คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 17 ท่านแม่
หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเที่ยง หมิงเวยค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องหลิวจิ่ง
“ท่านแม่” ฮูหยินสามกำลังพับกระดาษหยวนเป่า[1]สำหรับถวายแก่เสวียนหนี่เหนียงเหนียง
พอเห็นบุตรสาวเข้ามานางจึงยิ้มแล้วกวักมือเรียก “เข้ามาสิลูก”
หมิงเวยเดินเข้าไปหา แล้วท่านแม่ก็จับมือนางแล้วสอนพับหยวนเป่ากระดาษ
“ตอนที่ลูกอาการไม่ดีขึ้น ตอนเย็นแม่จะมาคัดลอกพระคัมภีร์ที่นี่ทุกวันไม่เคยขาด”
หมิงเวยยิ้ม “หลังจากนี้ลูกจะมาคัดเองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามถาม “ลูกรู้ตัวหนังสือด้วยหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “เสวียนหนี่เหนียงเหนียงสอนลูกหมดทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามมองนาง ดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้นฉายแววเศร้า “เจ้าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เป็นสิ่งที่แม่ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้แล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะ” หมิงเวยหยิบหยวนเป่ากระดาษมาวางไว้ข้างกาย
ฮูหยินสามก้มหน้าลงแล้วพูดไปพลางพับกระดาษไป “การยืนหยัดในสิ่งที่ไร้ผล หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความเหงา ทุกครั้งที่คิดว่ายืนหยัดต่อไปไม่ไหว แม่ก็จะคิดว่าถ้าเสี่ยวชีของแม่หายแล้วจะเป็นอย่างไร ท่านพ่อของลูกฉลาดขนาดนั้น ลูกต้องฉลาดมากแน่ๆ ทั้งรู้ความ ทั้งกตัญญู…”
ฮูหยินสามพูด น้ำตานางไหลไม่หยุด
หมิงเวยเอื้อมมือไปกอดนาง “ท่านแม่…อย่าได้กังวล หลังจากนี้ไปท่านแม่หวังให้ลูกเป็นอย่างไร ลูกก็จะเป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามเช็ดน้ำตา นางยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่…เสี่ยวชี ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร แม่ก็ชอบที่ลูกเป็นอย่างนั้น”
หมิงเวยเงียบแล้วพูดเสียงแผ่วเบา “ลูก…กลัวทำให้ท่านแม่ตกใจ”
“มีอะไรที่น่าเศร้ายิ่งกว่าในอดีตอีกหรือ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วแม่ยังไม่นึกไม่ฝันเลย” ฮูหยินสามลูบหน้านาง “เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป เจ้าเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเถิด”
พูดจบนางก็ยิ้มแล้วกลับไปพับหยวนเป่ากระดาษต่อ
หมิงเวยมองนางอย่างเงียบๆ นางสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก ติดตามท่านอาจารย์มาตั้งแต่นางจำความได้
นางเคยถามท่านอาจารย์ว่า ท่านแม่นั้นเป็นคนอย่างไร
ท่านอาจารย์บอกแค่ว่า นางเป็นหญิงสาวจิตใจดี
หมิงเวยเองก็คิดอยู่หลายครั้งว่าหากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่นางจะเป็นอย่างไร นางจะแต่งตัวให้ข้า คอยปลุกข้าที่กำลังนอนสบายอยู่บนเตียง รู้สึกเจ็บปวดเวลาที่เห็นข้าได้รับบาดเจ็บจากการฝึก…แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่จินตนาการ
ณ ตอนนี้ นางได้พบกับฮูหยินสาม ในที่สุดก็รู้แล้วว่าแม่ที่รักลูกเป็นอย่างไร
แม้นางจะรู้สึกผิดต่อคุณหนูเจ็ด แต่นางก็คิด…ที่จะต้องการความรักนี้มาเป็นของตนเอง
เพราะฉะนั้นพวกคนที่มารบกวนพวกนาง จะต้องจัดการเสียให้หมด
หมิงเวยพับหยวนเป่ากระดาษต่อ “ท่านแม่ ท่านอาสี่เป็นคนอย่างไรหรือ”
ฮูหยินสามตอบ “ท่านอาสี่ของเจ้างั้นหรือ จริงๆ แล้วเขาเป็นคนดีนะ อย่ามองเขาในแง่ร้ายเลย อันที่จริงเขาดูแลพวกเราเป็นอย่างดี พวกเราลูกกำพร้าพ่อแม่หม้ายสามี ธุรกิจข้างนอกนั่นก็ได้ท่านอาสี่ของเจ้าเป็นคนดูแลให้ ในช่วงปีแรกๆ ร้านค้า ที่ดิน และค่าเช่ารายปีที่ท่านพ่อของเจ้าสร้างไว้ล้วนได้ส่งมอบให้แม่ตรงเวลา สิ่งดีๆ ทั้งหมดจะถูกส่งไปยังสวนอวี๋ฟางก่อน”
“ท่านแม่พูดมาเช่นนี้ ท่านอาสี่ช่างเป็นคนดีจริงๆ”
แววตาของฮูหยินสามวูบไหว “อย่างน้อยในบรรดาท่านลุงท่านอาทั้งหลายของเจ้า เขาก็เป็นคนที่ดีที่สุด”
หมิงเวยพยักหน้า นางฟังความนัยจากคำพูดที่เปล่งออกมา
ท่านลุงท่านอาท่านอื่น แน่นอนว่ามีบางอย่างที่ไม่ดี
“ท่านแม่ ลูกได้ยินพวกเขาพูดว่า ปีนั้นพอพวกเรากลับมาจากเมืองหลวง ที่สวนอวี๋ฟางก็มีผีสิงหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสามหยุดชะงัก “หลังจากนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสามยิ้มบางๆ “หลังจากนั้นไม่มีผีแล้ว”
“อยู่ๆ ก็ไม่มีผีแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม อาจเป็นเพราะฮวงจุ้ยของสวนเราดี หยางชี่พวกนั้นเลยหายไปแล้ว!”
หมิงเวยไม่ถามต่ออีก สองแม่ลูกสนทนากันอย่างช้าๆ จนกระทั่งพับหยวนเป่ากระดาษเสร็จ ด้านนอกมีเสียงคนดังขึ้นเบาๆ ว่า
“…พี่แปด ท่านแม่บอกว่าห้ามวิ่งเล่น…”
“ไอหยา เจ้ากลับไปแล้วไม่พูด ท่านแม่จะรู้ได้อย่างไร”
“แต่ว่า…”
“จะแต่อะไรอีก เงียบไปเลย!”
“โอ้…”
ฮูหยินสามเดินออกไปดู เห็นเด็กน้อยสองคนชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ ก็หัวเราะ “นั่นอาเซียงกับคุนเกอรึเปล่า”
“ไอหยา ถูกพบแล้ว!” นั่นเป็นเสียงของคุณชายเก้า หมิงคุน
จากนั้นเขาก็ถูกหมิงเซียงตบหัว “เป็นเพราะเจ้า พูดเสียงดังทำไมกัน!”
หมิงคุนเบะปากไม่กล้าพูด
“อาเซียง!” ฮูหยินสามตำหนิ “อย่ารังแกน้อง มา เข้ามาทานของว่างข้างในสิ”
หลังจากนั้นไม่นาน คุณหนูแปดหมิงเซียงก็พาหมิงคุนวัยเก้าขวบเข้ามาด้วยความลำบากใจ
“ท่านป้าสาม…”
ฮูหยินสามเปิดกล่องผลไม้เคลือบน้ำตาล “พวกเจ้าสองคนนี่ลาภปากจริงๆ รู้ได้อย่างไรว่าป้าเพิ่งไหว้ผลไม้เคลือบน้ำตาลพวกนี้ มา ลองชิมดูสิ”
ดวงตาของหมิงเซียงเป็นประกาย
ในตระกูลหมิงใครๆ ต่างก็รู้ว่า ฮูหยินสามนางรักบุตรสาวเท่าชีวิต เพราะว่าคุณหนูเจ็ดชอบของหวานมาก จึงได้เชิญอาจารย์ด้านผลไม้เคลือบน้ำตาลพิเศษจากทางใต้ ซึ่งก็คือแคว้นฉู่มา
แคว้นฉีกับแคว้นฉู่มีแม่น้ำคั่นระหว่างกัน ทั้งสองแคว้นเป็นศัตรูกันจึงมีการติดต่อกันน้อยมาก รสชาติของทางใต้จึงหาชิมได้ยาก
“อืมๆ อร่อย!”
ฮูหยินสามรินชาสองแก้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่าทานเยอะล่ะ ประเดี๋ยวจะทานข้าวเย็นไม่ลง แล้วท่านแม่ของเจ้าจะรู้เข้า”
หมิงเซียงยิ้มหวานให้นาง ท่าทางเฉลียวฉลาดน่าเอ็นดู “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านป้าสาม”
ฮูหยินสามหันไปพูดกับหมิงเวย “แม่จะกลับไปพักเสียหน่อย ลูกพาน้องๆ ไปเดินเล่นสักครู่ อย่าไปเล่นซนกันล่ะ แล้วอย่าไปอยู่ใกล้น้ำมากเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”
ฮูหยินสามเก็บหยวนเป่ากระดาษเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องหลิวจิ่งไป
ในห้องจึงเหลือเพียงเด็กสามคนที่มองหน้ากัน หมิงเวยยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น จิบชาอย่างช้าๆ ปล่อยให้หมิงเซียงกับหมิงคุนทานของหวานไป
ในที่สุดเป็นหมิงเซียงที่ทนไม่ไหว “พี่เจ็ด พี่ไม่ได้ชอบทานผลไม้เคลือบน้ำตาลหรอกหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยยิ้ม “พวกเจ้ากินเถอะ ข้ากินมันทุกวันอยู่แล้ว”
“อ้อ…”
หมิงเซียงดื่มชาอึกใหญ่ สายตามองไปยังหมิงเวย
นางกับพี่เจ็ดคนนี้พูดคุยกันน้อยมาก เพราะว่าอาการป่วยจึงได้รับการปกป้องดูแลอยู่เสมอ หากนางเป็นอะไรขึ้นมาพวกผู้ใหญ่ก็จะกังวลใจ แล้วนางก็ไม่ใช่คนที่เล่นกับใครอย่างระมัดระวังเท่าใดนัก นางจึงไม่ได้มาหาพี่เจ็ดคนนี้
พี่เจ็ดในตอนนี้ดูแปลกไปกว่าเดิม…
การพูดการจาของนางดูไม่เหมือนเด็กอีกต่อไป แต่กลับเหมือนผู้ใหญ่ รอยยิ้มและสายตาที่มองมายังหมิงเซียงนั้นราวกับมองเด็กคนหนึ่ง…
“พี่เจ็ด ท่านหายแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่”
หมิงเวยกางแขน “เจ้าดูสิ”
หมิงเซียงมองอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ท่านหายแล้วจริงๆ ด้วย พี่สี่บอกว่า ก่อนหน้านี้ท่านพ่อของข้าวิ่งอย่างร้อนรนเพื่อมาพูดอะไรบางอย่างกับท่าน แต่สุดท้ายก็กลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่เจ็ด! ท่านสุดยอดมาก ท่านพ่อของข้าเป็นคนขี้โมโห ขนาดท่านแม่ยังต้องหาทางเลี่ยงเลย”
รอยยิ้มของหมิงเวยหายไป “ที่แท้เจ้าก็มาเพราะเรื่องนี้หรอกหรือ”
“ใช่!” หมิงเซียงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือที่เปื้อนน้ำตาล “ท่านพ่อของข้าอารมณ์ร้อน คนที่กล้าสนทนากับเขาที่กำลังอารมณ์ร้อนถือว่าเป็นนักรบ!”
หมิงเวยรู้สึกสนใจ “ท่านอาสี่รู้ไหมว่าเจ้าพูดถึงเขาแบบนั้น”
“ท่านพ่อไม่ได้ยินอยู่แล้วเจ้าค่ะ” หมิงเซียงถามอย่างกระตือรือร้น “พี่เจ็ด ท่านสอนข้าได้หรือไม่ ท่านจัดการท่านพ่อของข้าอย่างไรหรือ ท่านพ่อมักจะด่าข้าเสียเละเทะ ข้าโตขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องรักษาหน้าไว้หน่อยหรืออย่างไร”
หมิงเวยจิบชาด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย “ตกลง แต่เจ้าต้องรับปากข้าอย่างหนึ่งก่อน”
“ท่านบอกมาได้เลยเจ้าค่ะ!” หมิงเซียงดีใจ “หากข้าทำได้ข้าก็จะทำแน่นอน”
หมิงเวยหยุดชะงัก “เจ้าก็รู้ว่าข้าเพิ่งหายดี มีหลายเรื่องในเรือนนี้ที่ข้ายังไม่รู้ เจ้ามาพูดคุยกับข้า คอยบอกเรื่องต่างๆ ภายในเรือน แล้วข้าจะบอกวิธีจัดการท่านพ่อของเจ้า ตกลงหรือไม่”
“ได้ ข้ารับปากเจ้าค่ะ!” หมิงเซียงยื่นมือไปหานาง
ก็เพื่อ…
หมิงเวยหัวเราะ ยื่นมือตบมือสาบานรับปากกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ “เป็นอันตกลง”
………………………………
[1] หยวนเป่า : เงินจีนในสมัยโบราณประเภทหนึ่ง มีผู้เรียกมันว่า “เงินตำลึงจีน” ด้วยเช่นกัน หยวนเป่ามีลักษณะเป็นแท่งเงินปลายโค้งสูงทั้งสองข้าง มีรูปร่างคล้ายๆ เรือตรงกลาง ตรงกลางแต่เดิมแบนราบ ภายหลังได้ทำให้มันนูนป่องขึ้นตรงกลาง ด้านข้างของเงินหยวนเป่าจะนิยมแกะสลักลวดลายมงคลแบบต่างๆ และมักจะมีอักษรมงคลสลักไว้ด้านข้าง ในวัฒนธรรมจีน หยวนเป่าจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวยนั้นเอง