมือขอบคุณแล้วก้มหน้าลงพูดกับหมิงเซียง “อาเซียง ท่านแม่ตกใจมาก พวกเรารีบกลับกันเถอะ”
หมิงเซียงพยักหน้าพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น หมิงเฉิงกอดนางแล้วหมุนตัวเดินทางกลับวัด
เขาเดินกลับไปอย่างสงบ แต่ใจเต้นรัวเป็นจังหวะกลอง
จนกระทั่งองครักษ์สองคนหันหลังแล้วเดินขึ้นเขาต่อไป หมิงเฉิงค่อยหายใจออกอย่างโล่งอกแล้วเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก
“พี่สี่!” ในตอนนั้นเองหมิงเซียงคว้าแขนเสื้อของเขา และพูดอย่างรีบร้อน “พี่เจ็ด พี่เจ็ดอยู่ที่นั่น…”
“วางใจเถอะ พี่สี่รู้แล้ว” หมิงเฉิงพูดปลอบโยน “เรื่องนี้น้องไม่ต้องห่วงกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ไม่ใช่!” หมิงเซียงร้อนใจพูดต่อ “น้องเห็นคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นเหมือนท่านพ่ออย่างกับแกะเลยเจ้าค่ะ!”
…………………………