คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 198 แทนที่
จากคำบอกเล่าของเหวินหรูที่เล่ามาอย่างต่อเนื่องในที่สุดหมิงเวยก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณหนูตระกูลเหวินที่หายตัวไปนั้นแท้จริงแล้วคือเหวินอิง ไม่ใช่เหวินหรู
คืนนั้นเกิดความวุ่นวายมากเมื่อเหวินหรูกลับมาที่จวนก็ได้รู้ว่าพี่สามหายตัวไป จากนั้นภายในจวนก็เกิดความสับสนวุ่นวาย นางเองก็ไม่สนใจที่จะไปเข้าเรียน
ผ่านไปสองวันเหวินหรูถึงได้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
คนอาวุโสในเรือนไม่ยอมให้นางออกไปข้างนอก เหวินหรูเป็นกังวลจึงให้สาวใช้ออกไปสอบถามเรื่องของเหวินอิง ผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นข่าวที่น่าตกใจ
จวนเฉิงเอินโหวประกาศออกไปว่าคนที่หายตัวไปคือเหวินหรู คุณหนูสี่ ไม่ใช่เหวินอิง คุณหนูสาม
เหวินหรูเป็นคนโง่นางอยู่ในเรือนอยู่ดีๆ จะไปหายตัวได้อย่างไร นางเป็นคนมุทะลุจึงรีบตรงไปหาเฉิงเอินโหวฮูหยินเพื่อสอบถาม กลับกลายเป็นว่านางถูกพี่สะใภ้ใหญ่ลากเข้าห้องและพูดอะไรบางอย่างออกมา
คำพูดที่ออกมาจากปากพี่สะใภ้เสมือนมีสายฟ้าฟาดเข้าที่ศีรษะของนาง
“น้องสี่ เจ้าสูญเสียบิดาตั้งแต่ยังเล็กถูกคนในตระกูลกลั่นแกล้งพวกเราไปรับเจ้ามาให้อยู่เป็นเพื่อนน้องสาม หลายปีมานี้น้องสามมีอะไรเจ้าก็ได้อย่างนั้น พวกเราไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง แต่ตอนนี้น้องสามกำลังลำบากถึงเวลาที่เจ้าต้องตอบแทนบุญคุณตระกูลเฉิงเอินโหวแล้ว”
หมิงเวยเลิกคิ้วถามนาง “ดังนั้นพวกเขาเลยประกาศออกไปว่าคนที่หายตัวไปคือท่านเพื่อปกปิดเรื่องของเหวินอิงงั้นหรือ”
เหวินหรูพยักหน้าพลางสะอื้น “พวกเขาบอกว่าชื่อเสียงของพี่สามสำ…”
หมิงเวยแค่นหัวเราะ “ชื่อเสียงของนางสำคัญแล้วชื่อเสียงของท่านไม่สำคัญงั้นหรือ”
เหวินหรูพูดเสียงเบา “ท่านลุงคิดจะให้พี่สามแต่งกับไท่จื่อ…”
“….” หมิงเวยลูบหน้าผากนางพูดไม่ออก “พวกท่านที่มาจากตระกูลอันสูงศักดิ์คิดอะไรกันอยู่ ตอนแรกการคัดเลือกพระชายาให้ไท่จื่อก็ไม่ได้เลือกตระกูลท่านอยู่แล้ว ยังไม่เข้าใจความหมายของฝ่าบาทอีกหรือในตอนนั้นไม่เลือกพวกท่านตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน!”
ไท่จื่ออายุยี่สิบสี่แล้วได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสไปเมื่อแปดปีก่อน คนที่ถูกเลือกเป็นคุณหนูจากตระกูลฮั่นหลิน น่าเสียดายที่ไท่จื่อเฟยโชคไม่ดีนักจึงจากไปเมื่อปีก่อน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการคัดเลือกพระชายาอีกครั้ง
หมิงเวยไม่เข้าใจคนเหล่านี้เลยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาพระญาติฝั่งฮองเฮาต้องการให้เด็กสาวฝั่งตนแต่งเข้าราชวงศ์ แต่พฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งที่ราชวงศ์ไม่ชอบมากที่สุด
ญาติฝั่งมารดาเป็นใหญ่ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าฮ่องเต้ไม่พอพระทัย ไท่จื่อเองก็คงไม่พอใจเช่นกัน เหวินหรูมีสีหน้าสับสน “ไท่จื่อดีต่อพี่สามมากนะ!”
“นางเป็นลูกพี่ลูกน้องจะปฏิบัติต่อนางไม่ดีได้อย่างไร” หมิงเวยยิ้มเย็น “ลูกพี่ลูกน้องกับภรรยาหรืออนุไม่เหมือนกัน เมื่อแต่งเข้าเป็นภรรยาหรืออนุของเขาแล้วก็จะกลายเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ท่านรอดูสิถึงไท่จื่อจะปฏิเสธทางอ้อม แต่เขาต้องไม่ยอมให้คุณหนูจากจวนเฉิงเอินโหวอย่างพวกท่านได้เป็นพระชายาคนแรกอยู่แล้ว”
เหวินหรูอ้าปากแต่ไม่พูดอะไร
“นอกจากนี้จวนเฉิงเอินโหวให้ความสำคัญต่อตนเองมากเกินไปหรือเปล่า ตอนนี้พวกท่านอาจมีอำนาจอยู่ แต่สามารถเปรียบเทียบกับข้าราชสำนักที่มีอำนาจได้หรือไม่ ไท่จื่อกังวลว่าตำแหน่งของตนเองไม่มั่นคงเขาจึงต้องเลือกคุณหนูจากตระกูลข้าราชสำนักมาเป็นพระชายาคนแรก ให้เลือกพวกท่านหรือดูเป็นการทำเรื่องที่เกินความจำเป็นไปนะ!”
หมิงเวยปวดหัวนางเพิ่งคิดได้ว่าตนเองไม่ควรพาเหวินหรูกลับมาด้วยเลย
แต่เมื่อลองคิดดูตอนนั้นเหวินหรูมีสภาพเช่นนั้นหากไม่พากลับมาด้วย แล้วจะจัดการกับนางอย่างไร
การกลั่นแกล้งกันระหว่างเด็กหญิงทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้คงไม่ได้เห็นนางมาเดินเร่ร่อนบนถนน
“ดังนั้นท่านเลยออกมาตามหาเหวินอิงด้วยตนเองงั้นหรือ”
เหวินหรูกัดปาก “ข้า…อย่างไรเสียชื่อเสียงของข้าก็เสียไปแล้ว…”
หลังถูกพี่สะใภ้สั่งสอนมาเหวินหรูก็เหมือนรู้สึกตกตะลึง นางเองก็เป็นเด็กสาวในครอบครัว แค่เพียงเพราะบิดาแท้ๆ เสียชีวิตไปนางก็กลายเป็นคนไร้ค่าเลยหรือถึงต้องเสียสละให้พี่สาวด้วยวิธีเช่นนี้
นางนั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรมาทั้งคืนสวมเสื้อผ้าของสาวใช้แล้วตัดสินใจที่จะแอบหนีออกมา ในเมื่อในสายตาของพวกเขาพี่สามสำคัญมาก ถ้าเช่นนั้นนางก็จะไปตามหาพี่สาม
หลังจากสอบถามที่สระฉางเล่อไปครึ่งวันไม่ได้ข่าวคราวแม้แต่นิดเดียว นางจึงนั่งอยู่ข้างถนนเป็นเวลานานและตัดสินใจที่จะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อ ดังนั้นนางจึงใช้เส้นทางที่เงียบสงบเพื่อต้องการดึงดูดให้โจรลักพาตัวมาลักพาตัวนางไปผู้ใดจะรู้ว่าโจรลักพาตัวไม่มา แต่เป็นอันธพาลที่มาแทน
“….” หมิงเวยอดไม่ได้ที่จะพูด “สระฉางเล่อมีคนหายตัวไปนานเท่าไรแล้ว ใต้เท้าเจี่ยงเพิ่งได้รับตำแหน่งเมื่อพบเจอเรื่องนี้เขาจะไม่เพิ่มระดับการลาดตระเวนเลยหรือ โจรลักพาตัวพวกนั้นตอนนี้คงหลบซ่อนตัวอยู่ ผู้ใดจะกล้าออกมาลักพาตัวคนกัน ท่านนี่…” หมิงเวยไม่อยากจะพูด
เหวินหรูก้มหน้าดวงตาแดงก่ำยอมปล่อยให้อีกฝ่ายสั่งสอน ตอนแรกนางหุนหันพลันแล่น แต่ตอนนี้นางรู้สึกเสียใจมาก
“เอาล่ะ คืนนี้นอนที่นี่เถอะพรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปส่งท่านกลับจวน”
เหวินหรูรีบพูด “ข้าไม่อยากกลับไป!”
หมิงเวยมองนางอย่างเย็นชา “ท่านลุงของข้าเป็นเพียงซือเยว่ที่กั๋วจื่อเจียน มีหน้าที่เพียงสั่งสอนให้การศึกษาผู้คนไม่เข้าใจความขัดแย้งทางการเมือง ข้าไม่สามารถให้เขาเข้าไปเกี่ยวข้องได้ แล้วอีกอย่างถึงท่านไม่กลับไปแล้วท่านจะทำอะไรได้ ท่านสามารถถอนตัวออกจากตระกูลเฉิงเอินโหวหรือตะโกนบอกให้ทุกคนได้รับรู้ไปว่าคนที่หายตัวไปเป็นคุณหนูสามไม่ใช่คุณหนูสี่งั้นหรือ”
เหวินหรูนึกภาพตามแล้วรู้สึกเย็นวาบนางพึมพำ “หากเป็นเช่นนั้นท่านลุงตีข้าตายแน่…”
“ท่านทราบก็ดีแล้ว” หมิงเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วลดเสียงลง “ท่านไม่ต้องรู้สึกหมดหวังขนาดนั้นหากเกิดเรื่องขึ้นกับเหวินอิงจริงๆ คงยากที่จะแต่งกับไท่จื่อได้ ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นท่านคงสามารถกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ อย่าคิดเยอะเลย นอนเถอะ”
ตัวฝูไม่อยู่เตียงของนางจึงถูกยกให้เหวินหรูนอน รอจนนางหลับไปหมิงเวยจึงไปที่หลังคาเรือนข้างเคียงแล้วเป่านกหวีด บุรุษชุดดำที่ดูไม่โดดเด่นกระโดดเข้ามาในลานอย่างแผ่วเบาและกล่าวทักทาย “แม่นางหมิง”
เดิมทีหมิงเวยคิดที่จะวานให้หยางชูตรวจสอบเรื่องราวในจวนเฉิงเอินโหว แต่เมื่อนึกถึงสถานะอันน่าอับอายของเขาหมิงเวยจึงพับเก็บความคิดนี้ไป
ไม่ว่าเขาจะเป็นบุตรนอกสมรสหรือไม่ แต่เรื่องที่เขาคอยระวังตระกูลเหวินอยู่เป็นความจริง เหตุใดต้องให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
นางโบกมือ “ไม่มีอะไรแล้วท่านไปเถอะ”
บุรุษชุดดำไม่ได้ถามอะไรมากเขาตอบรับแล้วหายไปในคืนที่มืดมิดอีกครั้ง
………….
เวลานี้หยางชูอยู่ที่ศาลาว่าการพอดี
หมิงเวยต้องการตรวจสอบกลุ่มยาจก เจี่ยงเหวินเฟิงเองก็ต้องการตรวจสอบเช่นกัน เขาจึงต้องประสานงานทั้งสองฝ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างทั้งสอง
เมื่อเขาไปถึงศาลาว่าการเจี่ยงเหวินเฟิงกำลังรับประทานอาหารอยู่
“เย็นขนาดนี้แล้วเพิ่งได้ทานข้าว ดูท่าท่านเจ้าเมืองจะยุ่งจริงๆ!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเจี่ยงเหวินเฟิงจึงวางชามตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นกล่าวทักทาย “คุณชายมาได้อย่างไรรับประทานอาหารด้วยกันดีหรือไม่”
หยางชูโบกมือ “ข้าทานมาเรียบร้อยแล้ว ข้ามาเพื่อถามอะไรบางอย่างกับท่าน”
เจี่ยงเหวินเฟิงเรียกบ่าวให้มารินชา พวกเขาทั้งสองเดินทางไปตงหนิงด้วยกันจึงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หยางชูจึงถามออกไปตรงๆ ว่า “ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับโครงกระดูกพวกนั้นกันแน่”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “ยังไม่สามารถระบุตัวตนได้” กลายเป็นกระดูกไปแล้ว แน่นอนว่าคงไม่สามารถระบุตัวตนได้
“เรียกวิญญาณแล้วหรือยัง”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มแล้วถามกลับ “คุณชายต้องการขอความช่วยเหลือจากแม่นางหมิงงั้นหรือ”
หยางชูพยักหน้า “ไม่แน่ว่าอาจจะพบเบาะแสเข้าก็เป็นได้”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจแล้วพูดออกไปว่า “ไม่มีทางเลือกคงต้องขอความช่วยเหลือจากแม่นางหมิง โครงกระดูกพวกนี้ล้วนมีสาเหตุเสียชีวิตที่ไม่ดี หากหาแหล่งที่มาไม่พบไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีคนตายเพิ่มอีกกี่คน”
หยางชูตอบรับแล้วพูดว่า “ทางด้านกลุ่มยาจกพวกท่านจัดการหากำลังคนแล้วหรือยัง”
…………