คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 22 ตื่นเต้น
“เฮ้! นังหญิงแก่นี่!” เจ้าหน้าที่สะพายดาบเดินเข้ามาหาแล้วชี้หน้าใส่หญิงชรา “ต้องการร้องทุกข์ให้ไปตีกลองที่ศาลาว่าการนู่น วันนี้ใต้เท้าเจี่ยงมาเยือนตงหนิงเป็นครั้งแรก อย่ามาก่อกวน!”
หญิงชราเปิดตาเผยให้เห็นดวงตาที่เป็นต้อทั้งสองข้าง นางเอ่ยขอร้อง “ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจะมาก่อกวน แต่ข้าน้อยไม่มีทางเลือกจริงๆ! โปรดให้ทางรอดแก่ข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
เด็กหญิงเองก็ร้องไห้ขอร้อง “ใต้เท้า ท่านแม่ของข้าติดคุก น้องชายของข้ายังไม่หย่านมเลย ได้โปรดให้ทางรอดแก่ข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
พวกนางทั้งสองคุกเข่าคำนับ
คนธรรมดาเห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร หญิงชราผู้นี้ไม่เพียงแก่ชราเท่านั้น แต่ยังตาบอดอีกด้วย ร้องไห้จนตัวสั่นเพราะความอยุติธรรม ทุกคนเห็นแล้วต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ยิ่งเห็นเด็กหญิงร้องไห้อย่างน่าเวทนาด้วยแล้วก็รู้สึกทนไม่ได้
ชาวบ้านบางคนจำยายหลานคู่นี้ได้จึงพูดขึ้นมาว่า “นั่นท่านยายหมี่แห่งหมู่บ้านผูเจียไม่ใช่หรือ บุตรสาวของนางถูกจับเพราะวางยาพ่อตา!”
“ใช่คนจากหมู่บ้านซานชู่รึเปล่า ได้ยินมาว่าลูกสะใภ้ทะเลาะกับพ่อตาเลยวางยาฆ่าเขา”
“มาร้องทุกข์ต่อหน้าเจี่ยงชิงเทียน คงไม่ใช่เพราะถูกปรักปรำหรอกนะ”
“หากเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่การดีเลย ท่านยายหมี่เป็นมารดาของผูชื่อแน่นอนว่านางต้องมาพูดแทนบุตรสาวของตนอยู่แล้ว”
“บ้านท่านป้าของข้าก็อยู่ในหมู่บ้านซานชู่ นางบอกว่าตระกูลผูเป็นครอบครัวกตัญญู วันนั้นเป็นเพราะออกไปเก็บผักโขมสายจึงเรียกพ่อตามาพูดคุย ล้อเล่นกันหรือเปล่าที่วางยาพ่อตาด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”
“ใช่ หมู่บ้านโดยรอบต่างก็บอกว่าบ้านผูเป็นคนดี ไม่เหมือนผู้ที่จะวางยาพ่อตาเลย”
แล้วก็มีคนช่วยท่านยายหมี่ขอร้องเสียงดัง “ใต้เท้า พวกนางยายหลานน่าสงสารมาก เมตตาพวกนางด้วยเถิด”
“ใช่แล้ว! ใต้เท้าเจี่ยงตรวจตราไปทั่วหล้า ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์คดีที่ไม่เป็นธรรมเพื่อราษฎรหรอกหรือ”
“ใช่ๆ ตอนนี้มีคนมาร้องทุกข์แล้วจะรีบไปได้อย่างไรกัน”
เมื่อเห็นเกี้ยวของเจี่ยงเหวินเฟิงมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ท่านยายหมี่ก็ตะโกนออกไปว่า “ใต้เท้า ชีวิตคนสำคัญเท่าฟ้า โปรดให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎรด้วยเถิด”
ในโรงน้ำชา หมิงฮ่าวเบิกตากว้าง “ใต้เท้าเจี่ยงจะตอบรับหรือไม่ เขาคือชิงเทียนผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อมีคนมาร้องทุกข์ ท่านจะไม่สนใจได้อย่างไร”
หมิงเวยตอบ “ถ้าหากเขาไม่สนใจ ผู้คนจำนวนมากจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน”
บัณฑิตโต๊ะข้างๆ ก็พูดคุยถึงเรื่องนี้เช่นกัน หนึ่งในนั้นถอนหายใจ “เช่นนี้ไม่ดีเลย! ยังไม่ทันได้เข้าไปในตัวเมือง เจี่ยงชิงเทียนก็มาเจอคดีไม่เป็นธรรมเสียแล้ว แบบนี้ไม่เป็นการตบหน้าเจ้าหน้าที่ของเมืองตงหนิงหรอกหรือ เขาได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบ หากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีวี่แววเป็นฝ่ายตรงข้าม การเข้าใจเหตุการณ์ที่แท้จริงเห็นทีจะลำบาก”
“ใช่!” สหายของเขาเห็นด้วย “ผู้คนจำนวนมากล้วนไม่รู้เรื่องราวภายใน พวกเราต่างรู้ดีว่ากว่าจะมาเป็นชิงเทียนผู้ยิ่งใหญ่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย การรับผิดชอบราษฎรเป็นเรื่องสมควร แต่เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่เช่นนั้นจะถูกถ่วงขัดขวาง จะทำอันใดก็ไม่สะดวก”
หมิงฮ่าวได้ยินแล้วก็เกาหัว “เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “ที่พวกเขาพูดมาก็ไม่ผิด” แล้วเกี้ยวก็ได้หยุดลงบนถนนใหญ่
เจี่ยงเหวินเฟิงเลิกม่านขึ้นแล้วกำชับกับองครักษ์สองสามประโยค
แล้วองครักษ์ผู้นั้นก็เดินมาทางนี้แล้วพูดว่า “ท่านยายได้โปรดลุกขึ้นเถิด คดีของครอบครัวท่านได้ตัดสินไปแล้ว และจะได้รับการทบทวนตามกฎหมาย ใต้เท้าได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบและทบทวนคดีในพื้นที่ ถึงแม้ท่านจะไม่มาร้องทุกข์ แต่คดีนี้ใต้เท้าจะต้องตรวจสอบอยู่แล้วขอรับ”
ท่านยายหมี่ปฏิเสธที่จะลุกขึ้น นางคว้ามือขององครักษ์แล้วขอร้องอย่างขมขื่น “ใต้เท้า! ข้าน้อยไม่กล้ารอ ข้าน้อยรอได้ แต่บุตรสาวของข้าน้อยรอไม่ไหว หลานชายของข้าน้อยก็รอไม่ไหว! ใต้เท้าได้โปรดตัดสินด้วย ใต้เท้าได้โปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเถิด”
สองยายหลานคำนับไม่หยุด องครักษ์ทำได้แต่ปลอบใจ “ท่านยายไม่ต้องกังวล ใต้เท้าได้มาถึงตงหนิงแล้ว ศาลจะเปิดในวันรุ่งขึ้น พวกท่านรอให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยมา…”
ท่านยายหมี่กลับดื้อรั้นไม่รับฟังและไม่ยอมลุกขึ้น
หากสองยายหลานไม่ยอมลุกขึ้น เกี้ยวก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ กลุ่มคนจึงได้แต่หยุดอยู่บนถนนใหญ่
เวลานั้นเองทหารติดตามผู้เย่อหยิ่งนายหนึ่งเดินมาจากด้านหลัง เขาเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ใต้เท้าเจี่ยง คุณชายให้ข้าน้อยมาถามว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เข้าเมือง”
เสียงอ่อนโยนดังมาจากในเกี้ยว “บอกคุณชายช่วยรอเดี๋ยวก่อน เกิดเหตุการณ์ขึ้นกะทันหัน ข้าน้อยกำลังแก้ไขปัญหาอยู่”
“แก้ไขที่ท่านพูดถึง หมายถึงการชักชวนงั้นหรือ แล้วจะชักชวนไปถึงเมื่อไหร่กัน” ทหารติดตามพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถนนเส้นนี้เดินทางยากลำบาก คุณชายเห็นแก่คำสั่งของฮ่องเต้ ท่านจึงยอมใต้เท้าเจี่ยงมาตลอด ตอนนี้ก็ได้เดินทางมาถึงตงหนิงแล้ว ท่านก็อยากพักผ่อนให้เร็วที่สุดไม่ได้หรือ”
ในเกี้ยวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จึงตอบกลับไปว่า “ข้าประมาทเลินเล่อเอง เหลยหง!”
องครักษ์ท่านนั้นตอบรับ “ขอรับใต้เท้า!”
“เจ้าพาท่านยายและหลานสาวกลับไปที่ศาลาว่าการ”
องครักษ์กำลังจะตอบรับ แต่แล้วด้านหลังก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเดินมาหาอย่างช้าๆ
พอพิจารณาจากการแต่งกายและกิริยาของนางแล้ว นางดูไม่ได้ด้อยไปกว่าบุตรสาวของชนชั้นสูงเลยสักนิด แต่สิ่งที่นางพูดออกมากลับเป็น “ใต้เท้าเจี่ยง คุณชายให้บ่าวมาบอกท่าน”
เจี่ยงเหวินเฟิงทำได้แต่รับคำ “เชิญแม่นางอาหว่านพูดมาเถิด”
น้ำเสียงของแม่นางอาหว่านดูราบเรียบ “คุณชายบอกว่า เนื่องจากท่านถูกขนานนามว่าชิงเทียน เท่ากับว่าเป็นนายของราษฎร และท่านยายผู้นี้ร้องเรียนขอความเป็นธรรม หากท่านไม่ตัดสินในที่สาธารณะแล้วให้ความยุติธรรมกับนาง ท่านจะเรียกตัวเองว่าชิงเทียนได้อย่างไร”
ทันทีที่คำพูดนี้ดังออกมาจากปาก บัณฑิตโต๊ะข้างเคียงก็สะบัดพัดด้วยความโกรธ “มีอย่างที่ไหนกัน! นี่เป็นการบังคับให้ใต้เท้าเจี่ยงตัดสินคดีในที่สาธารณะชัดๆ!”
อีกคนกล่าวว่า “มากเกินไปแล้ว! คุณชายหยางผู้นี้ ข้าอุตส่าห์คิดว่าเขาเป็นลูกหลานที่จงรักภักดี เป็นคนมีเหตุผล ไม่คิดว่าจะเหมือนคนพวกนั้น! เลวจริงๆ!”
“ชู่!” สหายคนหนึ่งรีบห้ามไว้ “ยังไงคนผู้นั้นก็มีเชื้อสายฮ่องเต้ เจ้าไม่ควรหยาบคายจนเกินไป”
พูดเสร็จตัวเขาเองก็ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ “องค์หญิงหมิงเฉิงเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เหตุใดหลานชายถึงได้…”
คิ้วของหมิงเวยขมวดเป็นปม เป็นเช่นนั้นจริงหรือ…
แต่ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกไม่ได้คิดลึกซึ้งถึงขนาดนั้น พวกเขารู้สึกว่าที่สาวใช้ของคุณชายหยางพูดมามีเหตุผลจึงเห็นด้วย “ใช่แล้ว! ใต้เท้าเจี่ยง หากพวกเขาได้รับความไม่เป็นธรรมจริง จะพิจารณาคดีวันนี้หรือวันรุ่งขึ้นก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ”
“ใช่ๆๆ จะให้พวกนางที่ดูอ่อนแอวิ่งมาอีกรอบหรืออย่างไร”
“ใช่ๆ” ด้วยแรงกดดันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทางด้านท่านเจ้าเมืองเองก็เลิกม่านขึ้นแล้วยกมือทั้งสองข้างประสานกันระดับอกเป็นการแสดงความเคารพ “ใต้เท้าเจี่ยง ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของราษฎร ท่านคงต้องตรวจสอบเสียแล้ว คดีนี้ได้รับรายงานจากเขตหย่งผิง ทางเจ้าหน้าที่เองก็ได้อ่านเอกสารราชการนี้แล้วแต่ไม่พบความผิดปกติ หากเรื่องนี้ได้รับความไม่เป็นธรรมจริง ท่านสามารถชี้ทางเพื่อไม่ให้ผู้พิพากษาตัดสินคดีที่ไม่เป็นธรรม และทิ้งรอยด่างไว้ในภายภาคหน้าได้”
ทันทีที่เขาพูดจบก็มีเสียงถอนหายใจดังออกมาจากในเกี้ยว ผู้คนจำนวนมากต่างตะโกนเรียกร้อง อีกทั้งท่านเจ้าเมืองยังพูดเช่นนี้ เจี่ยงเหวินเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ผ้าม่านถูกเปิดออก แล้วเขาก็เดินลงจากเกี้ยว
พอเห็นใต้เท้าเจี่ยงผู้นี้แล้ว เขาดูอายุน้อยกว่าที่ทุกคนคิดไว้เสียอีก ทำงานข้าราชการตอนอายุสิบแปดปีและทำงานมาสิบกว่าปีแล้ว ปีนี้เขาอายุสามสิบพอดี ใบหน้าหล่อเหลาทำให้เขาดูเหมือนชายอายุยี่สิบกว่าๆ ดูเด็กกว่าท่านเจ้าเมืองเสียอีก
หมิงเวยจ้องเขม็งแล้วร้อง “หึ” ออกมา
ใต้เท้าเจี่ยงผู้นี้นอกเหนือจากกลิ่นอายของบัณฑิตแล้ว ยังมีพลังชีวิตของจิตวิญญาณที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกด้วย
“พี่เจ็ด ข้าเคยคิดนะว่าชีวิตของใต้เท้าเจี่ยงนี่ดีหรือไม่” หมิงเซียงดูสนใจมาก “แล้วยังคิดอีกว่าถ้าคุณชายหยางไม่ลงจากเกี้ยว วันนี้พวกเราคงมาเสียเที่ยว! ไม่คิดเลยว่าใต้เท้าเจี่ยงจะรูปงามขนาดนี้ คิดถูกจริงๆ ที่มาวันนี้!”
ทางด้านนั้น เจี่ยงเหวินเฟิงพูดขึ้นท่ามกลางสายตาแห่งความคาดหวังของเหล่าฝูงชน “ข้าได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาทให้มาตรวจตราทุกเมือง การตรวจสอบหาช่องโหว่เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดเป็นหน้าที่ของข้า เดิมทีทุกๆ คดีควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันและจะมีการรับฟังความคิดเห็น หลังจากเปิดศาลจะมีการพิจารณาคดีพร้อมกัน แต่เพราะพวกนาง และยังมีท่านเจ้าเมืองที่ให้ความไว้วางใจ เราจึงขอทำการตรวจสอบก่อน เหลยหง”
“ขอรับใต้เท้า”
เจี่ยงเหวินเฟิงชี้ไปที่โรงน้ำชา “เจ้าไปขอยืมพื้นที่ร้านนั้นเพื่อทำการสอบสวนคดี”
“ขอรับ”
ฝั่งทางโรงน้ำชาก็เกิดความตื่นตระหนก เจี่ยงชิงเทียนจะทำการสอบสวนคดีที่ร้านของพวกเขา เรื่องที่มีชื่อเสียงเช่นนี้จะปฏิเสธไม่ยอมรับได้อย่างไรกัน
…………………………………………………………