คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 18 เรื่องราวในอดีต
อากาศอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วันดวงอาทิตย์ก็ได้นำความร้อนมาให้แล้ว ดอกไม้ในสวนอวี๋ฟางจำนวนไม่น้อยได้ผลิบานแล้ว
หมิงเวยพาเด็กน้อยทั้งสองออกไปเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างนอก
ตัวฝูนำเหล้าผลไม้มาและเทใส่แก้วให้พวกเขาทั้งหมด จากนั้นก็บอกว่า “ฮูหยินกำชับว่าให้ดื่มคนละหนึ่งแก้วเท่านั้นเจ้าค่ะ” หมิงเซียงโห่ร้องจากนั้นก็หยิบแก้วเคลือบสีขึ้นมา
เหล้าผลไม้สีแดง พอถูกเทอยู่ในภาชนะเคลือบสีแล้วดูสวยงามมาก
“หวานมากเลย!” คุณชายเก้าหมิงคุนดื่มเข้าไปอึกใหญ่ เหล้าผลไม้มีรสชาติอ่อนมาก แต่มีการเติมน้ำผึ้งลงไปเพื่อให้เด็กสามารถทานได้
หมิงเวยดื่มไปแค่อึกเดียวก็วางลง มันหวานเลี่ยนเกินไป นางไม่ชินกับรสชาตินี้
ในยุคที่นางเกิดเป็นช่วงเวลาที่ปั่นป่วนที่สุดในแคว้นฉีเหนือ
แคว้นฉีเหนือมีอายุเพียงร้อยปี เหวินตี้ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากไท่จู่[1] แต่พระองค์ก็ได้สวรรคตก่อนที่จะได้มีการถอดถอนฮ่องเต้ หลังจากการถอดถอนฮ่องเต้ ยี่สิบเจ็ดปีต่อมา ผ่านไปห้ายุคสมัยของฮ่องเต้จนถึงฮ่องเต้องค์สุดท้าย ได้ถูกเป่ยหูรุกรานจนทำให้ราชวงศ์นี้สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์
ในช่วงเวลานั้นมีเพียงฮ่องเต้สามองค์เท่านั้นที่ครองราชย์มานานกว่าสิบปี ซึ่งได้แก่ ไท่จู่ เหวินตี้ หลิงตี้
นางเกิดมาในช่วงยี่สิบเจ็ดปีที่วุ่นวายนั้น
ในช่วงเวลานั้นพิธีเสื่อม ดนตรีเสีย[2] ราษฎรเดือดร้อนจนไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้
ความทรงจำครั้งแรกของหมิงเวยคือนางติดตามท่านอาจารย์เดินทางท่องยุทธภพ
แน่นอนว่าท่านอาจารย์ไม่ยอมปล่อยให้นางหิว การคงเส้นคงวาเป็นคำขอที่มากเกินควรอย่างหนึ่ง
ในบางครั้ง พวกเขาเป็นแขกรับเชิญของเหล่าขุนนาง การได้ดื่มกินอย่างหรูหราหาได้มีค่าไม่ แต่ในยามที่ยากลำบาก การกินนอนในป่าถือเป็นเรื่องปกติ
ซึ่งนั่นทำให้หมิงเวยมีความรู้สึกสงบยามอยู่ต่อหน้าอาหารเลิศรส
แน่นอนว่านางชื่นชอบอาหารเลิศรส แต่นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงใหลไปกับมันเด็ดขาด
“ท่านป้าสามใจดีมากเลย! ไม่เหมือนท่านแม่ของข้า เข้มงวดกับพวกเรามากเกินไป” หมิงเซียงพูด
หมิงเวยหัวเราะ “หากนางกลายเป็นท่านแม่ของเจ้า นางอาจจะเข้มงวดกับเจ้ามากกว่านี้ก็เป็นได้”
“เป็นไปไม่ได้!” หมิงเซียงโบกมือค้าน “ในเรือนนี้ท่านป้าสามดีที่สุดแล้ว ท่านป้าสองเข้มงวดมาก ขนาดน้องหกยังไม่กล้าพูดเสียงดังเลย ส่วนท่านอาหญิงหก…” นางทำปากยื่น “แค่ดูแลเรื่องขนไก่เปลือกกระเทียม[3]ในเรือนของท่านอาหก ท่านก็ยุ่งพอสมควรแล้วเจ้าค่ะ”
“อ้อ ในเรือนของท่านอาหกมีเรื่องยุ่งมากมายงั้นหรือ”
“ทำไมจะไม่เยอะเล่าเจ้าคะ พี่เจ็ด ข้าจะบอกให้…” หมิงเซียงพูดอย่างคึกคัก
บุตรสาวตระกูลหมิงมีจำนวนไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่เกิดจากนายท่านสองคนที่อยู่เมืองหลวง ส่วนคนที่อยู่เมืองตงหนิง นอกจากบุตรสาวคนโตของนายท่านสองที่ออกเรือนไปแล้วก็เหลือแค่พวกนาง ก่อนหน้านี้หมิงเวยป่วย หมิงเซียงจึงไม่มีเพื่อนเล่นยามที่อาศัยอยู่ในเรือน ในที่สุดตอนนี้นางก็มีเด็กสาววัยเดียวกันที่สามารถพูดคุยด้วยได้สักที
“ในครอบครัวของพวกเรา ท่านอาหกโดดเด่นที่สุดแล้ว มีหญิงสาวอยู่ในห้องมากมาย นอกจากนี้ท่านอายังเป็นแขกประจำของเทียนเซียงโหลวได้ยินมาว่าแม้แต่แม่หม้ายสวยๆ อายุน้อยท่านอาก็ยังเกี้ยว”
“พี่แปด!” จู่ๆ หมิงคุนก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ท่านแม่บอกว่า ท่านพี่เป็นเด็กผู้หญิง ไม่ควรปากพล่อย เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวควรพูด”
พอถูกน้องชายสั่งสอนหมิงเซียงก็ถลึงตาใส่
หมิงเวยยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดอย่างจริงจัง “อืม ที่ท่านอาหญิงสี่พูดมาก็ถูกนะ น้องแปดอย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะ ผู้อื่นได้ยินเข้าจะไม่ดี แต่พวกเราเป็นพี่น้องกัน เจ้าพูดกับข้าอย่างเงียบๆ ได้ ข้าจะไม่พูดออกไปแน่นอน”
จากสีหน้าโกรธของหมิงเซียงกลายเป็นนิ่ง “เรื่องนี้ไม่ใช่พี่เจ็ดไม่รู้หรอกหรือ ข้าจะบอกแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ”
พูดแล้วก็ถอนหายใจ “พี่น้องผู้หญิงในครอบครัวเราล้วนอยู่ที่เมืองหลวง! ปกติไม่มีใครให้มาเล่นด้วย พี่เจ็ด ตอนนี้ท่านก็หายดีแล้ว หลังจากนี้ข้ามาเล่นกับท่านได้หรือไม่ ป่าดอกท้อที่เรือนของฉีตงจวิ้นอ๋องงดงามมาก เมื่อถึงเวลาดอกไม้คงบานพอให้เราไปชมได้”
นิ้วของหมิงเวยปัดถ้วยแก้วออกเบาๆ “เรือนฉีตงจวิ้นอ๋องงั้นหรือ…”
“โอ้ พี่เจ็ดคงไม่รู้ ฉีตงจวิ้นอ๋องเป็นหลานชายคนปัจจุบัน ที่ที่พวกเราอาศัยอยู่ก็เป็นที่ดินที่ท่านทรงไว้วางใจแบ่งให้ ท่านมีบุตรสาวสองคน อายุไล่เลี่ยกันกับพวกเรา แล้วยังมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเราอีกด้วยเจ้าค่ะ”
หมิงเวยจำฉีตงจวิ้นอ๋องได้ ท่านเป็นบุตรของฉินอ๋องผู้เป็นโอรสองค์รองของไท่จู่
ในศักราชหยวนคังปีที่ยี่สิบเจ็ด ได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในราชวงศ์ยุคนี้
โอรสทั้งสามพระองค์ของไท่จู่ซึ่งก็คือ ไท่จื่อ ฉินอ๋อง จิ้นอ๋อง ทั้งสามพระองค์ได้ต่อสู้กันและจบลงด้วยการที่ไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะ ไท่จื่อสิ้นพระชนม์ ฉินอ๋องเสียชีวิตระหว่างที่ถูกเนรเทศ ส่วนจิ้นอ๋องก็ฆ่าตัวตาย
ไท่จู่สูญเสียโอรสทั้งสามในคราวเดียวกัน พระองค์เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ประคองตนเองให้มีชีวิตได้อีกหนึ่งปีพระองค์ก็เสด็จสวรรคต
หลังจากนั้นจ้าวอ๋องก็ขึ้นครองราชย์ ซึ่งก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
ด้วยความเมตตากรุณาต่อพี่น้องและลูกหลาน นอกเหนือจากไท่จื่อที่ไม่มีทายาทแล้ว บุตรชายบุตรสาวของฉินอ๋องและจิ้นอ๋องล้วนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นอ๋อง[4] และจวิ้นจู่[5]
ฉีตงจวิ้นอ๋องท่านนี้ หากนางจำไม่ผิด อีกไม่กี่ปีต่อมาจะถูกริบยศกลายเป็นสามัญชน
นางเคยเห็นเรื่องนี้ในบันทึกก่อนหน้านี้ซึ่งถูกเขียนด้วยถ้อยคำที่คลุมเครือ
แต่สาเหตุที่จวิ๋นอ๋องถูกริบยศนั้นส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงมักเป็นเรื่องของการกบฏ
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหมิงกับฉีตงจวิ้นอ๋องดีขนาดนั้นเลยหรือ ในบันทึกไม่เห็นอธิบายไว้เลย อาจเป็นไปได้ว่าทายาทของตระกูลหมิงไม่พอใจและไม่ต้องการให้ถูกกล่าวถึง
สายตามองไปยังตะวันตกดิน หมิงเซียงที่ไม่กล้าอยู่ต่ออีกจึงรีบกลับไปพร้อมกับน้องชาย
แต่หมิงเวยกลับเดินไปหาต้นหลิวด้านนั้นเพื่อมองมัน
“คุณหนู กำแพงก็รื้อถอนออกไปแล้วจะให้ทำอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ” ตัวฝูถามอย่างเป็นห่วง
หมิงเวยหัวเราะ นางหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาแล้ววาดวงกลมรอบต้นหลิว
“ถ้าไม่เข้ามาในเขตวงกลมนี้ ก็จะไม่เกิดเรื่องขึ้น”
อันที่จริงกำแพงนี้จะรื้อถอนหรือไม่รื้อถอนก็ไม่มีผลใดๆ เปลี่ยนเคล็ดวิชานั้นง่ายมาก แค่เคลื่อนย้ายทิศทางก็เรียบร้อยแล้ว
ที่นางรื้อถอนกำแพงก็เพื่อทดสอบนายท่านสี่ แต่ดูเหมือนว่านายท่านสี่ถึงจะดูต่างออกไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้บงการ
อืม คงต้องคิดหาวิธีอื่นเสียแล้ว…
……
หมิงเซียงเพิ่งพูดถึงฉีตงจวิ๋นอ๋องไป วันรุ่งขึ้นฮูหยินสี่ก็มาที่นี่เพราะเรื่องนี้
หมิงเวยเดินเข้ามาในห้องก็ได้ยินนางพูดว่า “วันนั้นท่านป้าสะใภ้บอกว่าเสี่ยวชีหายดีแล้วควรจะออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง งานเลี้ยงชมดอกไม้ที่จวนฉีตงจวิ้นอ๋องเป็นโอกาสที่ดี ใครเล่าจะคาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น หมิงเซียงคงไม่ได้ไปเสียแล้ว”
“ท่านแม่ ท่านอาหญิงสี่” หมิงเวยกล่าวทักทาย แล้วพยักหน้าให้หมิงเซียงที่กำลังสวมบทกุลสตรีอยู่
หมิงเซียงก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา นางโบกมือ “พี่เจ็ด พวกเราไปนั่งข้างนอกกันเถอะเจ้าค่ะ” ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงออกไปข้างนอกกัน
หมิงเวยเดินตามแต่ไม่ได้พูดอะไรจึงถูกหมิงเซียงบ่นแทรกขึ้นมาว่า “ข้ารอคอยมานานแล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ไม่ต้องไปที่จวนจวิ้นอ๋อง”
“ทำไมหรือ” หมิงเวยถาม นางรับหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี
หมิงเซียงถอนหายใจยาว “เพราะว่ามีคนไม่ดีมางานด้วยเจ้าค่ะ”
“อืม”
“ท่านเคยได้ยินชื่อโป๋หลิงโหว[6]หรือไม่เจ้าคะ”
หมิงเวยนึก “หรือจะเป็น…พระสวามีขององค์หญิงหมิงเฉิง”
“นั่นมันเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อนเจ้าค่ะ!” หมิงเซียงพูด “โป๋หลิงโหวคนปัจจุบันเป็นบุตรชายคนโตขององค์หญิงหมิงเฉิง”
“โอ้…”
องค์หญิงหมิงเฉิงเป็นธิดาคนโตของไท่จู่ ในช่วงต้นปีได้ติดตามไท่จู่บุกเข้ายึดอำนาจ ถือเป็นการสร้างคุณงามความดีเป็นหญิงที่ไม่ต่างจากชายชาตรี
โป๋หลิงโหวหยางว่าง พระสวามีของนางเองก็เป็นวีรบุรุษด้วยเช่นกัน
น่าเสียดายที่ลูกหลานของพวกเขาไม่มีใครมีความสามารถและไม่มีใครที่ควรค่าแก่การจารึกลงในบันทึก ชาติที่แล้วจำองค์หญิงหมิงเฉิงได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะช่วงเวลานั้นสถานศึกษาหมิงเฉิงได้รับการสืบทอดมาจนกระทั่งแคว้นล่มสลาย
“คนไม่ดีหมายถึงผู้ใดหรือ มีความเกี่ยวข้องกับโป๋หลิงโหวงั้นหรือ”
“เป็นคุณชายสามแห่งจวนโป๋หลิงโหว เขามีชื่อเสียงมากในเมืองหลวงเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงของหมิงเซียงดูขุ่นเคือง แววตาของนางเป็นประกาย
หมิงเวยถามอย่างสบายๆ ว่า “โอ้ แล้วทำไมเขาถึงมีชื่อเสียงล่ะ”
………………………………………………………
[1] ไท่จู่ : องค์ปฐมจักรพรรดิ
[2] พิธีเสื่อม ดนตรีเสีย : สภาวะที่ระบอบเก่าที่ลงตัวมาตลอดเริ่มเสื่อมโทรม
[3] ขนไก่เปลือกกระเทียม : เล็กน้อยไร้ความสำคัญ
[4] จวิ้นอ๋อง : เป็นตำแหน่งรองจากอ๋อง เป็นตำแหน่งเริ่มต้นที่จักรพรรดิมอบให้พระโอรส ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้นอกจากโอรสของจักรพรรดิแล้ว โดยมากยังมีพระโอรสของหวงไท่จื่อหรือพระโอราในอ๋อง ซึ่งเป็นพระนัดดาในองค์จักรพรรดิด้วย
[5] จวิ้นจู่ : ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงหรือท่านหญิงขั้นหนึ่ง ชั้นรอง ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ จะต้องเป็นพระธิดาในหวงไท่จื่อหรือองค์รัชทายาทเท่านั้น
[6] โหว : เป็นฐานันดรศักดิ์หรือชนชั้นทางสังคมที่แปลว่าไม่ใช่คนสามัญ การจะมีฐานะเป็นโหวได้มีสองแบบคือ เป็นโดยกำเนิดคือเป็นลูกของอ๋อง อีกแบบหนึ่งคือโดยการแต่งตั้งโดยฮ่องเต้เนื่องจากทำความดีความชอบแก่แผ่นดินหรือแก่ราชวงศ์ หรือเพราะมีพระราชเสน่หาเป็นส่วนตัว หรือเป็นญาติของฮองเฮา ศักดินานี้ถือว่าสูงสุดที่คนธรรมดาจะได้รับพระราชทานได้