คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 119 คำสั่งฮ่องเต้
ณ ประตูศาลว่าการเสียงของเจี่ยงเหวินเฟิงดังก้อง “ท่านปู่เจี้ยนอันโหว ปีก่อนๆ ได้ยกทัพจับศึกเหนือใต้ สร้างผลงานไว้มากมายน่าเสียดายที่ระหว่างทำสงครามที่ทางใต้อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว แต่ท่านกลับเสียชีวิตในสนามรบพร้อมกับม้าคู่ใจ! แม่ทัพหยวนท่านภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของท่าน แล้วเหตุใดวันนี้ท่านถึงได้ถูกผู้อื่นยุให้ทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้!”
เมื่อได้ยินคำด่าของเขาผู้ใต้บังคับบัญชาของหยวนคุนก็ทนไม่ได้คิดจะออกไปจัดการแต่ก็ถูกหยวนคุนห้ามไว้
“ใต้เท้ายกย่องบรรพบุรุษของข้า ข้าหยวนคุนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เช่นนั้นข้าขอถามท่านหนึ่งคำถาม” น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง เขากล่าวถามอย่างหนักแน่น “บรรพบุรุษของข้าสร้างคุณงามความดีเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงไม่เห็นแก่หน้ากันบ้าง ทำให้ตระกูลข้าต้องไว้ทุกข์กันทั้งตระกูล!”
เขาที่หยวนคุนพูดถึงนั้นหมายถึงฮ่องเต้องค์ก่อน เหตุการณ์น่าเศร้าเมื่อสิบเก้าปีก่อน ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้มีเพียงไท่จื่อ และองค์ชายรอง แต่ยังมีวีรบุรุษผู้มีคุณูปการมากมาย
เจี้ยนอันโหวหยวนเซี่ยวเสียชีวิตในสงคราม ตำแหน่งของเขาถูกส่งต่อให้บุตรชายคนโต เจี้ยนอันโหวคนใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับจิ้นอ๋อง ดังนั้นเขาจึงมีส่วนร่วมด้วย
เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจิ้นอ๋องฆ่าตัวตาย ไท่จู่โกรธมาก ตระกูลหยวนถูกตัดสินว่ามีความผิดจึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง ผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ถูกประหารชีวิตทั้งหมด
ตั้งแต่นั้นมาตระกูลหยวนทรุดลงอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ ลูกหลานตระกูลหยวนอย่างหยวนคุนนั้นมีความสามารถ เขาในวัยสามสิบปีสามารถเป็นผู้นำทหารหลายพันคนในตงหนิงได้
เจี่ยงเหวินเฟิงหัวเราะเบาๆ “ท่านแม่ทัพมาล้อมรอบศาลว่าการยามดึกเพราะความอยุติธรรมในใจงั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าถามท่านเรื่องที่ตระกูลหยวนทำในตอนนั้นมีความผิดหรือไม่”
หยวนคุนชะงัก “ในเมื่อมีความผิดแล้วเหตุใดจะกล่าวโทษไม่ได้กันเล่า”
หยวนคุนหรี่ตามองเขา
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่หลบสายตาแต่ถามกลับไปว่า “ฮ่องเต้องค์ก่อนซาบซึ้งในคุณงามความดีของเจี้ยนอันโหวจึงให้ประหารแค่คนที่มีความผิดเท่านั้น ไม่รวมภรรยาและบุตร นี่ไม่เรียกว่าความกรุณาหรอกหรือ”
หยวนคุนนิ่งเงียบ
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจออกมาแผ่วเบาและถามครั้งสุดท้าย “วันนี้ท่านแม่ทัพละทิ้งความยุติธรรมเพื่อความแค้นส่วนตัว ข้าขอถามว่าท่านกล้าเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษหรือไม่”
“…”
“ใต้เท้า…” คนสนิทของหยวนคุนลดเสียงลงและเตือนเขา “อย่าลืมว่าใต้เท้าอู๋…”
“พอแล้ว!” หยวนคุนห้าม หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้เขายังล่าถอยออกมา แต่ตอนนี้ถูต้าหู่ตายแล้ว โทษฐานสังหารเจ้าหน้าที่ตกอยู่กับเขา ยังจะมีทางออกอื่นอยู่อีกหรือ
เมื่อคิดเช่นนั้นหยวนคุนจ้องมองอย่างเฉียบขาดไม่โต้เถียงกับเจี่ยงเหวินเฟิงอีก เขายกมือขึ้น “จะความแค้นส่วนตัวหรือความยุติธรรม พวกท่านบังอาจแอบอ้างเป็นข้าหลวงฮ่องเต้ มีสิทธิ์อะไรมาวิพากษ์วิจารณ์กัน ทุกคน จับกุมเขา!”
หยวนคุนเป็นผู้ที่มีความสามารถเขามีอำนาจมารมีมากในกองทัพ พอเขาตะโกน ทหารใต้บังคับบัญชาก็ตอบรับเสียงดังทันที “ขอรับ!”
ธนูหน้าไม้และอาวุธถูกยกขึ้น อีกฝั่งเมื่อเห็นว่าท่าไม่ดี ทหารจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อล้อมรอบคุ้มกันเจี่ยงเหวินเฟิง
“ใต้เท้า!”
เจียวจื้อลดเสียงลง “หยวนคุนไม่มีทางให้ไปแล้ว เขาจำเป็นต้องสู้เท่านั้น ท่านถ่วงเวลาให้นานถึงเพียงนี้ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกข้าจัดการเถอะขอรับ ทหารที่ข้าน้อยพามาล้วนเป็นยอดฝีมือของกองทัพหลีชวนถึงแม้จำนวนจะน้อย แต่ฝีมือไม่อ่อนแอกว่าแน่ขอรับ!”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจ “คงต้องเป็นเช่นนั้น…”
เขาทราบดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะล่าถอยออกไปด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเขา ต้องโทษอู๋ควนจอมเจ้าเล่ห์ที่บังคับให้หยวนคุนสั่งการเจ้าหน้าที่ ตอนนี้อีกฝ่ายคงรู้แล้วว่ามีทางตันอยู่ตรงหน้าจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
มือที่ยกขึ้นของหยวนคุนกำลังจะลดลง แต่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของม้ามาจากที่ไกลๆ
เมื่อเสียงเข้ามาใกล้มากขึ้น ทหารที่ขี่ม้าเข้ามาก็ตะโกนขึ้นว่า “กระบี่โอรสสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ผู้ใดกล้ากำเริบเสิบสาน!”
กระบี่โอรสสวรรค์! ทั้งสองฝั่งต่างตกใจ
ในปีก่อนฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่สังหารงูขาวที่ออกมาอาละวาดด้วยกระบี่ชื่อเซียวเป็นเวลาหลายร้อยปีที่กระบี่เล่มนี้ไม่เป็นที่รู้จัก หลังจากนั้นไท่จู่ในราชวงศ์นี้ ยามสั่งการทหารได้ใช้กระบี่เล่มนี้ดำเนินการด้วยพละกำลังของตัวเองจึงถูกเรียกว่าอาณัติแห่งสวรรค์
หลังจากก่อตั้งอาณาจักร เรื่องเล่านี้ได้ถูกเล่าต่อกันมาจนเป็นที่รู้จักกันทั่ว ตั้งแต่เด็กสามขวบไปจนถึงหญิงชราวัยแปดสิบ
กระบี่โอรสสวรรค์ก็คือกระบี่เล่มนี้
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าชะตาของแคว้นฉีเหนือเริ่มต้นขึ้นได้เพราะกระบี่โอรสสวรรค์ที่มีความหมายพิเศษนี้ เพียงพริบตาเดียวทหารคนนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว
ดวงตาอันเฉียบคมกวาดตามองกลุ่มกบฏ “ยังไม่รีบต้อนรับกระบี่โอรสสวรรค์อีก!”
สาเหตุที่กลุ่มกบฏเข้ามาปิดล้อมศาลว่าการก็คือกล่าวหาว่ามีผู้สวมรอยเป็นตัวแทนฮ่องเต้ ใครๆ ต่างก็รู้ว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง แต่หลายๆ ครั้งก็มีการใช้ข้ออ้างนี้เพื่อจัดการเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ตอนนี้อีกฝ่ายได้นำกระบี่โอรสสวรรค์ออกมาแล้วเหตุผลของหยวนคุนจึงกลายเป็นสิ่งที่ไร้น้ำหนัก แต่ตอนนี้จะให้เขายอมรับความพ่ายแพ้งั้นหรือ
หยวนคุนกัดฟัน “กระบี่โอรสสวรรค์อยู่ที่ใด เหตุใดข้าถึงไม่เห็น!”
“กระบี่โอรสสวรรค์อยู่นี่!” เสียงตะโกนดังขึ้นอึกครั้ง องครักษ์กลุ่มหนึ่งขี่ม้าโอบล้อมพิทักษ์คุณชายที่ขี่ม้าเข้ามาทางนี้
พวกเขาขี่ม้ามาถึงหน้าศาลว่าการอย่างรวดเร็ว เขายืนอยู่ระหว่างทหารสองนายและยกร่มขนาดใหญ่ในมือขึ้น
จากนั้นได้ยินเสียง ‘คลิก’ คันร่มแยกออกจากกันและกระบี่โอรสสวรรค์ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ก็เผยออกมา
เขาหยิบดาบในมือและชูมันขึ้นสูง “นี่เป็นคำสั่งจากฝ่าบาท อยู่ต่อหน้ากระบี่โอรสสวรรค์เสมือนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้!”
…………
หมิงเวยเพิ่งเดินทางมาถึงด้านนอกศาลว่าการ แต่นางไม่ได้ก้าวเข้าไปทำได้เพียงเฝ้าดูการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายจากระยะไกล
“แม่นางหมิง” หัวหน้าองครักษ์ที่ได้รับคำสั่งให้คุ้มครองนางพูด “ที่นี่อันตรายให้ข้าน้อยส่งท่านกลับจวนตระกูลหมิงหรือไม่ขอรับ”
หมิงเวยมองกระบี่ชื่อเซียวในมือหยางชูราวกับว่าได้เห็นเทพกระบี่ที่แสดงพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อส่งนางกลับมาในอีกเจ็ดสิบปีข้างหน้า
กระบี่อยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้คนอยู่ที่ใด อาจารย์เรียกเขาว่าผู้อาวุโสหากนับดูแล้ว เขาน่าจะยังเยาว์อยู่ในช่วงเวลานี้ ฮ่องเต้หลังจากนั้นคือฮ่องเต้ที่ถูกถอดถอน ต่อมาคือหลิงตี้ ฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์ทำให้โชคชะตาของแคว้นฉีเหนือถูกทำลายจนไม่เหลือซาก
เนื่องจากนางต้องการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของอาณาจักร แน่นอนว่านางจะไม่ยอมให้บุรุษไม่เอาไหนทั้งสองพระองค์นี้ได้นั่งบัลลังก์
เมื่อพบว่าตนเองย้อนกลับมาในศักราชหย่งเจียที่สิบแปด หมิงเวยก็มีการคำนวณในใจ แต่นางไม่รู้ว่าเทพกระบี่ผู้นั้นเป็นบุตรท่านใดของตระกูลเจียง…
หมิงเวยมองอย่างลึกซึ้งแล้วหันศีรษะกลับมา “ไปกันเถอะ!”
กระบี่โอรสสวรรค์ปรากฏแล้วกบฏที่ล้อมรอบศาลว่าการก็ไม่น่าเป็นห่วงแม้ว่าหยวนคุนจะแข็งแกร่ง แต่ความมั่นใจของพวกเขาที่จะล้อมศาลว่าการนั้นไม่มีแล้ว
แต่ไหนแต่ไรเรื่องขวัญกำลังใจต่อกองกำลังนั้นต้องมาก่อนเสมอ หากไม่มีขวัญกำลังใจ ความพ่ายแพ้ก็เข้ามาแล้วครึ่งหนึ่ง
ไม่ต้องรอถึงวันรุ่งขึ้นหรอก ผลของศึกครั้งนี้เป็นที่รู้ผลแล้ว
………….
บนเนินเขาเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตงหนิง
ร่างในชุดสีดำนอนอยู่ในพื้นหญ้าในขณะที่ตียุงไปก็บ่นพึมพำ “อะไรกัน! นี่เพิ่งจะเดือนสี่เองทำไมถึงได้มียุงแล้วล่ะ ไม่สามารถผ่านวันนี้ไปได้จริงๆ! อา..ยาของข้าเหตุใดจึงหมดเกลี้ยงเลยล่ะ แม้แต่ยุงตัวเดียวก็รมควันไม่ไหว…”
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงฉอเลาะดังขึ้น “โอ้ เป็นหนูตัวใหญ่มาก!”
ชายชุดดำชักมีดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายกลับหัวเราะคิกคักตั้งท่าบินเข้ามาใกล้จากยอดไม้ที่อยู่ไกลจึงพบว่าเป็นสตรีที่มีเสน่ห์มาก
นางลอยตกลงมาบนพื้นหญ้าแล้วเหล่มองชายชุดดำ “เจ้าหนูตาย เหตุใดถึงกลับมามือเปล่าล่ะ แล้วแพะตัวนั้นเล่า”
ชายชุดดำมองนางอย่างโกรธๆ “แพะงั้นหรือ ให้คนกินไปแล้ว!”
“เจ้าเสนอตัวออกไปแต่ไม่ได้นำแพะกลับมาด้วย จุ๊ๆ” สตรีนางนั้นเยาะเย้ย “ปล่อยให้หลุดมือเช่นนี้อย่ารีบปล่อยชื่อซูรื่อฉู่ออกมาล่ะ!”
“ฮึๆ!” ชายชุดดำยิ้มเยาะตอบไปว่า “อยากได้งั้นหรือก็ให้ศิษย์น้องของเจ้ามาแย่งไปสิ! หากถูกข้าตัดแบ่งออกเป็นสิบแปดส่วนก็อย่ามาเสียใจทีหลังละกัน”
“ศัตรู เหตุใดถึงได้โหดร้ายเช่นนี้” หญิงสาวส่งสายตาหวานแล้วเปลี่ยนน้ำเสียง “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น เกิดอะไรขึ้น เจ้าพลาดจริงๆ หรือ”
ชายชุดดำถอนหายใจแล้วจู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้จึงถามออกไปว่า
“จริงสิ เจ้าเคยได้ยินคำว่าปรมาจารย์แห่งชีวิตหรือไม่”
……………………………………….