คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 135 เผชิญหน้า
ผู้คนในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายถูกพาออกไปทีละคน ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินหกที่ร้องไห้เสียงดังหมิงเวยก็ไม่สนใจพวกนาง
เรื่องพวกนี้อาหว่านจัดการได้ “พาเขาออกไปด้วย” นางชี้ไปที่นายท่านสอง
หยางชูพยักเพยิด องครักษ์รับคำแล้วพานายท่านสองออกไป
หมิงเวยหมุนตัวกลับมาพูดกับแม่นมถง “แม่นม พวกท่านกลับไปก่อนเถอะ ซู่เจี๋ย ปิงซิน ดูแลแม่นมด้วย”
แม่นมถงมองนายท่านสามด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ว่านายท่านสามยังมีชีวิตอยู่ คนที่นางเกลียดมีแค่นายท่านสองกับนายท่านหก แต่ตอนนี้เมื่อรู้ความจริงทุกอย่างแล้วนางก็เกลียดนายท่านสามด้วย
ภรรยาของตนถูกดูหมิ่นเช่นนั้นยังทำแค่เพียงยืนมองอยู่ไกลๆ ซ้ำยังเป็นคนผลักนางลงไปด้วยอีกทำให้นางรู้สึกเกลียดนายท่านสามยิ่งกว่านายท่านสองเสียอีก!
หมิงเวยรู้ความคิดของนางจึงพูดเบาๆ “แม่นมวางใจเถอะ เขาไม่มีจุดจบที่ดีแน่”
แม่นมถงถอนสายตาแล้วพูดอย่างหนักแน่น “บ่าวเชื่อว่าคุณหนูทำได้เจ้าค่ะ ซู่เจี๋ย ปิงซิน พวกเรากลับกันเถอะ”
เมื่อเห็นนายท่านหกตายด้วยตาตนเอง นายท่านสองเกิดอาการบ้าคลั่ง ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ความหนักอึ้งในใจของแม่นมถงก็คลายออกมาก้าวย่างที่เดินกลับไปนั้นเบาลงขึ้นเยอะ
เมื่อเห็นพวกนางจากไปด้วยรอยยิ้มหมิงเวยก็รู้สึกดีขึ้นมาก ในที่สุดภายในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายจึงเหลือเพียงสามคน
“ถึงตาของท่านแล้ว” หมิงเวยหลุบตามองนายท่านสาม
เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบนักโทษ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ขาหักไปข้างหนึ่ง มองจากภายนอกแล้วไม่เหลือเค้าความหล่อเหลาของสุภาพบุรุษเลย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงความสงบนิ่งไว้อยู่
หมิงเวยอดคิดไม่ได้ว่าคนฉลาดมักหลงผิดง่ายเป็นพิเศษหรือเปล่า ในตอนที่ท่านอาจารย์พูดถึงประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ ท่านเคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นเรียกได้ว่าเป็นเสวียนชื่อที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้า แต่เป็นเพราะเขา ประวัติศาสตร์จึงเริ่มต้นบนเส้นทางที่เปื้อนเลือด
“เหตุใดถึงทำเช่นนั้นกับท่านแม่” นางถาม “ตระกูลจี้ตกต่ำไปนานแล้วในตอนนั้นท่านยืนยันที่จะแต่งงานกับนางไม่ใช่เพราะว่ารักนางหรอกหรือ”
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่จริงใจของนาง นายท่านสามถึงยอมตอบกลับไป “ข้ารักนาง”
“ในเมื่อท่านรักนางแล้วท่านทนให้ผู้อื่นรังแกนางได้อย่างไร”
นายท่านสามเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างจริงจังสักพักแล้วจู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา
“ข้าไม่รู้ที่มาของเจ้า แต่พอเห็นท่าทางของเจ้าแล้ว คงเป็นสตรีที่ยังมีอายุไม่มากเท่าไรนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่ถามคำถามเช่นนี้ออกมา ในตอนนั้นข้าหนีออกจากเป่ยหูโดยเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไม่ให้ผู้อื่นรู้ คนแรกที่ข้าต้องการไปหาก็คือนาง ผู้ใดจะรู้เล่าว่านางกับพี่สอง…”
“ท่านรู้อยู่แล้วว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างนายท่านสองบังคับนาง!”
นายท่านสามยังคงยิ้ม “จะบังคับหรือไม่ในตอนนั้นก็คงไม่มีความหมายอะไรแล้ว นางได้มีชายอื่นไปแล้วจะให้ข้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ เป็นเช่นนั้นก็ดี เพราะว่าเรื่องนี้พี่สองถึงได้รู้สึกละอายใจต่อข้าและเชื่อฟังคำพูดของข้า…”
หมิงเวยรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจเมื่อได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยเช่นนี้ “ส่วนสตรีน่ะหรือ ไม่ได้มีเพียงแค่นางคนเดียวเสียหน่อย แม้แต่สิ่งที่รักยังไม่ยอมทิ้ง แล้วจะทำการใหญ่ให้สำเร็จได้อย่างไร”
“สิ่งที่รักงั้นหรือ” หมิงเวยยิ้มเยาะ “สำหรับท่านแล้วนางเป็นเพียงแค่สิ่งของงั้นหรือ”
นายท่านสามมองนางอย่างขบขัน “สำหรับผู้ที่แข็งแกร่ง ผู้อ่อนแอคือบริวาร เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องพูดมากให้เปลืองน้ำลายหรอก ข้าไม่ใช่คนโง่อย่างพี่สองที่เจ้าพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็จิตใจพังทลายแล้ว ข้ามาถึงวันนี้ แม้จะไม่สำเร็จ ข้าต้องการอะไร ช่วยอะไร ใจข้าย่อมรู้ชัดแจ้งดี วันนี้พ่ายแพ้ ข้ายอมรับ แต่ถ้าเจ้าจะให้ข้าก้มหัวสารภาพ ข้าไม่ทำ”
หมิงเวยขี้เกียจที่จะพูดอะไรออกมาอีก นายท่านสามผู้นี้ไม่เหมือนคนชั่วที่นางเคยพบเจอมาก่อน เขามีความรู้ความจำดีมากท่องอ่านกวีได้ดี แต่เขาก็ยังต่างจากพวกบัณฑิตที่ชอบพูดสวยหรูพวกนั้น
ผู้อื่นศึกษาเล่าเรียนเชื่อในสิ่งที่ตำราบอกมา แต่เขากลับเชื่อมั่นในตนเอง
เป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมเขาด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจากสามัญสำนึก ความคิดของเขาอยู่กับตนเองมานานแล้ว และจะไม่มีทางหวั่นไหวตามคำพูดของคนอื่นเลย
ทางด้านหยางชูกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง “ที่ท่านพูดมาไม่ใช่การแลกสตรีเพื่อผลประโยชน์หรอกหรือ” เขาเชิดหน้าขึ้นพลางมองนายท่านสามอย่างดูถูก
“ส่งภรรยาของตนเองไปนอนกับชายอื่นยังต้องอธิบายเหตุผลมากมายด้วยหรือ ท่านนี่ไม่ละอายใจจริงๆ”
นายท่านสามชำเลืองมองเขา “ทำไม ข้าพูดไม่ถูกหรือ”
หยางชูโบกพัดอย่างเกียจคร้าน “หากไม่ละทิ้งสิ่งที่รักแล้วจะทำการใหญ่ได้อย่างไร นั่นไม่ใช่เพราะท่านไร้ความสามารถหรอกหรือ ท่านพบว่าภรรยาตนถูกข่มเหง แต่ไม่มีความสามารถแก้แค้นให้นางได้ เพียงแค่ใช้เหตุผลนี้เพื่อปลอบใจตัวเอง เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นผู้ร้ายวิธีนี้มันเป็นการเอาตัวไปอยู่เหนือปัญหา เฮอะๆ ความสามารถในการปลอบประโลมตัวเองนี้ช่างไม่เหมือนผู้ใดจริงๆ!”
สายตาของนายท่านสามเริ่มเย็นชามากขึ้นหยางชูมองเขาอย่างนึกสนุก “พูดตามตรง ข้าผิดหวังนิดหน่อยเดิมทีคิดว่าคนอย่างท่านน่าจะมีความสามารถจริงๆ แต่ดูจากตอนนี้แล้วข้าคงประเมินท่านสูงเกินไป ท่านมันก็แค่คนไร้ความสามารถผู้หนึ่ง ใช่หรือไม่ กุ่ยจินหยาง” นายท่านสามสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
หยางชูมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาแล้วพูดต่อ “ผู้ที่ช่วยท่านในวันนั้นเป็นกลุ่มดาวไหนล่ะ แต่น่าเสียดายดูเหมือนว่าท่านจะถูกทิ้งเสียแล้ว!”
ผ่านไปไม่นานนายท่านสามถึงได้ตอบกลับไป “กลุ่มดาวอะไร ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไรอยู่”
หยางชูหัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านแสร้งทำเป็นโง่ตอนนี้จะมีความหมายอะไรกัน ข้าพูดชื่อกุ่ยจินหยางออกมาก็หมายความว่าพบเบาะแสที่แน่นอนแล้ว”
หมิงเวยถอนหายใจอย่างเงียบๆ “นายท่านสาม หลังจากที่ท่านฆ่าท่านแม่ เคยพบดวงวิญญาณของนางหรือไม่ สุดท้ายแล้วท่านหานางไม่พบใช่หรือไม่”
นางหยิบเครื่องรางสวัสดิภาพที่ทำจากไม้สีดำออกมา “ไม้สีดำสามารถสื่อสารกับหยินหยาง ท่านศึกษาเคล็ดวิชามานานขนาดนี้ไม่รู้เลยหรือ อันที่จริงนางอยู่ข้างกายท่าน ทุกสิ่งที่ท่านพูด ทุกสิ่งที่ท่านทำ ล้วนอยู่ในสายตาของนางทั้งสิ้น”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แววตาของนายท่านสามสั่นไหว
หมิงเวยดูออกไม่รู้ว่าจะรู้สึกสะใจหรือเสียใจดี “ทำไม ท่านไม่กล้าเผชิญหน้ากับนางหรือ ก็จริงที่ในใจของนาง สามีของตนเป็นคนดีและสมบูรณ์มากเพียงนั้น ถึงแม้จะตายไปแล้วก็ไม่สามารถลบความรักของนางที่มีต่อท่านออกไปได้ แม้กายจะตกนรก แต่ก็ยังจดจำไม่ลืมเลือน ท่านจะกล้าให้นางมองท่านในสภาพน่าเกลียดเช่นนี้ได้อย่างไร!”
หลังจากเงียบไปสักพักก็ได้ยินเสียงอู้อี้ของนายท่านสาม “น่าขัน! ข้าจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับนางได้อย่างไร”
“งั้นหรือ ในเมื่อท่านกล้าเผชิญหน้ากับนางงั้นข้าจะทำให้ท่านได้พบนางเอง”
จู่ๆ นายท่านสามก็เงยหน้าขึ้น “ไม่…”
“ทำไมถึงไม่ล่ะ” หมิงเวยพูดอย่างเย็นชา “นายท่านสาม เมื่อกี้ท่านพูดด้วยความมั่นใจเพียงนั้นก็นำคำพูดพวกนั้นไปพูดต่อหน้าท่านแม่อีกรอบเถอะ! ”
พูดจบนางก็ยกมือขึ้นทำมุทรารวบรวมพลังไว้ที่เครื่องรางสวัสดิภาพ พลังหลั่งไหลเข้ามา จากนั้นก็เกิดควันลอยขึ้น ควันเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหมอก
กลิ่นอายหนาวเย็นในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายเริ่มรุนแรงขึ้นแสงเทียนเคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง ร่างที่เงียบสงบค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอก
คิ้วเรียงสวย รูปร่างบอบบางใบหน้าอันขาวซีดนั้นไม่สามารถซ่อนความงดงามของนางได้ นายท่านสามเงยหน้าขึ้น ใบหน้างามในความทรงจำสะท้อนขึ้นในรูม่านตาของเขา!
…………………………