คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 117 กลไก
“เดี๋ยวก่อน”
พอนายท่านสามจะถูกพาตัวไป หมิงเวยก็ร้องเรียก
หัวหน้าองครักษ์มองหยางชู เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้คัดค้านอะไรจึงสั่งให้องครักษ์หยุดชั่วคราว
หมิงเวยมองใบหน้าที่เปื้อนเลือด “วิญญาณของท่านแม่ล่ะ”
นายท่านสามที่ถูกบีบคางอยู่ทำให้ไม่สามารถตอบได้
หยางชูจึงตอบ “ไปเอากระดาษกับพู่กันมาให้เขาเขียน”
“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ” แต่คนที่ห้ามเขากลับเป็นหมิงเวย
เพราะว่าในตอนที่นางถามประโยคนั้นออกไป แววตาของนายท่านสามมีความสับสนอยู่ชั่วครู่แล้วกลับมามีแววตาเยาะเย้ย อาฆาตแค้นเหมือนเดิม
เขาไม่รู้ ถึงแม้เขาจะรู้ เขาก็ไม่บอก
นางครุ่นคิด “ค้นตัวเขา อย่าปล่อยให้มีของเล็กน้อยติดตัวเขาไปด้วย”
“ขอรับ!”
องครักษ์ตอบรับเสียงดังแล้วรีบค้นตัวนายท่านสามตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบ
มวยผมถูกปล่อยลงมา เสื้อผ้าถูกค้นทุกซอกทุกมุม แม้แต่รองเท้ายังถูกถอดออกมาเพื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่ามีอาวุธลับซ่อนอยู่ที่รองเท้าของเขา
ไม่นาน สิ่งของทั้งหมดในตัวนายท่านสามก็ถูกค้นออกมาจนหมด
หมิงเวยมองแล้วหยิบเครื่องประดับชิ้นหนึ่งออกมา
มันเป็นแผ่นไม้เล็กยาวหนึ่งนิ้วซึ่งสลักยันต์ง่ายๆ เอาไว้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเครื่องรางขอให้ปลอดภัยแคล้วคลาดที่มีขายในวัด ขอบและมุมได้รับการขัดเงาจนเรียบและน่าจะมีอายุการใช้งานมายาวนาน
“ไม้สีดำ” หมิงเวยพูดเบาๆ “อย่างนี้นี่เอง”
ของสิ่งนี้มีผลในการดึงดูดวิญญาณ ตอนที่คุณหนูเจ็ดเกิดวิญญาณของนางก็กระจัดกระจายออกไปเพราะดวงชะตาปาจื้อที่พิเศษ บังเอิญว่านายท่านสามมีของสิ่งนี้ติดตัว จิตวิญญาณสองส่วนกับกายทั้งสี่จึงมาอาศัยอยู่ในนี้
สิบปีก่อนนายท่านสามฆ่าเกิงซาน จิตวิญญาณสองส่วนกับกายทั้งสี่จึงถูกวิญญาณร้ายเกิงซานดึงออกมาหล่อเลี้ยงเกิงซานจนกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย
จากนั้นฮูหยินสามก็เสียชีวิต คาดว่ายามที่เสียชีวิตคงกังวลอย่างหนักจึงคอยติดตามนายท่านสามไม่ห่างไปไหน วิญญาณของนางจึงเข้าไปในเครื่องรางแคล้วคลาดนี้
นายท่านสามไม่ใช่เสวียนชื่อที่แท้จริง เป็นเพียงแค่คนที่ไม่ได้เข้าใจวิชาทั้งหมดอย่างลึกซึ้งจึงไม่รู้เรื่องนี้
เมื่อพบเบาะแสวิญญาณฮูหยินสามแล้ว หมิงเวยจึงไม่สนใจนายท่านสามอีกแล้วโบกมือให้องครักษ์พาเขาไปนางพูดกับหยางชูว่า “ใต้เท้าเจี่ยงได้ควบคุมคนเหล่านั้นแล้วใช่หรือไม่ ยังมีเรื่องอะไรให้พวกเราต้องทำอีกหรือไม่เจ้าคะ”
หยางชูมองไปทางหินเทพธิดาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ วันนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น ท่านคงเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องที่เหลือไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
หมิงเวยมองการเคลื่อนไหวของเขาจึงรู้ว่าเขากังวลเรื่องหลักฐานในห้องเก็บพระสูตร แต่ห้องนั้นเต็มไปด้วยกลไก หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ควรจะเข้าไป
“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยจะเหนื่อยได้อย่างไรเจ้าคะ ไปกันเถอะเราต้องไปทำลายกลไกนั่นเสียก่อนเจ้าค่ะ”
หยางชูพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นทานอะไรรองท้องก่อนดีหรือไม่ ตอนที่ไฟไหม้ท่านไม่ได้นึกถึงไก่ตุ๋น หรือน้ำแกงปลาหรอกหรือ นี่ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว”
แน่นอนว่าหมิงเวยไม่ปฏิเสธ
เทศกาลสรงน้ำพระในวันนี้วัดเป่าหลิงมีจัดอาหารมาไม่น้อย คนกลุ่มหนึ่งไปที่โรงครัวของวัดเพื่อหยิบซาลาเปาไส้ผักมากินแล้วกลับมาที่ห้องเก็บพระสูตร
หยางชูนั่งลงบนพื้นแล้วให้องครักษ์พันแผลให้เขาพลางถามคนฝั่งตรงข้ามว่า “ท่านจะทำอะไร”
หมิงเวยเองก็นั่งลงกับพื้นอย่างไรเสื้อผ้าของตนก็สกปรกจนดูไม่ได้อยู่แล้วจึงไม่ใส่ใจ เบื้องหน้าของนางมีกระดาษเหลืองหลายกองวางอยู่ มีหมึกสีชาดและพู่กันวางอยู่ข้างๆ นางหยิบกระดาษเหลืองมาหนึ่งแผ่นแล้วพับ
พอได้ยินคำถามนางก็เงยหน้าขึ้นมาหยิบพู่กันมาจุ่มหมึกแล้วเขียนยันต์ลงบนกระดาษที่พับเสร็จเรียบร้อยด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
“ข้าจะแสดงอะไรสนุกๆ ให้ท่านชมเจ้าค่ะ” พูดจบนางก็เป่าลมใส่กระดาษแล้วปล่อยมือ
แล้ววินาทีต่อมาก็เห็นว่ากระดาษแผ่นนั้นราวกับมีชีวิต มันกระโดดลงบนพื้น บิดแขนขาไปมาแล้วเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องเก็บพระสูตร
ลูกตาหล่นกลาดเกลื่อนบนพื้น
หยางชูจ้องมองกระดาษที่เดินบิดเอวขึ้นบันไดเงียบๆ การเคลื่อนไหวที่ไม่ต่างจากคนทำให้เขาอดถามไม่ได้ “มีวิชาเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน”
หมิงเวยตอบ “ท่านเคยเห็นวิชาขับไล่สิ่งของหรือไม่เจ้าคะ อย่างเช่นเขียนยันต์แปะไว้ที่เชือก แล้วเชือกเส้นนั้นก็ราวกับมีชีวิตผูกด้วยตัวมันเองได้”
หยางชูพยักหน้า “อันนี้ข้ารู้ แต่วิชาขับไล่เช่นนั้นก็ทำได้แค่กับเรื่องง่ายๆ เท่านั้นไม่ใช่หรือ”
“ทุกอย่างเหมือนกันหมดเจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบ “เพียงแค่ข้าเก่งกว่าก็เท่านั้น”
หยางชูเหมือนเป็นใบ้ไปในทันที เป็นเวลานานกว่าเขาจะตอบ “ท่านเป็นผู้ที่หากมีโอกาสก็ไม่พลาดที่จะชมตัวเองเสียจริง!”
ในขณะที่พูดคุยกันกระดาษแผ่นนั้นก็ได้ผ่านบันไดโค้งขั้นแรกไปแล้ว
แต่ทันใดนั้นก็มีแสงวาบที่ผนังแล้วลูกศรอันแหลมคมก็พุ่งออกมาแทงจนกระดาษกลายเป็นรังผึ้ง
กระดาษคนล้มลงกับพื้นแล้วหยุดเคลื่อนไหว
“ตายแล้วงั้นหรือ” หยางชูถาม
“หากที่เข้าไปเป็นคนก็คงตายแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบอย่างลวกๆ แล้วปล่อยกระดาษคนตัวที่สองซึ่งก็ไม่ผ่านด่านแรกเหมือนกัน หมิงเวยปล่อยกระดาษตัวต่อไป
พอตัวก่อนหน้าล้มนางก็ปล่อยตัวต่อไปอีกเรื่อยๆ ใช้ไปห้าตัวในที่สุดลูกศรในด่านแรกก็หมด ตามด้วยด่านที่สอง ด่านที่สาม…กระดาษสีเหลืองกองหนาๆ บางลงอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ที่นี่เป็นวัดเลยมีของพวกนี้อยู่จำนวนมาก
พอผ่านด่านที่ห้าไปกระดาษคนก็หยิบแผ่นโลหะที่บันทึกวิธีไขกุญแจกลับมา
“เป็นของจากหอเทียนจีจริงๆ” หมิงเวยลูบผิวสีเงินแล้วถอนหายใจ “หอเทียนจีถูกทำลายไปแล้ว การสืบทอดของสิ่งนี้มีน้อยเกินไป”
หยางชูพูดอย่างไม่ใส่ใจ “นายท่านสามเข้าใจสิ่งนี้ดีจึงสืบทอดมรดกของหอเทียนจี พอกลับมาค้นหาที่จวนตระกูลหมิงก็ถือว่าได้ส่งต่อให้กับท่าน”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้มพลางพับกระดาษต่อ หยางชูพอถูกนางยิ้มให้ก็ขนลุก รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก “ท่านยิ้มอะไร”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” หมิงเวยหุบยิ้มแล้วเขียนยันต์อย่างตั้งใจ
“…น่าจะป่วยเอามาก”
หมิงเวยอารมณ์ดีจึงไม่เถียงกับเขา นางอยากจะเก็บคำพูดก่อนหน้านี้คืนกลับมาเสียจริง คุณชายหยางผู้นี้อาจมีสัตว์ร้ายอยู่ในใจ แต่ตัวตนของเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่า
ยามที่หมึกสีชาดแห้งในที่สุดกระดาษคนก็มาถึงด่านสุดท้ายมันกระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนเพดาน ในขณะนั้นเองไม่รู้ว่ามีแสงมาจากที่ใดสาดส่องเป็นแนวโค้งขึ้นช้าๆ อย่างงดงาม
ทุกคนที่อยู่นอกประตูอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ
“พระจันทร์…” หยางชูพึมพำ การปรากฏตัวของแสงที่เหมือนพระจันทร์เสี้ยว
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจความหมายของดวงจันทร์ที่เกิงซานนึกถึงก่อนตายได้แล้ว
เขาถูกฆ่าด้วยกลไกนี้!
“คลิก!” มือโลหะขนาดใหญ่ร่วงลงมาจากด้านบนแล้วฉีกกระชากกระดาษไปอย่างรวดเร็ว
“แคว้ก” กระดาษถูกตัดออกเป็นสองท่อนในทันที!
หมิงเวยวาดยันต์ขึ้นอีกอันครั้งนี้สามารถกระโดดขึ้นไปบนเพดานโดยไม่ต้องใช้กลไกใดๆ
“เอาล่ะ” หมิงเวยเก็บกระดาษและหมึกที่เหลือ “เข้าไปเคลื่อนย้ายกันเถอะ”
หัวหน้าองครักษ์มองหยางชูจากนั้นก็เรียกองครักษ์สองสามนายออกมา พวกเขาเข้าไปในห้องเก็บพระสูตรแล้วนำกล่องโลหะออกจากเพดานอย่างระมัดระวัง
หมิงเวยดึงปิ่นปักผมสีทองออกมา แล้วค่อยๆ ขยับกุญแจตามคำอธิบายในแผ่นโลหะ
หลังจากนั้นไม่นานพอขยับกุญแจเสร็จก็นำสอดเข้าไปในรูกุญแจ
“เดี๋ยวก่อน” นางเงยหน้าขึ้นแล้วถามผ่านทางสายตา
หยางชูพูดกับองครักษ์ “เจ้ามานี่”
“ขอรับ” องครักษ์รับปิ่นปักผมสีทองมาแล้วสอดเข้าไปในรูกุญแจ
“คลิก!” เสียงไขดังขึ้นเบาๆ แล้วองครักษ์ก็เปิดกล่องออกมา
เมื่อเห็นหยางชูถอนหายใจด้วยความโล่งอก หมิงเวยก็ยิ้ม เขาคิดว่าในกล่องนี้จะมีกลไกแล้วนางคงไม่สามารถจัดการได้ใช่หรือไม่
………………………………………….